รีวิว Track By Track : Jessie J Who You Are
|
|
คงเป็นที่คุ้นหูกันบ้างแล้วสำหรับชื่อ Jessie J สาวเสียงดีวัยยี่สิบสองปีจากเกาะอังกฤษ ที่หลังจากบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปเปิดตัวซิงเกิลแรก Price Tag ที่อเมริกา ในสายตาชาวอเมริกันตอนนี้เธอไม่ใช่ สาวอังกฤษคนนั้นที่แต่งเพลงให้ไมลี่ ไซรัส อีกต่อไป แต่กลายเป็น สาวผมม้าคนนั้นที่ฆ่าคนอื่นตายหมดตอนโชว์ใน Saturday Night Live (เธอโชว์เพลง price tag และ mamma knows best กระแสตอบรับดีเยี่ยม) และแน่นอนว่าหากเธอมีชื่อเสียงได้ในอเมริกาชื่อเธอจะได้ยินไกลไปทั่วโลกรวมไปถึงบ้านเราที่จำเธอในฐานะ นักร้องคนนั้นที่ดูคล้ายๆกรรมการเดอะสตาร์ สิ่งสำคัญที่สุดที่ส่งให้เธอมาได้ไกลถึงขนาดนี้นั้นไม่ใช่ข่าวฉาวโฉ หรือการผลิตดนตรีสุกเอาเผากินเน้นเอาใจตลาดกระแสหลัก แต่มันคือความเป็นตัวของตัวเองที่ถูกถ่ายทอดมาอย่างเป็นกันเองผ่านการแสดงสดในแต่ละครั้ง ภาพลักษณ์เชิงแฟชั่นที่ดูจะไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ รวมไปถึงพลังเสียงที่ จัสติน ทิมเบอร์เลค ยังบอกว่านี้คือนักร้องที่ดีที่สุดในโลก
เอาล่ะ แม้ผมจะสรรเสริญมายาวเหยียดขนาดนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าอัลบั้มแจ้งเกิด who you are จะสมบูรณ์แบบเสมอไป ยังมีอีกหลายประเด็นให้ได้ถก ได้ล้วงแคะแกะเกากันอีกเยอะ วันนี้เราจะรีวิวกันแบบtrack by track เรียกว่าฟังจริงด่าจริงกันเลยเดียว ใครซื้อแผ่นมาลองฟังจนครบแล้วอาจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยไม่เป็นไร คิดซะว่าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน มา เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า!
Price Tag เพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุดในอัลบั้มอยู่ตอนนี้ เรียกว่าคิดไม่ผิดที่เลือกเพลงนำร่องมาก่อน เพราะมันบอกตัวตนของเธอได้ชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุด แถมยังได้แร็ปเปอร์ B.O.B ที่แจ้งเกิดไล่เลี่ยกันมาช่วยกรุยทางตลาดอเมริกาให้ด้วย Price Tag เป็นเพลงป็อปสบายๆ แอบสอดไส้จังหวะเร็กเก้มาให้พอเคลิบเคล้ม เพลงนี้เจสสิกาเธอให้สัมภาษณ์ว่าอยากให้ทุกคนรักกัน มองกันที่คุณค่าทางจิตใจ ให้ดนตรีพาโลกหมุนไป แน่นอนเธอพูดถูก เนื้อเพลงเชยๆนี้เหมาะที่สุดกับบรรยากาศสังสรรค์ในกลุ่มเพื่อนสนิท ให้ทุกคนร่วมร้องไปด้วยกัน
Nobodys Perfect เพลงนี้เธอเปรยมาว่าจะปล่อยมาเป็นซิงเกิ้ลถัดไป แต่งมาขอโทษขอโพยเพื่อนรักที่ได้ล่วงเกินอะไรกันไป เปิดมาด้วยเครื่องสายพอให้ลุ้นว่าจะต้องเป็นบัลลาดเท่ๆแน่ๆ แต่แล้วก็มี kick drums เข้ามา ตามมาด้วยท่อนอิมโพรไวซ์ยาวเหยียดจนจบเพลงทำให้ทุกอย่างพังทลายลงมาหมด จริงที่เธอเสียงดี แต่บางครั้งก็ต้องยอมปล่อยให้ดนตรีเข้ามามีบทบาทบ้างซิ
