ความคิดเห็นที่ 1 .          ผมตั้งใจขึ้นต้นบทความดนตรีของตนเองด้วยสองภาพบรรยากาศที่ขัดแย้ง และแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อันเป็นภาพเหตุการณ์จากสองห้วงเวลาที่ผมตั้งขึ้นมาเป็นตุ๊กตาเพื่อใช้เปรียบเทียบและบอกเล่าถึงความเป็นไปของยุคสมัย ผมขอยอมรับตามความเป็นจริงว่า แม้ตนเองแสนจะคุ้นเคยกับบทเพลงไทยเดิมจำนวนมาก (แต่มักไม่ทราบชื่อบทเพลงเหล่านั้น ทั้งๆที่แสนจะคุ้นกับทำนอง) เพราะนับตั้งแต่จำความได้เวลาที่ข้างบ้านหรือในชุมชนที่ผมเคยอยู่แถวอยุธยาตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก เมื่อมีการจัดงานต่างๆ ทั้งงานบุญ งานรื่นเริง แม้แต่งานศพ ผมมักได้ยินเสียงเพลงไทยเดิมที่เจ้าภาพเปิดประโคมทางเครื่องขยายเสียงให้ได้ยิน แต่เอาเข้าจริงสำหรับผมแล้วบทเพลงเหล่านั้นก็คล้ายกับเพลงประกอบพิธีการ มากกว่าจะเป็นเพลงที่เราฟังด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในความไพเราะเพราะพริ้ง บางทีสภาพวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปทำให้รสนิยมการฟังเพลงของเรามีการปรับเปลี่ยนไปโดยธรรมชาติอยู่แล้ว!           ผมมั่นใจว่า หากสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศรอบตัวผมยังเป็นเหมือนกับเรื่องราวที่ผมบอกเล่าไว้ในย่อหน้าแรก ผมคงรักที่จะฟังดนตรีไทยเดิมมากกว่าดนตรีร่วมสมัยที่ตนเองฟังอยู่ในปัจจุบันอย่างดนตรีป็อป ดนตรีร็อค ดนตรีแจ๊ส และดนตรีคลาสสิก แต่นี่สิ่งแวดล้อมรอบตัวผมมันแสนจะวุ่นวายพอๆ กับวิถีชีวิตของคนเมืองในปัจจุบัน มันไม่เอื้อให้ผมมีโอกาสซาบซึ้งกับเพลงไทยเดิมได้อย่างเป็นธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย ในมุมมองของผม บทเพลงที่เราฟังไม่เพียงสะท้อนถึงวิถีชีวิต แต่ยังรับใช้ผู้ฟังตามไลฟ์สไตล์ของเราในยุคสมัยนั้นๆ จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 20:20:48

ความคิดเห็นที่ 2 .           อย่างไรก็ตาม ผมก็คงเหมือนชาวเมืองทั่วๆไปที่หลายครั้งที่เรามีโอกาสเดินทางผ่าน หรือแม้แต่ดำเนินชีวิตอยู่ในใจกลางของย่านที่ได้ชื่อว่า รื่นรมย์และงดงามที่สุดของกรุงเทพอย่างเกาะรัตนโกสินทร์ ผมเคยเช่าหอพักอยู่แถววังหลังข้างโรงพยาบาลศิริราช เมื่อผมว่างไม่ติดภารกิจการงานหรือธุระอื่นๆ หากผมไม่เดินเข้าห้องสมุดธรรมศาสตร์ หรือเดินไปหาซื้อหนังสือดนตรีต่างประเทศมือสองแถวตรอกข้าวสาร ในช่วงเวลาเย็นๆ ที่แดดร่มลมตกผมก็มักหาโอกาสเดินเที่ยวลัดเลาะท่องเที่ยวไปมาอยู่แถวๆสนามหลวง วัดพระแก้วมรกต และสถานที่อีกหลายแห่งในละแวกย่านนั้นตลอดแนวถนนราชดำเนิน            ผมเคยตะลึงกับภาพอันวิจิตรตระการตาเมื่อมองจากเรือด่วนเจ้าพระยาที่แล่นผ่านองค์พระปรางวัดอรุณในยามเย็น องค์ปรางสีเทาทะมึนดำแต่ยังพอมองเห็นถึงลวดลายวิจิตรบนองค์ปรางอยู่ลางๆ ตัดกับสีส้มอมแดงของขอบฟ้าไกลที่ช่วยห่มคลุม และขับให้องค์ปรางดูขลังและวิจิตรงดงามเกินกว่าจะพรรณนาและบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรในที่นี้ได้  ผมจึงถึงบางอ้อในวันนั้นว่า ทำไมภาพขององค์พระปรางวัดอรุณจึงมักถูกหยิบยกมาเป็นตัวแทนของกรุงเทพบ่อยครั้ง  เมื่อมีการประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวของกรุงเทพเมืองฟ้าอมร (ฟ้าอมรจริงๆ ในวันนั้น) แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 21:06:41 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 20:23:02

