เอาบทสัมภาษณ์ทาบิจาก 10 asia มาฝากค่ะ
เมื่อคืนพี่พันหน้าขาวใส่เลยงอลลลล มาแปะวันนี้แหละค่ะ
======================
สัมภาษณ์ TOP กับ 10 Asia
ในระหว่างการแสดงเพลงใหม่ของพวกเค้า Knock out
ตลอดเวลาส่วนใหญ่ ท็อปจะยืนนิ่งๆไม่ก็ขยับตัวเล็กน้อย
ในขณะที่คู่หูคู่แร๊พอย่าง G Dragon จะขยับตัวอย่างแรงและเดินไปรอบๆๆเวที
แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าท้อปแสดงออกน้อยกว่าในการแสดงบนเวที
การแสดงในเพลง Knock out ของพวกเค้านั้นดูลงตัวด้วยส่วน
ผสมระหว่างความว่องไวของ จีดราก้อนกับความหนักหน่วงของท็อป
อีกทั้งยังมีรูปลักษณ์และบุคคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ของทั้งคู่ ฉายตามออกมา
และ ทรงผมที่แตกต่างกันไปของเค้าทั้งคู่อีกด้วย
นอกจากนี้ ท็อปนั้นมีความสามารถที่จะจับอารมณ์คนดูด้วยท่าทางที่เหนือความคาดหมาย
ครั้งหนึ่งท็อปเรียกได้ว่าเป็นสมาชิกวงบิกแบง ที่น่าเป็นห่วง เพราะเค้าขาดทักษะในเรื่องของการเต้น
แต่ตอนนี้เค้าสามารถที่จะจับความสนใจของผู้คนให้มาอยู่ที่เค้าโดยที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไรมาก
และนี่คือบทสัมภาษณ์ที่สัมภาษณ์ถึง ความเห็นของท็อปต่อการแสดงบนเวที ความคิด และความมั่นใจที่เค้ามี
[ทาง 10 asia จะตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ที่สัมภาษณ์ GD+TOPพร้อมๆกันในวันพรุ่งนี้นะค่ะ ]
10: มีวันตั้งมากมาย แต่ผมกลับกำลังจะสัมภาษณ์คุณในวันคริสมาส (หัวเราะ)
คุณต้องเหนื่อยมากๆจนแทบจะหมดแรงอยู่แล้วจากคอนเสริต์เมื่อวาน
และนี่ผมกำลังจะกวนคุณด้วยการสัมภาษณ์นี้อีก
T.O.P : ไม่เป็นไรครับ (หัวเราะ) คุณคิดว่าการแสดงของเราเป็นยังไงบ้างครับ??
10: ผมได้โพสรูปสองสามรูปจากคอนเสริต์ของคุณลงใน twitter ของผม
และถูก followers จำนวนนึงเกลียดเอาซะแล้ว
พวกเค้าหาว่าผมเห็นแก่ตัวที่มาเที่ยวเล่นสนุกดูพวกคุณคนเดียวแบบนี้ (หัวเราะ)
T.O.P : ผมเดาเอาว่าผมควรจะรู้สึกขอบคุณใช่ไม๊ครับ ถ้าพวกเค้าคิดถึงคอนเสริต์ของเราในแง่นั้น (หัวเราะ)
ตอนที่เราขึ้นเวทีคอนเสริต์ บางอย่างอาจจะเกิดผิดพลาดได้ตลอดเวลา เช่นอาจจะมีปัญหาเรื่องเสียง
แต่มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายมากแค่ไหน
ผมรู้สึกขอบคุณที่ทุกคนอยู่ตรงนั้นกับเราและพยายามอย่างมากที่ช่วยให้เราสามารถสนุกไปกับการแสดงของเราได้
มันก็นานพอสมควร ที่เราไม่ได้แสดงผ่านทางรายการทีวี แต่ผมรู้สึกอบอุ่นใจและมีความสุขกับการแสดงนะครับ
