 |
ความคิดเห็นที่ 21 |
ผมเคยเข้าอัดเสียงสมัยที่ใช้เทปม้วน (Reel)
Master จะมี 2 ชุด 1.มาสเตอร์ที่เป็นเทป reel (เป็นมัลติแทร๊คที่อัดเสียงแยกๆ กัน อันนี้ต้นฉบับเพื่อที่จะ Mix down จัดบาล๊านซืและ Sound Stage- ให้เป็นเพลงสำเร็จแบบ Stereo) 2.มาสเตอร์ 2 แทร๊ค(stereo) สำหรับส่งไปปั๊มเป็น cassette หรือ CD จำหน่าย ซึ่งมีทั้งแบบที่เป็นเทปรีล(ขนส่งลำบาก,เสียหายง่าย), เทปที่เก็บข้อมูล Time code ได้(DAT, A-DAT)ขนาดพกพาได้ง่ายกว่า
...จริงๆ มันตัดต่อได้นะครับ แต่ต้องระวังและทำงานให้น้อยครั้งที่สุด เพราะเทปมัน "ยืด" ได้...
ห้อง Control หนาวมาก เพราะต้องรักษาเนื้อเทป และด้วยความที่เนื้อเทปมันยืดได้ แถมราคาก็สูง..... ผู้ลงทุน จึงมักไม่อนุญาตให้ "เทค" บ่อยครั้งนักนะครับ เทคบ่อยๆ กรอบ่อยๆ ที่อัดไปแล้วมันจะเพี้ยนคีย์ไปเรื่อยๆ ได้ครับ...ต้องยอมเปลี่ยนม้วนเทปแล้วอัดใหม่หมดแต่แรกก็มี เงินทั้งนั้นครับ...
เพราะฉะนั้น...ใครก็ตามที่ต้องบรรเลงเพื่อบันทึก ต้องสะสมชั่วโมงซ้อมมาเยอะมากๆ เพื่อให้ผ่านการประเมินก่อนบันทึกเสียง ว่าจะ "เทค" ให้น้อยครั้งที่สุด แล้วเวลาอัดเสียงจริง ถ้าผิดหรือเพี้ยนแม้แต่นิดเดียว ต้องกรอแล้วอัดใหม่หมดนะครับ ไม่ว่าเพลงจะยาวกี่นาทีก็เถอะ ถ้าตัดต่อระบบเทปนี่ ต้องมีทุนมากนะครับ โอกาสต้องอัดใหม่ หรืออย่างน้อยอัดซ่อมมีสูงทีเดียว ไม่ว่าจะยุคก่อนหรือหลัง DAT
งานบางชุดต้องเช่ากันยาวหลายเดือนก็มี เบ็ดเสร็จแล้วต้นทุนการผลิตเฉพาะตรงห้องบันทึกเสียง จบได้ที่หลักแสน หลักล้าน หรือกว่านี้ก็ได้นะครับ อย่างศิลปินระดับโลกที่ให้สัมภาษน์ว่าใช้งบอัดเสียงไปหลายล้านดอลล่าห์นี่ ไม่ได้เว่อร์กันนะครับ...
เพราะฉะนั้นถ้า "ตัวศิลปิน" ไม่เจ๋งจริงไม่มีใครกล้าลงทุนให้หรอกครับ สมัยก่อนสินค้ากลุ่มนี้ถึงแพง และเป็น "ของเล่น" ของผู้ใหญ่ไงครับ (เครื่องเล่นแผ่นเสียง+แผ่นเสียง) ขนาดยุค Rock'n Roll ยังใช้คำว่า "คนหนุ่ม-สาว" เลยครับ... ..เด็กหรือวัยรุ่นนี่ไม่มีได้เฉียดละครับ อยากฟังต้องฟังกับพ่อแม่ หรือไม่ก็ญาติผู้ใหญ่ครับ (ในเมืองไทยนะ)
นักร้องวัยรุ่นบ้านเรา ถ้าเป็นสมัยห้องอัดใช้เทปรีล ทักษะและวินัยก็ยังสูงพอตัวครับ ไม่ได้เหมือนกำลังฟังคนร้องคาราโอเกะแบบสมัยนี้.....
จากคุณ |
:
PASSION_WARFARE
|
เขียนเมื่อ |
:
25 ส.ค. 53 05:01:09
|
|
|
|
 |