ความคิดเห็นที่ 3 .            ปกติผมมักติดเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาและหูฟังไปด้วยในเวลาที่ตนเองต้องไปในที่ต่างๆในกรุงเทพ ในวันนั้นผมยังจำได้ตนเองกำลังฟังบทเพลงลาวดำเนินทราย เวอร์ชันที่วงบอยไทย (Boy Thai) วงดนตรีไทยประยุกต์นำมาเรียบเรียงใหม่ และบรรเลงออกมาในลีลาร่วมสมัยไว้ในงานชุด อันดามัน ซัน  ในช่วงที่เรือแล่นผ่านองค์ปรางค์วัดอรุณ ผมรู้สึกในตอนนั้นว่า ผมไม่เคยฟังบทเพลงของบอยไทยไพเราะเท่านี้มาก่อนเลย ปกติผมก็ชอบดนตรีไทยประยุกต์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เนื่องจากวงดนตรีแนวนี้หลายวงมักนำรูปแบบวิธีการเรียบเรียงและบรรเลงดนตรีในลีลา ลาติน-ฟิวชั่นแจ๊ส มาใช้ ซึ่งมันก็ตรงกับรสนิยมและจริตของตนเองอยู่ก่อนแล้ว แต่ในวันนั้นยิ่งทำให้ผมรักดนตรีไทยประยุกต์มากยิ่งขึ้น จนตนเองรู้สึกไปว่า นี่ล่ะคือดนตรีที่เป็นคำตอบสำหรับยุคสมัยของสังคมไทยในช่วงเวลานั้นอย่างแท้จริง (อย่างน้อยก็ในกรุงเทพแถบย่านนั้นล่ะ)              ผมเคยมีโอกาสได้รับฟังความเห็นของเพื่อนในแวดวงดนตรีไทยเดิมจริงๆ มักมองกันว่าดนตรีไทยเดิมประยุกต์ทำให้ดนตรีไทยเดิมผิดเพี้ยนไป นั่นเป็นมุมมองของผู้ที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม และคลุกคลีอยู่กับจารีตปฏิบัติตามแบบดนตรีไทยเดิมแท้ๆบริสุทธิ์ควรจะเป็น ซึ่งก็ไม่ผิดและไม่แปลกที่จะคิดและรู้สึกเช่นนั้น แต่ในมุมมองของผมเอง ผมกลับมองว่า วงดนตรีไทยประยุกต์นี่เองที่ยังทำให้ดนตรีไทยเดิมเกิดใหม่ได้อย่างมีชีวิตและชีวาในสภาพบรรยากาศสังคมไทยยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงในฐานะของศิลปะประจำชาติที่คนไทยควรอนุรักษ์ และนำมาขับกล่อมบรรเลงในงานพิธี หรือในคอนเสิร์ตอนุรักษ์วัฒนธรรมประจำชาติอย่างเป็นครั้งคราวเท่านั้น  แต่ในฐานะดนตรีที่ถูกสร้างสรรค์และบรรเลงขึ้นมาเพื่อรับใช้วิถีชีวิตและไลฟ์สไตล์ของเราในปัจจุบันจริงๆ! แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 21:39:44 แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 20:27:06 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 20:24:47