ขอขอบคุณในความเห้นใจของทุกคนและขอบคุณการเตรียมเวทีที่ยอดเยี่ยมมากด้วยครับ
10: การแสดงของคุณดูเหมือนจะต่างไปจากแต่ก่อนด้วย อย่าง ในคอนเสริต์ ครอบครัววายจี
จู่ๆๆคุณก็เดินเข้าไปใกล้กับแฟนๆในบริเวณบัตรยืนและยื่นหน้าตรงไปที่เธอและแร๊พ
T.O.P : จริงๆผมไม่ได้คำนวณคาดการณ์อะไรล่วงหน้าเลยครับ
ในขณะที่ผมขึ้นเวทีกับจียง เราต่างก็มีภาพในหัวว่าเราจะทำอะไรบ้าง
แต่อะไรที่เล็กๆๆน้อยๆๆ เป็นการแสดงที่เราไม่ได้เตรียมการมาก่อนเลย
ผมคิดว่ามันเป็นพลังที่เราได้รับในขณะที่เราอยู่ในวงการนี้มาได้ระยะนึงแล้ว เหมือนกับการแสดงภาพยนตร์แหละครับ
อารมณ์ที่เราจะส่งผ่านออกไปคือความรู้สึกที่เราได้รับจากดนตรี ซึ่งไม่ใช่อะไรที่เตรียมการออกมาก่อนได้
ผมเชื่อว่ามันมาจากความมั่นใจของเรานะครับ
10: ดูเหมือนความมั่นใจของคุณจะซึมผ่านออกมามากเลยทั้งในดนตรี
และในงานเพลงของคุณในอัลบั้ม รวมไปถึงท่าทางบนเวทีด้วย
นอกจากนี้ยังมีความสดใสที่แตกต่างออกไปที่เราได้เห็นจากการแต่งหน้าแบบ smoky
และเพลง "Knockout" ก็เป็นเพลงที่น่าสนใจทีเดียว
มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าครับ??ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปถึงขนาดนี้
T.O.P : มันเป็นเรื่องที่ผมได้ตั้งคำถามถามตัวเองมาตลอดหลายปีที่ผ่านมามากกว่าครับ
ในอดีตผมมักจะสงสัยว่าจริงๆแล้ว ผมมาทำอะไรอยู่ตรงนี้
มันมีบางส่วนของงานที่กดดันและทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นภาระอย่างหนัก
จนทำให้ผมคิดว่านี่ผมกำลังทำอะไรที่เกินตัวไปรึเปล่า??
แต่เป็นเพราะผมได้เติบโตขึ้นผมได้เปลี่ยนคำถามมาเป็น"อะไรที่ผู้คนต้องการจากผม "แทนครับ
10: แล้วคำตอบที่คุณนึกออก คือ พวกเค้าต้องการความมั่นใจ จากคุณ เหรอครับ??
T.O.P :พวกเค้าอาจจะหวังว่าจะได้รับความพึงพอใจที่หลากหลายจากผม
และความมั่นใจที่จะสามารถทำให้พวกเค้าดำเนินชีวิตของพวกเค้าต่อไปได้
ผมคิดว่ามันมีส่วนทำให้การแร๊พของผมในตอนหลังนี้เริ่มจะมีเนื้อหาในเพลงอย่างเพลง "Turn it up,"
และเช่นเดียวกันกับงานในอัลบั้มนี้ มันไม่ใช่การทำอะไรที่ดูหรูหราอลังการหรือข่มขวัญ
แม้ว่าผมอาจจะแสดงออกมากไปแต่ผมหวังให้คนที่ได้ฟังเพลงของผมมีความมั่นใจในตัวเองเหมือนกับที่ผมมั่นใจในอาชีพของผม
ผมไม่แน่ใจว่าคนฟังจะได้รับมันไม๊?? แต่ผมได้ใส่เรื่องราวมากมายลงไปในเนื้อเพลงครับ
10: นั่นเป็นเหตุผลที่คุณใส่ชื่อตัวเองลงไปในเพลงรวมกับ ชื่อยี่ห้อที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางด้วยรึเปล่าครับ??