Abracadabra ต่อมาเป็นเพลงพ็อพใสๆจังหวะพอโยกได้แต่อย่าน่าเกลียด มาพร้อมกับท่อนฮุกติดหูฟังดูสดชื่น แต่ถ้าไม่บอกว่านี้เป็นเจซ ก็จะไม่รู้เพราะเพลงแบบนี้เราหาฟังกันได้เกลื่อนทั่วไปตามอัลบั้มของ นิโคล เชอซิงเกอร์ อเล็กซิส จอร์แดน หรือ ลีโอน่า ลูอิส ฟังได้พอให้อารมณ์ดีแต่หาความเด่นไม่
Big White Room ในที่สุดเพลงบัลลาดโชว์พาวที่รอคอยก็มาถึง เพลงนี้เป็นเพลงที่เจสสิก้าแต่งเก็บไว้สมัยเด็กๆ เนื้อหาเชิงสัญลักษณ์แบบกำลังพอดีไม่ยากเกินจะเข้าใจ เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ไพเราะน่าฟัง แนะนำให้ฟังเพลงนี้คนเดียวเพลินๆบนรถไฟฟ้า จะได้อารมณ์มาก ติดอยู่ตรงที่มัน ยาวเกินไป เราคนหนึ่งที่ไม่สามารถนั่งฟังการอิมโพรไวซ์วนไปวนมาจนจบห้านาทีนั้นได้ ทางด้านดนตรีไม่มีอะไรน่าดึงดูด ถึงแม้จะได้การอัดแบบแสดงสดมาช่วยต่อชีวิตก็ตาม
Casualty of Love เพลงนี้ยกให้เป็นที่ดีที่สุดอัลบั้มไปเลย เพราะทุกอย่างกำลังกลมกล่อมพอดีกันไปหมด จังหวะอาร์แอนด์บีเนิบๆ เบาๆ กับเทคนิคการร้องอย่างคงเส้นคงว่า ไม่หวือหวา ส่งเราลอยละลิ่วไปกับบทเพลงเทิดทูนความรักมองโลกในแง่ดี ทุกอย่างเข้ากันได้ดีอย่างน่าทึ่ง เป็นอีกหนึ่งเพลงเด่นจากอัลบั้มนี้
Rainbow จู่ๆก็อยากจะเปลี่ยนอารมณ์มาเป็นแนวฮิปฮอปใส่ซาวน์แบบ Ghetto ขึ้นมา ตกใจนึกว่าเปิดแผ่นผิดคิดว่าใครเอาแผ่น nicki minaj มาใส่เนี้ย? พอมาถึงท่อนฮุคก็เริ่มเข้าร่องเข้ารอยได้ แทร็คนี้ดูบุคลิกเจซซี่ เจ ก็ไปกันได้ดีกับซาวน์แนวนี้ บวกกับการร้องแบบกึ่งแร็พที่มีมาให้เห็นไม่มาก ก็ไม่เสียหายอะไร
Whos Laughing Now เพลงนี้เหมือนเป็น Rainbow 2.0 เพราะลักษณะทางภาคดนตรี และการร้องที่คล้ายกันจนจำผิดจำถูก ในเพลงนี้เธอเปิดใจเล่าให้ฟังถึงสมัยเด็กเคยโดนเพื่อนรุมล้อ ว่าฟันเหยินบ้าง ว่าเอเลี่ยนบ้าง ถูกไล่กลับบ้านบ้าง ไม่แปลกที่ปัจจุบันเพลงนี้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นแค่เพลงตลกเยอะเย้ยเพลงหนึ่ง เข้าตำรา หัวเราะทีหลังดังกว่า
Mamma Knows Best เพลงนี้เรียกว่าเป็นเเทร็คไม้ตายไปเลยก็ได้ เพราะถ้าใครได้เจอเครื่องเป่าตามสไตล์โมทาวน์ ตามด้วยเวิร์สปล่อยพลังท่อนแรกเข้าไปแล้วไม่ยังหยุดฟังแสดงว่าหูเริ่มมีปัญหาแล้ว ไหนจะกีตาร์แบ็คอัพด้านหลังก็เก๋ไก๋ไม่ยอมกัน บวกกับลูกเล่นลูกร้องแพรวพราว ที่ฝรั่งเขาคอมเม้นท์กันว่า she can play with her voice like a toy อันนี้ยืนยันว่าจริง
L.O.V.E ต่อมาดูเหมือนเธอจะเริ่มมีอาการสับสน ก็เธอเล่นร้องว่า F*ck it I dont write a song about love ทำเราร้องอ้าว แล้วที่ฟังมาตั้งหลายเพลงนี้อะไร(วะ) เพลงรักแบบกลัวๆกล้าๆนี้ดูเหมือนจะเป็นเพลงที่ควรแก่การกดข้ามเป็นที่สุด
Stand Up ด้วยเหตุผลประการใดไม่ทราบทำให้วูบแรกที่ฟังเพลงนี้จบรู้สึกว่านี่คือเวอร์ชั่นไม่สมบูรณ์ของ Blame It On The Girls ของ มิก้า รู้สึกคับคล้ายคับคลาชอบกล มีปัญหาตรงระหว่างท่อนฮุค กับ ท่อนเวิร์สดูขาดความเป็นเอกภาพ ไม่ได้รับส่งกันแต่อย่างใด พอท่อนฮุคมาดนตรีโหม มีเครื่องสีเครื่องสายมากันพร้อม แต่พอจบก็เหลือแค่ บูม แคล็บ บูม แคล็บ เหมือนเดิม ส่วนภาคเนื้อหาก็ถูก Who You Are (ที่กำลังจะรีวิว)กลบเรียบร้อย