ความคิดเห็นที่ 4 .            จริงอยู่ที่ดนตรีไทยเดิมบริสุทธิ์ควรได้รับการสืบทอด และบรรเลงในฐานะศิลปะประจำชาตินั้นก็เป็นเรื่องที่สมควรยิ่ง อย่างไรก็ตามโดยธรรมชาติของดนตรีทุกแนวในโลก ไม่ว่าจะเป็นดนตรีท้องถิ่น ดนตรีแจ๊ส ดนตรีคลาสสิก รวมไปถึงดนตรีสมัยนิยม ล้วนถูกดัดแปลงและพัฒนาทั้งรูปแบบการเรียบเรียง และการบรรเลงตามยุคสมัยอย่างเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว และดนตรีไทยเดิมเองก็เป็นหนึ่งในแนวดนตรีที่ควรได้รับการพัฒนาต่อไป แต่มิใช่ในฐานะของดนตรีไทยเดิม แต่ในฐานะของดนตรีสาขาใหม่อีกสาขาหนึ่งที่ชื่อว่า“ดนตรีไทยประยุกต์” ดังนั้นการทดลอง ดัดแปลง ประยุกต์ สังเคราะห์ หรือพัฒนาใดๆ อันเกิดจากการนำดนตรีไทยเดิมในอดีตมาทำใหม่ โดยการผสมผสานกับดนตรีแนวอื่นๆ ที่มีอยู่ในโลก จึงมิได้ทำให้เกิดความเสียหายต่อดนตรีไทยเดิมแต่ประการใด ทั้งนี้เพราะมันถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาในบริบทแบบใหม่ ในสภาพแวดล้อมและเทคโนโลยีแบบใหม่ในปัจจุบัน และในดนตรีสาขาใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับดนตรีไทยเดิมอีก ดนตรีไทยเดิมแท้ๆ จึงลอยตัวอยู่เหนือความเป็นไปของดนตรีไทยประยุกต์ ไม่ได้เกี่ยวข้องกันอีกถือว่าเป็นดนตรีต่างสาขากันแล้ว             ในฐานะคนรุ่นหลังผมย่อมรู้สึกภาคภูมิใจที่ชนชาติของเรามีภาษาของเราเอง วัฒนธรรมของเราเอง รวมถึงเรามีดนตรีไทยของเราเอง นั่นย่อมแสดงถึงภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของคนไทยรุ่นก่อนได้อย่างเป็นรูปธรรม และมีหลักฐานพิสูจน์ให้เห็นกันชัดๆ อย่างที่สืบทอดมาจนถึงคนรุ่นหลังอย่างรุ่นกระผม แต่หากถามผมว่า เมื่อผมรู้สึกภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของเราเองแล้ว ผมยังต้องการจะนุ่งผ้าม่วง ใส่เสื้อราชประแตน นั่งพับเพียบเพื่อดื่มด่ำกับเพลงไทยเดิมหรือไม่ ผมก็ต้องขอยอมรับตรงๆ ว่า ผมคงไม่ทำแบบนั้น ซึ่งก็คงจะเป็นความรู้สึกคล้ายคลึงกับคนอื่นๆ รุ่นเดียวกันหรือร่วมสมัยกับผม ส่วนหากจะมีใครชอบฟังดนตรีไทยเดิมอย่างสุดจิตสุดใจ อันนั้นก็ถือเป็นรสนิยมส่วนตัวและถือว่าเป็นผู้ช่วยสืบทอดให้ดนตรีไทยแท้ๆ ได้ผลิดอกงอกงามในใจของคนรุ่นใหม่จริงๆ กันต่อไป ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มใจจริงๆ แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 20:47:07 แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 20:30:59 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 20:29:46