เหมือนกับเป็นการที่จะ ตีตรายี่ห้อให้กับ ชื่อ ของคุณเองเด้วย??
มันเหมือนกับว่าคุณกำลังจะพูดกับคนที่คอยสังเกตคุณอยู่ว่า
"คุณสามารถรับผมได้ในเแบบที่คุณชอบ ผมเป็นแบบนี้แหละ" แบบนั้นนะครับ??
TOP : ผมเริ่มที่จะชัดเจนมากขึ้นครับ จริงๆตัวตนจริงๆของผมจะเป็นคนที่ชอบคิดนะครับ
จะกังวลในเรื่องต่างๆเยอะมากและจะเป็นคนที่ระมัดระวัง
แต่พอผมมาคิดถึงสิ่งที่ผู้คนต้องการจากผมหรือสิ่งที่ผมควรจะทำ
ผมจึงตัดสินใจที่จะทำในแบบที่เป็นอยู่ต่อไปเพราะมันให้ความสดใสมากกว่า
ผมหวังว่าคนที่กำลังจิตตกจะรู้สึกดีขึ้นเมื่อพวกเค้าฟังเพลงแบบนี้
ไม่ว่าเพลงนี้มันจะเป็นการแสดงออกตัวตนของผมหรือไม่ก็ตาม
ผมหวังว่าเพลงจะสามารถเข้าถึงพวกเค้าด้วยความสบายๆๆหวังว่ามันจะไม่ดูเหมือนไปบงการมากเกินไปนะครับ (หัวเราะ)
ผมต้องการที่จะบรรยายถึงความสัตย์ซื่อของตัวเองออกมาอย่างน้อยก็ครั้งนึงก็ยังดี
และผมเชื่อว่ามันเป็นทางเดียวที่จะให้ผมได้บรรยายตัวเองได้สำหรับผม
10: คุณเคยที่จะมอบความประทับใจออกมาในรูปแบบของการที่ขุดลึกลงไปในความเป็นตัวตนลึกๆๆของคุณ
แต่ในตอนนี้คุณเริ่มที่จะคิดแล้วว่าคุณก็มีอิทธิพลต่อผู้อื่นเหมือนกัน ทำไมความคิดถึงได้กลับตาลบัตรแบบนั้นได้ครับเนี่ย??
T.O.P : ผมคิดว่าเป็นเพราะผมเริ่มที่จะคิดมากขึ้นกว้างขึ้นเกี่ยวกับโลกที่ผมอาศัยอยู่นี้
โลกเรานี้เป็นที่ที่มีคนมากมายพลุกพล่านจอแจแต่ก็ยังมีคนมากมายบนโลกที่มีช่วงเวลาที่ลำบาก
พวกเค้าไม่สามารถที่จะมีพลังจากความเร่งรีบนั้นได้
และผู้คนเหล่านั้นคือ คนที่ดีกับผมอย่างมาก ดีกับบิกแบง หรือแม้แต่เป็นคนที่ฟังเพลงของเรา
ผมคิดว่าผมอยากที่จะให้พวกเค้ารู้สึกถึงความสุขที่หลากหลายด้วยการฟังเพลงของพวกเรา
มันทำให้ผมอยากที่จะบรรยายถึงวิธีในการที่จะทำให้รู้สึกมีความสุขในหลายๆทาง ด้วยการบอกอ้อมๆๆลงไปในเพลง I
10: ความคิดเหล่านั้นคุณได้รับมาจากประสบการณ์ในการที่คุณเป็นนักร้องไม๊ครับ??