I Need This เพลงนี้มีการซ้ำซ้อนกันเกิดขึ้น เมื่อเธอเขียนเพลงนี้ให้คริส บราวน์ไปเมื่อปี 2009 และได้ถูกบรรจุลงอัลบั้ม Graffiti ของนายคนนี้เรียบร้อย แต่เจสซี่เองก็ดันลงเพลงนี้ในอัลบั้มตัวเองด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะมีการเทียบกัน ถ้าหากเทียบกันจริงๆ ต้องยอมให้คริส บราวน์ไป เพราะโดยสำเนียง และเสียงที่ทุ่มลึกกว่าของผู้ชาย ทำให้พยุงอารมณ์เพลงได้ดีกว่า และดูเป็นเพลงของคริส บราวน์มากกว่า แต่ถ้าไม่เทียบ ก็ยังถือว่าผ่านเพราะไม่ดูเป็นปมด้อยของอัลบั้มเกินไป
Who You Are สำหรับเพลงนี้ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้โปรโมทอย่างเป็นทางการแต่ก็เป็นที่รู้จักกันเรียบร้อยแล้ว ในฐานะที่เป็นไตเติ้ลแทร็คเพลงที่สำคัญที่สุดของอัลบั้มจึงทำให้ต้องแบกรับความกดดันไว้สูงที่สุด ซึ่งเพลงนี้ไม่ได้ทำให้เราผิดหวังเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ดนตรีจะมีแค่กีตาร์ตัวเดียว แต่เนื้อร้องทำนองนั้นทำออกมาได้ดีเยี่ยม ถ้าหากคุณเป็นคนมีปมด้อย หรือท้อแท้ แนะนำให้ตั้งใจฟังทีละท่อนๆ เราจะรู้สึกเหมือนเพลงนี้มาแตะไหล่เบาๆแล้วบอกว่า มันไม่โอเคก็ไม่เป็นไรนะ และอาจเสียน้ำตาเอาง่ายๆ
จุดอ่อน จุดอ่อนที่เห็นได้ชัดเจนคือภาคดนตรีที่เหมือนตั้งใจจะอ่อนให้เพื่อส่งให้เสียงร้องและตัวนักร้องออกมาเด่นที่สุด ซึ่งนั้นอาจไม่เป็นปัญหาหากคุณเป็นเพียงแฟนคลับที่ไม่สนใจดนตรีเลยแม้แต่น้อย แต่อาจทำให้เกิดอาการ overwhelmed เนื่องจากฟังเสียงร้องที่ใส่มาเต็มร้อยมาตั้งแต่ต้นจนจบร่วมชั่วโมง อีกจุดหนึ่งคือความเชย ที่เชยมาตั้งแต่หน้าปกอัลบั้ม มาจนแทร็คสุดท้าย ขัดกับตัวตนนักร้องที่มีสไตล์ล้ำเลิศกว่าใครเป็นไหนๆ ต้องยอมรับว่า เจซซี่ เจ ไม่ใช่นักร้องแบบ เอมี่ หรือ อะเดล หรือ ดัฟฟี่ ที่เจาะไปที่แนวใดแนวหนึ่งเพื่อให้คนฟังกลุ่มหนึ่ง แต่เธอกำลังเกาะกระแสพ็อพซึ่งเพลงพ็อพนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การทำเพลงให้ทันยุคทันสมัยกับเขาบ้างก็จะทำให้คนฟังไม่รู้สึกว่าเอาซีดีเก่าสมัย 2002 มาเปิด
จุดเด่น เจซซี่ เจซซี่ และ เจซซี่ล้วนๆ อย่างแรกคือเธอเป็นร้องที่สามารถสร้างความบันเทิงชั้นเลิศได้แต่ทำให้รู้สึกเหมือนเจซซี่ เป็นเพื่อน เป็นรุ่นพี่ ที่ร้องเพลงๆเก่งๆที่รู้จักกันมาก่อนมาร้องให้ฟัง เธอเป็น entertainer ที่สามารถแสดงสดได้ดีกว่าเปิดแผ่นเป็นไหนๆ เวอร์ชั่นอคูสติกแต่ละเพลงในไลฟ์ก็ออกมาแก้ข้อบกพร่องได้ทันควัน เธออาจไม่ใช่คนที่เนื้อเสียงไพเราะน่าฟัง แต่เป็นนักร้องที่มีลูกเล่นลื่นไหลและแสดงสดดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในช่วงปีนี้ รวมไปถึงการที่เธอแต่งเพลงเองทั้งหมดยิ่งทำให้เราได้ซึมทราบเรื่องราวที่จะถ่ายทอดได้จากมือถึงมือไม่ผ่านตัวกลางใดๆ
จากคุณ |
:
นายชิงโชค
|
เขียนเมื่อ |
:
31 มี.ค. 54 00:43:55
|
|
|
|