ความคิดเห็นที่ 5 .           ดนตรีไทยประยุกต์เป็นดนตรีที่นำเอารสชาติและสีสันบางส่วน รวมถึงหยิบยืมเอาท่วงทำนองบางช่วงบางตอนของดนตรีไทยเดิมมาใช้ แล้วสังเคราะห์และพัฒนารูปแบบรวมทั้งสีสันออกมาใหม่ เพื่อให้เข้ากันได้กับวิถีชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ซึ่งบางทีเราก็จัดให้ดนตรีไทยเดิมประยุกต์เป็นดนตรีของโลก (World Music) อีกแขนงย่อยหนึ่งด้วย  หากเราไม่เปิดโอกาสให้ดนตรีไทยเดิมได้มีโอกาสให้คนรุ่นหลังนำมาดัดแปลงและพัฒนารูปแบบอื่นๆ ต่อไปได้บ้างแล้ว ในความเห็นของผมดนตรีไทยเดิมจะมีสภาพเป็นเพียงดนตรีประกอบพิธีการ หรือใช้บรรเลงกันในงานสืบสานอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย และฟังกันเฉพาะในกลุ่มคนเล็กๆจำนวนหนึ่งเท่านั้น โดยไม่ได้รับความสนใจจากคนฟังทั่วไป ทั้งนี้เพราะดนตรีไทยเดิมมิใช่รูปแบบดนตรีที่สามารถรับใช้วิถีชีวิตของคนไทยในยุคปัจจุบันอีกต่อไปนั่นเอง ผิดกลับดนตรีลูกทุ่ง-ลูกกรุง ดนตรีป็อป ร็อค หรือแจ๊ส ที่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันได้อย่างตรงเผง!               ผมอยากให้ผู้อ่านกลับไปอ่านย่อหน้าแรกของบทความนี้อีกครั้ง นั่นแหละครับ..หากเมืองไทยในปัจจุบันสามารถย้อนกลับไปมีสภาพบรรยากาศรื่นรมย์แบบนั้นได้อีกครั้งเท่านั้น ดนตรีไทยเดิมถึงจะกลับมาได้รับความนิยมอย่างเป็นธรรมชาติสำหรับผู้ฟังทั่วๆไปได้อีก! สังคมไทยในปัจจุบันคงไม่ได้คาดหวังจะให้คนรุ่นผมนั่งจิบกาแฟสดอยู่ข้างทางที่มีรถราขวักไขว่ บีบแตรเสียงดัง และวิ่งกันไปมาปรู๊ดปร๊าด โดยฟังเพลงไทยเดิม ร้องเอ่อเอิงเอยทำนองสามชั้น จากเครื่องเล่นเพลงเอ็มพีสามพร้อมๆกับนั่งเหลือบมองสาวออฟฟิศ ที่เดินผ่านไปมา และแต่งตัวเฉิดฉายโฉบเฉี่ยวราวกับเดินออกมาจากนิตยสารแฟชั่นต่างประเทศใช่ไหมครับ? . แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 21:14:14 แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 20:49:02 แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 20:34:19 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 20:33:23

ความคิดเห็นที่ 6 ปล. ไม่รู้จะโพสต์อะไรเลยเอาบทความที่เขียนเล่นๆไว้นานแระ มาลง ในตอนต่อไป ว่าจะเขียนขึ้นใหม่(ถ้ามีเวลา) ขยายความประเด็นในคลังกระทู้เก่า http://topicstock.pantip.com/chalermkrung/topicstock/C3194798/C3194798.html เรามารู้จักอัลบั้มเพลงดนตรีไทยประยุกต์ในอดีตและในปัจจุบันที่น่าสนใจ และน่าตามหามาฟังกันดีกว่า แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 23:40:04 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 20:49:38

ความคิดเห็นที่ 7 ดนตรีไทยประยุกต์ (2): สมานไทย.. รักไทยเพื่อไทย ไทยอยู่ได้ด้วยน้ำใจ รักกันไว้เถิดคนไทย สายเลือดเดียวกัน http://www.pantip.com/cafe/chalermkrung/topic/C10534865/C10534865.html จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 12:38:37