ถ้าคุณอยากที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อคนอื่นคุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่จะรับความรับผิดชอบที่มากขึ้นนะครับ
TOP : เมื่อก่อน ผมเคยรู้สึกเกลียดและรู้สึกเป็นภาระในใจ
กับความรักและความสนใจที่ได้รับมานะครับ ผมไม่สามารถทำใจให้มีความสุขกับมันได้เลย
แต่พอผมทิ้งความละโมบของตัวเองทิ้งไป ผมก็เริ่มที่จะสบายๆๆกับมัน
ความทะเยอะทะยานที่ผมมีในเรื่องของดนตรี ความคิดที่ว่าผมต้องทำอะไรบางอย่างในเพลงของผม
ซึ่งเมื่อก่อนความคิดนี้มันตามหลอกหลอนผมมาก ในตอนนี้มันละลายหายไปหมดแล้ว
เมื่อก่อน ผมจำได้ว่าตัวเองมักจะพูดประโยคที่ว่า " หวังว่าคุณจะชอบนะครับ"
ออกมาบ่อยมาก ในตอนนี้ออกอัลบั้มใหม่
แต่ในตอนนี้มันก็ไม่เป็นไรนะครับถ้าผู้คนดูไม่ค่อยคาดหวังกับมันซักเท่าไหร่
ผมกลับคิดว่าผมควรจะเป็นคนที่สามารถขยายส่วนความคาดหวังของผู้คนให้กว้างขึ้นได้ตั้งหาก
ผมอยากจะตอบกลับไป มอบกลับไปให้มากเท่าที่ผมได้รับมา
ผลักดันตัวเองให้ทำงานให้หนักขึ้นอีกในการเรียนรู้เรื่องดนตรี
ยังมีอะไรอีกมากมายที่ผมต้องการจะแสดงออกมาครับ
10: ความรู้สึกแบบนี้มันเชื่อมโยงมาจากสถานการณ์ในปัจจุบันของคุณรึเปล่าครับ
ที่คุณได้เข้าไปมีส่วนในงานด้านการแสดงแล้วก็ต้องกลับมาแสดงออกในเรื่องของงานเพลง
และออกอัลบั้มใหม่ แบบทันทีทันใดแบบนี้
T.O.P : ตอนที่ผมกลับมาจากการเสร็จการถ่ายทำภาพยนตร์ "Into The Fire(2010)
จียงก็อยู่ในระหว่างการทำงานเพลงของเค้าแล้วครับส่วนผมก็กลับมาสู่ตำแหน่งของผมในวงบิกแบง
โลกของเสียงเพลงนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากเลยครับ คนเยี่ยมๆหลายคนปรากฏตัวบนเวทีและอะไรอีกหลายอย่ง
เป็นเพราะผมออกจากกระแสเหล่านั้นไปพักนึง มันทำให้ผมมีโอกาสที่จะก้าวถอยไปหนึ่งก้าว
และลองจัดระเบียบความคิดของตัวเองซะใหม่ ครับ
10:วิธีการในการบรรยายตัวเองของคุณดูเหมือนจะเปลี่ยนไปด้วยเหมือนกันนะครับ
ก่อนหน้านี้ คุณเคยบอกเอาไว้ว่าคุณแสดงออกถึงบุคคลิกทั้งหมดออกมา
แต่ในอัลบั้มล่าสุดนี้คุณเอาตัวเองไปเชื่อมต่อกับ"คนที่คุณจะเจอเค้าผ่านทางลำโพงหรือหูฟังเท่านั้น "
คุณเป็นคนสร้างบุคคลิกนั้นขึ้นมาเองเหรอครับ??
