Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
"น้ำใสใจจริง" ละครเวทีที่ดีอีกหนึ่งเรื่อง ผ่านมุมมองของผู้ชมอย่างผมครับ  

บทความนี้ผู้เขียนผู้เขียนภายใต้มุมมมองและองค์ความรู้อันจำกัดของผู้เขียน ผู้เขียนมิได้จบการศึกษาหรือมีความรู้เชิงลึกในด้านนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ อักษรศาสตร์หรือวรรณคดีเปรียบเทียบใดๆ ดังนั้นการวิเคราะห์และความเห็นของผู้เขียนจึงเกิดขึ้นในฐานะผู้ชมธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นครับ


บทนำ


ผมมิใช่คนที่ไปชมละครเวทีบ่อยครั้ง โดยเฉลี่ยเพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น และในปีนี้ ผมเลือกที่จะไปชมเรื่องนี้เพียงเพราะสาเหตุที่ว่า ผมมีโอกาสที่จะได้อ่านบทประพันธ์เรื่องนี้ตั้งแต่ครั้งยังเรียนชั้นประถม ได้เห็นตัวละครในนวนิยายออกมาโลดแล่นบนจอแก้วถึงสองรอบ ซึ่งก็ตรงตามบทประพันธ์บ้างและผิดหวังบ้าง สลับกันไป


ขณะเดียวกัน ละครเรื่องนี้ ผมมีความรู้สึกว่าเป็นละครที่จับต้องได้ และมีความร่วมสมัยกับผู้ชมทุกๆ คน เพราะทุกๆ คนต้องเคยผ่านช่วงเวลานั้นของชีวิตมาแล้ว หรือไม่ก็กำลังจะมีโอกาสได้ใช้ชีวิตแบบนั้น ตัวละครทุกตัวมีความเป็นคนจริงๆ ไม่ได้ดีสุดขั้วชั่วสุดขีด ไม่จำเป้นต้องมีตัวเอกตัวร้าย หรือฝ่ายธรรมะและอธรรม  หากแต่ผสานความรักโลภโกรธหลงและคุณธรรมได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ รวมทั้งหาคนที่มีคุณลักษณะเช่นนี้ได้ในชีวิตจริงๆ ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

จนกระทั่งผมได้รับการประชาสัมพันธ์อย่างกระเส็นกระสาย ซึ่งประเด็นนี้คงถือเป็นจุดอ่อนของผู้ส้ร้างละครเวทีเรื่องดังกล่าว ทำให้ผมตัดสินใจเลือกที่จะไปชมในรอบท้ายๆ เพียงเพื่ออยากจะเรียกความทรงจำในวัยเยาว์ของนวนิยายเรื่องนี้กลับคืนมา ตลอดจนไปซึมซับบรรยากาศดีๆ ที่วันหนึ่งผมก็เคยยืนอยู่แถวหลังสุดในฉากสุดท้ายของเรื่อง แม้ในวันนี้ผมจะกลายสภาพมาเป็นคนที่นั่งในแถวหน้าสุดแทนครับ

ผมคงจะขออนุญาตเขียนถึงตลอดตจนวิพากษ์วิจารณ์ไปอย่างเป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ บทของเรื่อง เพลงและการเรียบเรียงดนตรี ฉากและองค์ประกอบศิลป์อื่นๆ ไปจนถึงส่วนสุดท้าย นั่นก็คือตัวนักแสดง ก่อนที่จะจบลงด้วยบทสรุปของเรื่องนี้ครับ

บทประพันธ์และบทละคร

ก่อนที่จะมาชมละครเวทีเรื่องน้ำใสใจจริงนั้น ผมเองอดนึกสงสัยอยู่ครามครันไม่ได้ว่า บทประพันธ์เรื่องยาวเล่มหนาที่ผมใช้เวลาอ่านทั้งวันนั้น จะถูกย่อลงมาเป็นละครเวทีในช่วงเวลา 3 ชั่วโมงได้อย่างไร

แต่เมื่อดูเสร็จก็ต้องชื่นชมคนเขียนบทจริงๆ ว่า คุณสามารถทำได้  ประเด็นหรือแก่นของเรื่องใหญ่ๆ ยังอยู่ครบ ขณะที่รายละเอียดต่างๆ ซึ่งถือเป็นสีสันของเรื่องก็ยังสามารถเก็บไว้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง


รูปแบบการเล่าเรื่องทำได้ดี เนื่องจากเริ่มเล่าจากการปูพื้นภาพในปัจจุบันก่อนจะย้อนกลับไปในเวลาอดีตที่ตัวเอกทั้งหมดของเรื่องได้ใช้ชีวิตในช่วงการเรียนระดับอุดมศึกษา จากนั้นก็เล่าเรื่องราวตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาไปยังวันแห่งความสำเร็จซึ่งเป็นฉากสุดท้ายของเรื่อง


อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องชื่นชมก็คือการกระจายบทของตัวละคร ที่ทำให้ผู้ชมรับรู้ว่าตัวละครแต่ละตัวมีมิติของตนเอง มีแง่มุมมที่น่าสนใจ แต่ก็สามารถผสมผสานเข้ามากับภาพใหญ่ของละครเวทีทั้งหมดได้ ตัวละครแต่ละตัวได้ถูกวางบทบาทให้เป็นตัวเดินเรื่องสำคัญในแต่ละฉากอย่างทั่วถึง (จะยกเว้นก็แต่ตัวละครอย่างมหาบุญโปรย ที่น่าจะสามารถดึงรายละเอียดในฉากที่สำคัญได้มากกว่านี้)

นอกจากนี้ แม้จะกระจายบทอย่างไรก็ตาม แต่ผู้เขียนบทละครก็ยังคงให้ความสำคัญกับตัวเอกของเรื่อง นั่นก็คือ โจมและครีมได้อย่างพอหมาะพอเจาะครับ


นอกเหนือจากตัวบทในภาพใหญ่แล้ว การเลือกใช้ภาษาในเรื่องก็ดูจะเป็นจุดเด่นอีกด้าน การเลือกใช้ภาษาที่สละสลวยทั้งในบทพูดและบทร้อง ทำให้ผู้ชมเข้าใจและเข้าถึงได้โดยไม่ยาก


แม้บทผรุสวาทของบรรดากลุ่มเพื่อนพระเอกจะดู หยาบ ในปทัสฐานของผม แต่ก็เป็นความหยาบที่ยอมรับได้ เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงและพบเห็นได้ในสังคมมหาวิทยาลัย และหากผู้ชมมองข้ามผ่านเนื้อสารที่เป็นคำหยาบเหล่านั้น ก็จะเข้าใจเจตนาของผู้ส่งสารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจและมิตรภาพ ที่ไม่ได้มีความหมายเชิงนัยยะอะไรเกินเลยไปกว่านั้นครับ


นอกจากนี้มุขต่างๆ ที่ถูกแทรกเข้ามาในเรื่องก็ทำได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ไม่มากหรือน้อย จนเลอะเทอะกลายเป็นจำอวดหน้าม่านเกินไป นอกจากมุขทางด้านคำพูด มุขท่าทางต่างๆ ก็เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มบนมุมปากจากผู้ชมได้โดยไม่ยากครับ


เพลงและการเรียบเรียงดนตรี


ไม่มีอะไรอีกนอกจากคำชื่นชมต่อทั้งคุณดารกาและคุณสุธี ผมว่าเป็นการยากมากที่จะทำให้บทพูดมีสัมผัสในและสัมผัสนอกที่สละสลวยและใช้โต้ตอบกันไปมาได้จริง นอกจากนี้ ยังเป็นการยากยิ่งกว่าที่จะนำเอาบทพูดมาใส่ทำนองที่แทรกกลิ่นอายของสมัยเมื่อหลายสิบปีก่อนเข้าไปด้วยครับ จึงไม่น่าแปลกที่บทเพลงในเรื่องจะฟังสบายและติดหูได้ในไม่ยาก


ความโดดเด่นของเพลงนั้นเริ่มตั้งแต่เพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงของละคร เรื่อยไปจนถึงเพลงแรก ที่มีท่อนติดหูอย่าง ไม่สวยเหมือนจุฬา ไม่สง่าเท่าธรรมศาสตร์ ที่ทำเอาผมอดอมยิ้มตามไม่ได้ แม้ว่าจะจบการศึกษาจากสถาบันที่ถูกอ้างถึงนั้น หรือเพลงอยู่หอที่ต้องนับถือความสามารถทั้งคนแต่งเนื้อและทำนอง เพราะนี่ไม่ใช่เพลงเพียงเพลงเดียว แต่เป็นหลายเพลงที่มีลักษณะแตกต่างกันแต่สามารถมาร้อยเรียงต่อกันได้ ทั้งคู่ของ โหม่ง-แคน โจม-ป๊อ รุ้ง-หนิง หรือทัดภูมิกับมหา


นอกจากเพลงเดี่ยวที่ทำได้ดีแล้ว การแต่งเพลงสำหรับเพลงคู่ และเพลงที่ต้องประชัน (Battle) ก็ทำได้ดีมากๆ ดูสนุกและลงตัว ทั้งคู่ของโจม-ครีม ในเพลง เรื่องมหัศจรรย์และสัตว์ประหลาด หรือเพลงหมั่นไส้ของทัดภูมิและอ้อม ตลอดจนเพลงขัดขาของประดากลุ่มเพื่อนผู้ชาย