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่ขึ้น แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 54 13:01:06 แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 54 12:38:05 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 54 06:44:12

ความคิดเห็นที่ 9 - จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 54 13:00:24

ความคิดเห็นที่ 10 บอยไทยเจนเนอเรชั่น 2 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 54 13:06:20

ความคิดเห็นที่ 11 เราเคยทราบกันหรือไม่ว่า.............. - วัดอรุณราชวราราม เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมเรียกว่า "วัดมะกอก" ตามชื่อตำบลบางมะกอกซึ่งเป็นตำบลที่ตั้งวัด - เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชประสงค์จะย้ายราชธานีมาตั้ง ณ กรุงธนบุรีจึงเสด็จกรีฑาทัพล่องลงมาทางชลมารค ถึงหน้าวัดมะกอกนอกนี้เมื่อเวลารุ่งอรุณพอดี จึงทรงเปลี่ยนชื่อวัดมะกอกนอกเป็น "วัดแจ้ง" เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งนิมิตที่ได้เสด็จมาถึงวัด นี้เมื่อเวลาอรุณรุ่ง - ในช่วงเวลาที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานี ถือกันว่าวัดแจ้งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง เนื่องจากเป็นวัดที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตและพระบาง ซึ่งสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) ได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญ ๒ องค์นี้มาจากลาวในคราวที่เสด็จตีเมืองเวียงจันทร์ได้ในปีพ.ศ. ๒๓๒๒ โดยโปรดให้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางขึ้นประดิษฐาน - เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติ พระองค์ทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร (พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) เป็นผู้ดำเนินการปฏิสังขรณ์วัดแจ้งและมีการสมโภชใหญ่ ๗ คืน ๗ วัน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๒๗ พระแก้วมรกตได้ย้ายมาประดิษฐาน ณ วัด พระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมหาราชวัง ส่วนพระบางนั้นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้โปรดพระราชทานคืนไปนครเวียงจันทร์ แต่การปฏิสังขรณ์สำเร็จเพียงแค่กุฎีสงฆ์ก็สิ้นรัชกาลที่ ๑ ใน พ.ศ. ๒๓๕๒ เสียก่อน - ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ พระองค์ทรงดำเนินการปฏิสังขรณ์ต่อจนเสร็จ ทั้งได้ทรงปั้นหุ่นพระพุทธรูปด้วยฝีพระหัตถ์ และโปรดให้หล่อขึ้นประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ และโปรดให้มีมหรสพสมโภชฉลองวัดในปี พ.ศ. ๒๓๖๓ แล้วโปรดพระราชทาน พระนามวัดว่า "วัดอรุณราชธาราม" - ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดอรุณฯ ใหม่หมดทั้งวัด พร้อมทั้งโปรดให้ลงมือก่อสร้างพระปรางค์ตามแบบที่ทรงคิดขึ้น จนสำเร็จเป็นพระเจดีย์สูง ๑ เส้น ๑๓ วา ๑ ศอก ๑ คืบ กับ ๑ นิ้ว ฐานกลมวัดโดยรอบได้ ๕ เส้น ๓๗ วา ซึ่งการก่อสร้างและปฏิสังขรณ์สิ่งต่าง ๆ ภายในวัดอรุณฯ นี้สำเร็จลงแล้ว แต่ยังไม่ทันมีงานฉลองก็สิ้นรัชกาลที่ ๓ ในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ - เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติ พระองค์ได้โปรดให้สร้างและปฏิสังขรณ์สิ่งต่างๆในวัดอรุณฯเพิ่มเติมอีกหลายอย่าง ทั้งยังได้อัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มาบรรจุไว้ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถที่พระองค์ ทรงพระราชทานนามว่า "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก" และเมื่อได้ทรงปฏิสังขรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้พระราชทานนาม วัดเสียใหม่ว่า "วัดอรุณราชวราราม" ดังที่เรียกกันมาจนถึงปัจจุบัน จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 09:39:54

ความคิดเห็นที่ 12 หอไอเฟลหรือจะสู้  อิอิ ^^ จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 54 22:03:02