T.O.P : ครับ เราต้องเปิดเผยตัวเองต่อหน้าผู้คนที่ยอดเยี่ยมมากมายเมื่อเทียบกับอายุของเรา
แน่นอนว่าเราก็ได้รับคำชมเช่นเดียวกับก็ต้องมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเช่นกัน
แต่หลังจากที่ผ่านกระบวนการแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกผมก็เริ่มที่จะเหนื่อยหน่ายมันเหมือนกันครับ
ผมอยากที่จะรักษาระดับของช่องว่างระหว่างผมและคนอื่นเอาไว้
ผมต้องการที่จะแสดงออกตัวตนของผมเฉพาะบนเวทีหรือไม่ก็ในเสียงเพลงเท่านั้น
แต่เป็นเพราะการที่จะต้องทำให้คนฟังมีความพึงพอใจมากที่สุดเป็นเรื่องที่มีสำคัญมากในการทำอัลบั้มนี้
ซึ่งมันมากกว่า ความคิดที่เราจะผสมความต้องการของเราทั้งสองให้กลมกลืนได้อย่างไร ครับ
10: คุณนั้นดูจะเป็นคนที่อยู่ ในอารมณ์ที่ ไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ใช่ไม๊ครับเนี่ย??
สมาชิกในวงบิกแบงต่างก็ดูไม่ค่อยจะปกติธรรมดากันซักเท่าไหร่
T.O.P : ผมก็คิดแบบนั้นนะครับ บางครั้งตอนที่ผมดื่มกับจียง
เราต่างก็รู้สึกเยี่ยมมากในเรื่องของการที่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตประจำวันของเราดำเนินไปในรูปแบบนี้
แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกเหงาเหมือนกัน
นอกจากนี้ยังมี เรื่องที่ยากสำหรับคนในวัยอย่างเราที่จะรับมือกับมัน และเรื่องที่เราพลาดไปก็มี
แต่เราก็ได้รับมามากเหมือนกัน มันมากจนเราคิดว่าเราอยู่ในโลกแห่งความฝันรึเปล่า
บางครั้ง มันถึงขนาดที่ว่ามันกลายเป็นปัญหาสำหรับที่จะแยกแยะว่าเรากำลังอยู่ในโลกแห่งความฝันหรือความเป็นจริงกันแน่
10: มันคงสาหัสน่าดูนะครับ การที่ถูกคนอื่นมาประเมินค่าเราอยู่ตลอดอย่างต่อเนื่อง
และความคิดก็ยังถูกบังคับให้เดินไปตามกลไกทางธุรกิจอยู่ตลอดเวลาในขณะที่คุณกำลังทำงานในแบบของคุณ
T.O.P : ผมคิดเรื่องนั้นตลอดเวลาเลยครับ แต่ผมคิดว่าผมกำลังเข้าใกล้คำตอบเข้ามาทุกทีแล้ว
อย่างในกรณีของเรื่องเพลง แทนที่จะคิดว่า "เพลงแบบไหนนะที่คนต้องการหรือกระแสไหนที่เราควรจะเดินตามไปดี"
ผมเชื่อว่าผมควรที่จะทำในสิ่งที่ผมต้องการที่จะทำมากกว่าและลองอะไรใหม่ๆที่ผมยังไม่เคยลองทำมาก่อน
แต่ต้องไม่ไปไกลเกินไป นะครับ โชคดีที่ผมมีผู้เชี่ยวชาญที่สุดวิเศษคนที่จะคอยแก้ไขให้ผม
ถ้าผมเริ่มที่จะออกนอกลู่นอกทาง ด้วยความที่ผมเชื่อมั่นว่าเค้าจะคอยช่วยเหลือ
ผมจึงอยากที่จะทำอะไรที่ใหม่ๆๆหากมันดูไม่ชัดเจน อย่างน้อยมันก็เป็นทิศทางที่ชัดเจนในการทำงานเพลงของผมก็แล้วกัน
10: เกาหลีดูจะไม่ใช่ที่ที่ดีที่สุดสำหรับคนดังจะมาอาศัยอยู่เท่าไหร่ ดังนั้นผมว่า
ด้วยวิธีใดก็ตามแต่คุณก็มีมุมนิพพานและปลงในแบบของตัวเองเหมือนกับที่จีดราก้อนมีเหมือนกันนะครับเนี่ย