แต่ที่ผมอยากจะชื่นชมที่สุดก็คือ การแต่งเพลงและเลือกทำนองได้สอดคล้องกับตัวละคร ตลอดจนคาแรคเตอดร์และลักษณะการร้องของผู้แสดงแต่ละคนในชีวิตจริง เพลงที่ถ่ายทอดก็เลยยิ่งได้อรรถรสเพิ่มมากขึ้นอีกทวีคูณ


ไม่ว่าจะเป็นเสียงใสไพเราะของปุยฝ้าย ในเพลงเรื่องมหัศจรรย์ที่ต้องร้องเดี่ยวในช่วงแรก สมุดจ๋าที่แสนจะเข้ากับช่วงเสียงของกู๊ด เพลงถ้าไม่พยายามของคุณตู่-ภพธร ที่ถ้าเป็นคนอื่นร้องก็คงไม่ใช่และไม่ได้อารมณ์นี้ หรือเพลงบ๊อยบอยที่ต้องเป็นของมิวสิคเท่านั้น  ดังนั้นเพลงและดนตรีจึงเป็นสิ่งเสริมแรงที่เอื้อให้นักแสดงและภาพรวมของละครดูน่าชมเพิ่มขึ้นไปอีก


ส่วนสุดท้ายที่อยากจะพูดถึงก็คือวงดนตรี แม้จะเป็นงานเบื้องหลังมากๆ แต่ก็ต้องบอกว่าทำได้ดีมากทีเดียวครับ


ฉากและองค์ประกอบศิลป์


ถ้าจะให้พูดกันตามตรงผมคิดว่าฉากเรื่องนี้ดูจะราบเรียบไปหน่อยครับ แม้จะมีฉากที่หลากหลายค่อนข้างมาก แต่การเปลี่ยนผ่านในแต่ละฉากยังทำได้ไม่สมบูรณ์นัก เข้าใจว่าด้วยข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน ผมก็เลยเฉยๆ กับฉากที่เป็นภาพนิ่ง ยกเว้นฉากตึกเรียนและหอ ที่ผมว่าสวยและดูมีมิติดี ให้ความรู้สึกสมจริง แต่จะเหมือนที่ทับแก้วหรือไม่นั้นก็จนปัญญาที่จะทราบได้ เพราะเคยไปแค่หนหรือสองหนเท่านั้นครับ


ตรงกันข้ามกับฉากที่ต้องมีการเคลื่อนไหว หรือมีอุปกรณ์ประกอบฉาก ผมเองชอบเกือบทั้งหมด ทั้งรถเฟี้ยตของทัดภูมิ รถประจำทางที่อ้อมพรขึ้นไปนั่งและโจมไปห้อยโหนอยู่ตรงประตู ที่ดูมีความสมจริงมากตั้งแต่แล่นเข้าฉากมาทางขวาและออกไปทางซ้าย

และที่อดจะชื่นชมไม่ได้ก็คงจะเป็นสัตว์ประหลาดที่ออกมาเพ่นพ่านเสียหลายตัว แถมยังแลบลิ้นใส่ผู้ชมและคู่ของมันได้อีก อันนี้ต้องยอมให้คะแนนเต็มไปเลยครับ แถมฉากดังกล่าวยังอยู่ก่อนที่จะมีการพักครึ่งอีก ผล recency effect ก็เลยติดตาและความคิดของผมไปโดยปริยายครับ


ในส่วนของเครื่องแต่งกาย ผมว่าทำได้ดีครับ เนื่องจากพยายามดึงบุคลิกลักษณะของตัวละครมาสะท้อนผ่านเครื่องแต่งกาย ดังนั้น เราจึงได้เห็นชุดที่นำแฟชั่น (ในยุคนั้นสุดๆ) ของทัดภูมิ เช่นเดียวกับชุดของรุ้งที่ดูเปรี้ยวเข็ดฟัน และชุดของอ้อมพรที่ดูทะมัดทะแมงเข้ากับบุคลิก  ตลอดจนชุดของสามหนุ่ม ทัดภูมิ แคน และโหม่ง ในงานลอยกระทงปีที่สอง ที่ให้อารมณ์ซาหริ่ม สัญยาณไฟจราจร หรือจะเป็นวงบุดด้าเบลสก็ไม่ปาน


ถ้าจะมีข้อติก็คงเป็นชุดครุย ที่ผมคิดว่าน่าจะเลือกโทนสีที่ดูนุ่มและขรึมมากกว่านี้ มันเลยดูยังไม่ขลังพอ กับกางเกงของคุณตู่ตอนรับปริญญาที่เสมือนว่าแต่งชุดข้าราชการครึ่งตัว เพราะกางเกงท่อนล่างไม่ใช่กางเกงขาวแบบราชการ แต่เหมือนเป็นกางเกงแบบที่เรียกว่า Chinos ซึ่งสวมตอนกลางเรื่องครับ

จากคุณ : buenos
เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 10:29:35




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com