ความคิดเห็นที่ 13 อีกสักมุม   จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 54 12:00:25

ความคิดเห็นที่ 14 ไปนมัสการพระปรางค์ฯกับหลวงพี่หน่อยครับ จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 54 19:47:59

ความคิดเห็นที่ 15                                           พระปรางค์ พระปรางค์ หรือ ปรางค์ เป็นสิ่งก่อสร้างประเภทหนึ่งในงานสถาปัตยกรรมไทย เป็นหลักประธานในวัดเช่นเดียวกับพระเจดีย์ แต่เดิมถือว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมที่มีรูปแบบลักษณะเฉพาะของขอม โดยมีคติความเชื่อในศาสนาฮินดู ว่าเป็นสัญลักษณ์ของ เขาพระสุเมรุ ลักษณะและรูปทรงของพระปรางค์ พระปรางค์ในประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากศิลปะสถาปัตยกรรมขอม มีลักษณะจำแนกเป็น 4 แบบ คือ 1.ทรงศิขร เป็นปรางค์รูปแบบดั้งเดิม สร้างขึ้นตามแบบแผนเดิมของขอม เน้นคติความเชื่อว่าเป็นการ จำลองภูเขา และ สวรรค์ชั้นฟ้า ตัวอย่างได้แก่ ปราสาทนครวัด ประเทศกัมพูชา ปราสาทหินพนมรุ้ง บุรีรัมย์ เป็นต้น 2.ทรงงาเนียม มีลักษณะคล้ายงาช้าง ลักษระใหญ่แต่สั้น ตอนปลายโค้งและค่อนข้างเรียวแหลม ถือเป็นประดิษฐกรรมของช่างไทย โดยมีการพัฒนาจากรูปแบบเดิมจนมีลักษณะเฉพาะของตนเองในสมัยอยุธยาตอนต้น ตัวอย่างได้แก่ ปรางค์เหนือปราสาทพระเทพบิดร วัดพระศรีรัตศาสดาราม กรุงเทพฯ พระปรางค์วัดพระศรีมหาธาตุเมืองเชลียง สุโขทัย เป็นต้น 3.ทรงฝักข้าวโพด มีลักษณะ ผอมบางและตรงยาวคล้ายฝักข้าวโพด ส่วนยอดนั้นจะค่อยๆเรียวเล็กลง ก่อนรวบเป็นเส้นโค้งที่ปลาย เป็นลักษณะเฉพาะของพระปรางค์สมัยต้นรัตนโกสินทร์ ตัวอย่างเช่น วัดเทพธิดาราม กรุงเทพฯ วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ เป็นต้น 4.ทรงจอมแห มีลักษณะคล้ายแหที่ถูกยกขึ้น ตัวอย่างได้แก่ วัดอรุณราชวราราม ธนบุรี ปรางค์อาจถือเป็นรูปแบบหนึ่งของเจดีย์ เช่นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ (เจดีย์ยอดทรงดอกบัวตูม) ของสมัยสุโขทัย เช่นเจดีย์ทรงระฆัง ของสมัยสุโขทัยก็มี ของสมัยกรุงศรีอยุธยา หรือสมัยรัตนโกสินทร์ก็มี แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 54 12:42:45 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 54 12:41:50 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 19:44:05