T.O.P : ครับ มุมนิพพานของผม ( หัวเราะ)ล้อเล่นครับ
ผมแค่ยอมปล่อยให้ตัวเองรับมันได้ก็เท่านั้นครับ(หัวเราะ)
เรารู้ว่ามีผู้คนคอยเพ่งเล็งตัวผมและสมาชิกคนอื่นๆในวงบิกแบงด้วยอคติบางอย่าง
แต่ว่าก็ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะสิ่งเหล่านั้นจะยิ่งเป็นแนวทางให้เรายังคงพัฒนาต่อไป
ผมไม่ได้หมายความว่าผมชอบที่มีคอมเม้นซ์หยาบคายๆๆ ต่อว่าเราทางเวปไซด์ต่างๆหรอกนะครับ
แต่เราจะต้องพยายามมากขึ้นไปอีกเพราะมีการเข้าใจผิดเหล่านั้น
โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดของพวกเราสมาชิกวงบิกแบงคือเราชอบที่จะพยายามเมื่อมีเหตุการณ์แบบนั้น
มันไม่ใช่เป็นเพราะพวกเค้าเราถึงอยากที่จะทำอะไรบางอย่างนะครับ
แต่เราเพียงแค่ชอบกระบวนการที่ทำให้เราได้พยายามมากขึ้น ซึ่งมันกลายมาเป็นจุดที่เข้มแข็งที่สุดของเราครับ
10: เนื้อเพลงที่ "ท็อป"เขียนในอัลบั้มใหม่นี้ดูเหมือนจะยิ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่นมากเข้าไปอีก นะครับ
แร๊พเปอร์เป็นเพียงแค่บทบาทที่สร้างขึ้นมาก็จริง
แต่มันก็เป็นบทาทที่ทำให้คนคนนึงสามารถที่จะพูดเรื่องที่ต้องการจะพูดออกมาด้วยความมั่นใจนะครับ
T.O.P : เมื่อผมตัดสินใจว่าจะมาทำงานเพลงคู่กับจียง เริ่มแรกเลยเราคุยกันว่าเราจะเขียนเนื้อเพลงเท่าที่เราจะเขียนได้
หลังจากที่เราต่างก็เคยผ่านช่วงที่มีคนคาดหวังมากมายและโดยวิพาษ์วิจารณ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้นเราต้องการที่จะเขียนเพลงที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเราเอง
บางคนอาจจะสามารถมองง่ายๆๆว่าเราก็แค่ทำงานที่เต็มไปด้วยตัวตนของเราออกมา
แต่จริงๆแล้วเราต้องการที่จะเขียนเนื้อเพลงที่จะสามารถท้าทายคำวิพากษ์วิจารณ์ได้ด้วยออกมา
หากพิจารณาประโยคต่อประโยคดีๆ จะพบกับมันนะครับ
เช่นประโยค ที่ว่า " เราก็ถูกสร้างมาแบบนี้แหละ คุณเป็นใครถึงมีสิทธ์มาดูถูกเรา"
10: นั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกกับ อินโทร เลยครับ มันดูใกล้เคียงกับเพลง Hiphopในแบบเก่ามาก
ดังนั้นมันเหมือนกับว่าเราย้อนกลับไปแร๊พในช่วงที่อยู่มัธยมยังไงยังงั้นเลย
T.O.P : ใช่แล้วครับ การที่เราให้ตัวอย่างของเพลง hiphopในแบบเก่าออกมาในครั้งนี้
ผมต้องการที่จะแสดงออกให้เห็นถึงพื้นฐานของ จียงและผม
ในขณะเดียวกันผมก็ต้องการที่จะบอกถึงว่าการแร๊พที่ควรจะถูกพิจารณาไตร่ตรองอย่างจริงจังนั่นควรจะเป็นแบบไหน
โดยการเล่าเรื่องของตัวเองและแสดงมันออกมาในวิธีการแบบของผมเอง
10: งั้นเพลง "Oh mom" เป็นการบรรยายที่ตรงกันข้ามกับแนวคิดข้างบนรึเปล่าครับ??