ความคิดเห็นที่ 16 องค์ประกอบของพระปรางค์ 1. นภศูล คือส่วนยอดปลายสุดของพระปรางค์ ทำด้วยโลหะหล่อเป็นรูป 4 แฉกคล้ายปลายดาบ ต่อซ้อนกัน 2-3 ชั้น ระหว่างกลางแทรกด้วยแกนยอดแหลมคล้ายปลายหอก 2. บัวกลุ่ม คือส่วนของอาคารที่อยู่บนยอดสุดของพระปรางค์ ทำเป็นรูปกลีบบัวแย้ม ตั้งรับนภศูล 3.ชั้นรัดประคด คือส่วนชั้นของยอดพระปรางค์ที่มีลักษณะโค้งเข้า คล้ายรูปเอวพระภิกษุที่คอดเข้าอันเนื่องมาจากการนุ่งสบงที่รัดด้วยสายรัด ประคด 4.กลีบขนุน คือส่วนตกแต่งที่ประดับแทรกเข้าไปใต้ ชั้นรัดประคด ตรงตำแหน่งมุมที่ย่อของแต่ละชั้น 5.บัณแถลง คือส่วนตกแต่งที่ทำเป็นรูปหน้าจั่วอาคารขนาดเล็ก ประดับอยู่ระหว่างกลางของกลีบขนุน คู่ในของ ชั้นรัดประคด แต่ละชั้นของพระปรางค์ 6.ชั้นอัสดง คือส่วนของเรือนยอดพระปรางค์ส่วนที่ตั้งอยู่เหนือเรือนธาตุ 7.เรือนธาตุ คือส่วนที่เป็นตัวเรือนประธานของพระปรางค์ ใช้ประดิษฐานพระพุทธรูป หรือพระสถูป ที่ใช้บรรจุพระบรมธาตุ 8.ซุ้มจระนำ หรือ ซุ้มคูหา หรือ ซุ้มทิศ หรือ ซุ้มประตู คือส่วนที่ทำขึ้นประกอบเข้ากับองค์พระปรางค์หรือพระเจดีย์บริเวณภายนอกอาคาร ส่วนที่เป็นเรือนธาตุ เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป มี 4 ด้าน เรียกว่า ซุ้มทิศ ถ้าพระปรางค์นั้นกลวงมีทางเข้าออก จะเรียกและทำหน้าที่เป็น ซุ้มประตู 9.ชุดฐานสิงห์ คือส่วนที่ทำเป็นฐานสิงห์ 3 ชั้น เทินเหนือ “ฐานปัทม์” เพื่อรับองค์ “เรือนธาตุ” 10.ฐานปัทม์ คือส่วนที่เป็นฐานอาคาร ใช้ตั้งรับองค์เรือนธาตุอาคาร 11.ฐานเขียง คือส่วนของโครงสร้างที่เป็นฐานชั้นล่างสุด ในสมัยสุโขทัยไม่มีพระปรางค์ จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 54 12:45:25

ความคิดเห็นที่ 17 ข้อเสนอใหม่ “พระมหามงกุฎ” ยอดพระปรางค์วัดอรุณ           เดิมเคยมีการอธิบายกันว่า การที่รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้นำพระมหามงกุฎจากพระประธานวัดนางนอง กรุงเทพฯ ขึ้นไปประดิษฐานไว้บนยอดเหนือนภศูลของพระปรางค์วัดอรุณฯ กรุงเทพฯ เป็นการสื่อนัยยะว่า “เจ้าฟ้ามงกุฎ” จะได้เป็น “ยอดของบ้านเมืองต่อไป” หรือจะเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ถัดไป           แต่ล่าสุด อ.พิชญา สุ่มจินดา คณะวิจิตรศิลป์ ม.เชียงใหม่ ได้เสนอข้อคิดใหม่ว่า พระมหามงกุฎเหนือยอดพระปรางค์วัดอรุณฯ นี้ น่าจะสื่อความหมายถึง “ยอดของวิมานพระอินทร์” ตามที่ระบุไว้ในคัมภีร์ปัญจราชาภิเษก ซึ่งได้ระบุเปรียบพระวรกายของพระมหากษัตริย์ประดุจเขาพระสุเมรุ โดยมีพระมหามงกุฎเปรียบได้กับ “ยอดของวิมานพระอินทร์”           อ.พิชญา อธิบายว่า ข้อเสนอนี้สอดรับกันดีกับรูปแบบของพระปรางค์ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อสื่อถึงเขาพระสุเมรุ โดยมีเรือนธาตุของพระปรางค์ ซึ่งมีการสร้างรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ประดับอยู่ในซุ้ม เปรียบได้กับ “วิมานพระอินทร์” หรือ “วิหารไพชยนต์” ที่มา - บทความเรื่อง บุษบกธรรมาสน์ “ยอดมงกุฎ” ในการเปรียญ วัดราชประดิษฐ์ฯ         นิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือน ตุลาคม 2553 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 54 12:49:50