เพราะเพลงนี้ไม่เหมือนกับเพลงอื่นๆที่คุณทำกับ จียงเลย
งานชิ้นนี้ได้บรรยายถึงตัวตนลึกๆๆของคนคนนึงแทนที่จะเป็นการอธิบายในมุมมองจากข้างนอกมองเข้าไป
T.O.P : "Oh mom" เป็นเพลงที่เขียนมาจากฉากที่มีอยู่จริงครับ
ผมไม่สามารถที่จะบอกลงไปในรายละเอียดได้ แต่อธิบายง่ายๆคือ
มันเป็นจดหมายของผมที่เขียนถึงเพื่อนคนนึงที่ป่วย มาก มาก
มันเป็นชิ้นงานที่มีความหมายสำหรับผมครับ ซึ่งจริงๆไม่ได้มีการวางแผนว่าจะนำมันมาอยู่ในอัลบั้มนี้ด้วยนะครับ
แต่ว่ามันถูกเพิ่มเข้ามาเพราะผมอยากจะให้มันมาเป็นส่วนหนึ่งของอัลบั้มนี้มากๆๆๆอะครับ
10: "Oh mom" ถูกจัดว่าเป็นเพลงร็อคนะครับและการที่ทำให้เสียงกลองดังขึ้นมาอีกระดับ
ทำให้ได้เสียงที่หนักเหมือนการแสดงสดเลยทีเดียว มีเหตุผลพิเศษในการทำแบบนี้ไม๊ครับ??
เพราะคุณก็ไม่ได้ทำส่วนจังหวะให้มันแตกต่างจากท่อนอื่นด้วยเพียงแค่ทำให้ดังขึ้นเท่านั้น
T.O.P : ผมอยากที่จะให้มันออกมาในแนวที่ต่อเนื่องมากขึ้นออกมาครับ พูดอีกอย่างคืออยากให้มันอบอุ่นขึ้น
ทุกวันนี้แนวเพลงในอุตสาหกรรมการทำเพลงนั้นเปลี่ยนไปครับ
มีเพลงที่มีจังหวะเร็วมากและใช้เสียงมากมายบ้าคลั่งเกิดขึ้น
ซึ่งเพลงเหล่านั้นอาจจะถูกลืมไปเมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่สองสามอาทิตย์
ในขณะเดียวกันคนก็เริ่มที่จะเบื่อเสียงเพลง เพลงที่ใช้เสียงอิเลคโทรนิคมากๆๆนั้น มันก็ฟังสนุกดีนะครับ
แต่ถ้าเพลงที่มันเอนไปในทางนั้นมากจนเกินไปมันก้ทำให้ผู้คนเหนื่อหน่ายด้วยเหมือนกันนะครับ
และเพื่อเห็นแก่แฟนๆ ผมอยากที่จะลองทำอะไรที่มันให้เสียงที่ฟังดูต่อเนื่องมากขึ้น
และนอกจากนี้ ทั้งผมและจียงต่างก็เริ่มที่จะสนใจเพลงแนวร็อค ในการแร๊พของพวกเราก็เปลี่ยนไปนิดๆนะครับ
ในอดีตผมมักจะพยายามที่จะทำเสียงให้ออกมาหนาและแหบ แต่ในตอนนี้ผมทำมันเสียงออกมาในแบบที่ฟังสบายๆๆ
อืม เหมือนกับไม้ที่ยังไม่ได้มีการแปรรูปอะครับ (หัวเราะ)
10: ผมรู้สึกประทับใจมากเลยกับการแร๊พในเพลง "Baby Good Night."
ท่อนแร๊พในส่วนของคุณเเป็นเสียงแร๊พประเภทที่เหมือนกับโดดเด่นขึ้นมาฝ่าเสียงดนตรีซึ่งครองส่วนใหญ่ของเพลงเอาไว้
แต่มันเป็นการแร๊พแบบพิเศษที่เสียงมันแทบจะละลายกลืนเข้าไปรวมกับเสียงดนตรีเท่าที่มันจะทำได้อีกด้วย
ไหนจะเนื้อเพลงที่มีเสียงที่เข้ากับคำศัพท์ในตอนนั้นอย่าง Whipping cream อีก
T.O.P : ที่เป็นแบบนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าเราต้องการที่จะบรรยายถึงความรู้สึกข้างในของเราออกมา ครับ
สำหรับเพลง "Baby Good Night" เราให้ความใส่ใจมากเป็นพิเศษ
ในการใส่ส่วนประกอบที่จะไปโดนอารมณ์ของคนฟังลงไปในเพลง โดยที่คนฟังไม่ต้องกังวลว่าจะรู้สึกหนวกหู
ทุกวันนี้คนมักจะพูดว่าเพลงที่มีความยาว มากกว่า 3 นาทีนั้นเป็นเพลงที่ยาวเกินไป
และเพลงที่ไม่มากับเวอร์ชั่นย่อๆๆก็ถูกตีค่าว่ายาวเกินไปเหมือนกัน
แต่ผมเชื่อว่ามันมีเพลงที่ฟังแล้วไม่น่าเบื่อแม้ว่ามันจะไม่ได้ใส่องค์ประกอบพิเศษในการกระตุ้นความสนใจของคนฟังลงไปก็ตาม
ดังนั้นผมอยากที่จะบอกกับคนที่ชอบ บิกแบง จียง หรือ ผม โดยเฉพาะวัยรุ่นในวัย 20 นะครับ
ว่ามันมีเพลงในสไตล์นั้นอยู่นะครับ แม้ว่ามันจะเป็นเพลงที่ยาวและดูจะไม่ใช่เพลงในกระแส แต่เพลงก็คือเพลงครับ
10: ผมคิดว่านั้นเป็นจุดที่ เป้าหมายที่คุณวางไว้ให้กับตัวเองกับความคิดที่จะทำเพื่อสาธรณะมันมาเจอกันไม๊ครับ
T.O.P : เรื่องของเพลงเป็นอะไรบางอย่างที่มันจะออกมาเองโดยที่ไม่ต้องไปบังคับ
มันเป็นไปตามสัณชาตญาณมากกว่าที่จะต้องผ่านความคิดที่ซับซ้อนครับ
เป็นเพราะเราถือได้ว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ในขณะเดียวกันเราก็ยังเป็นเพียงวัยรุ่นที่ต้องการทำงานเพลงเท่านั้น
ในขณะที่เราทำงานเราต้องผ่านอารมณ์ความรู้สึกที่เราอยากจะบรรยายออกมามากมายในขณะเดียวกันเราก็กำลังมองหาเป้าหมายของเราด้วย
แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเราเอาตัวเองออกห่างจากความคิดเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองมากเท่าไหร่
มันก็ทำให้ผมได้เห็นภาพที่ใหญ่ขึ้นและมองเห็นเป้าหมายชัดเจนขึ้น ครับ
และนั่นเป็นเหตุผลที่ผมต้องการที่จะช่วยคนที่ฟังเพลงของผมให้มีความมั่นใจ
และอยากให้เพลงเป็นเหมือนแหล่งพลังงานที่จะสร้างความเข็มแข็งทั้งให้กับทั้งตัวผมและกับคนอื่นๆด้วยครับ
10: ความมั่นใจของคุณดูเหมือนจะเป็นหมัดเด็ดที่ "knockout" ชนะน็อคได้จริงๆ (หัวเราะ)
บางทีอาจจะมีคนที่กำลังคอยลับมีดเตรียมพร้อมที่จะโจมตีในทุกสิ่งที่คุณทำ
หรือไม่ก็ทุกครั้งที่คุณและจีดราก้อนขึ้นเวที คุณวางแผนเตรียมรับมือยังไงครับ??
T.O.P : ผมว่าเรามีมีดที่คมกว่านะครับ (หัวเราะ)
Credit to 10 Asia Translation by undercover @ VIPP
แก้ไขเมื่อ 01 ม.ค. 54 14:25:54