ความคิดเห็นที่ 18 รัชกาลที่ 2 : ยุคทองของศิลปรัตนโกสินทร์            พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พ.ศ. 2352-2367) พระราชโอรสองค์โตได้ครองราชสมบัติสืบมาเป็นรัชกาลที่2 พระองค์ทรงใฝ่พระทัยในศิลปวัฒนธรรมมาก ทั้งทางด้านวิจิตรศิลป์และวรรณคดี พระองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ผู้เป็นอัครศิลปิน ทรงสร้างและบูรณะวัดวาอารามจำนานมาก ที่สำคัญที่สุดคือโปรดเกล้าฯให้บูรณะ วัดสลัก ใกล้พระราชวังเดิมฝั่งธนบุรี จนยิ่งใหญ่สวยสง่ากลายเป็นวัดประจำรัชกาลของพระองค์และพระราชทานนามว่า "วัดอรุณราชวรารามมหาวิหาร" ความเป็นศิลปินเอกของพระองค์เห็นได้จากการที่พระองค์ทรงแกะสลักบานประตูหน้าวัดสุทัศน์ฯด้วยพระองค์เอง ผลงานอันวิจิตรชิ้นนี้ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกรุงเทพฯ            นอกจากฝีพระหัตถ์เชิงช่างแล้ว รัชกาลที่2ยังทรงพระอัจฉริยภาพในทางกวีด้วย พระราชนิพนธ์ชิ้นสำคัญของพระองค์ บทละครเรื่อง อิเหนา และ รามเกียรติ์ นอกจากทรงพระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เองแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นองค์อุปถัมภ์บรรดาศิลปินและกวีด้วย ยุคนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นยุคสมัยที่กวีรุ่งเรืองที่สุด กวีเอกที่ปรากฏในรัชกาลของพระองค์คือ พระศรีสุนทรโวหาร(ภู่) ที่คนไทยทั่วๆไปเรียกว่า "สุนทรภู่" ในด้านการต่างประเทศ พระองค์ทรงได้เริ่มฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกใหม่หลังจากหยุดชะงักไปตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยมีพระบรมราชานุญาตให้โปรตุเกสเข้ามาตั้งสถานฑูตได้เป็นชาติแรก จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 54 20:15:59

ความคิดเห็นที่ 19                                            กระบวนพยุหยาตราชลมารค ในช่วงนี้เราจะเห็นพิธีซ้อมกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เพื่อนำผ้าพระกฐินมาทรงทอดที่วัดอรุณราชวราราม โดยมีเส้นทางเรือ เริ่มตั้งแต่จุดเริ่มต้นของกระบวนเรือที่บริเวณท่าวาสุกรี โดยจะมีการจอดเรือตั้งแต่ หน้าสะพานกรุงธน ไปถึงหลังสะพานพระราม 8 เรือจะเริ่มออกจากสะพานพระราม 8 ผ่านป้อมพระสุเมรุสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า โรงพยาบาลศิริราช กรมอู่ทหารเรือ ราชนาวิกสภา พระบรมมหาราชวัง หอประชุม ทร. วัดอรุณราชวราราม และไปจอดเรืออยู่หน้าวัดกัลยาณมิตร เรามาดูประวัติคร่าวๆ ของกระบวนพยุหยาตราชลมารคตั้งแต่อดีตกันดีกว่า แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 54 22:55:27 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 22:39:20

ความคิดเห็นที่ 20 สมัยเริ่มแรกของกระบวนเรือ - การเสด็จทางน้ำที่เรียกว่า กระบวนพยุหยาตราชลมารค มีหลักฐานมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย ปรากฏไว้ว่า พระร่วงเจ้า (พระมหาธรรมราชา 1) ทรงใช้เรือออกลอยกระทง หรือพิธีจองเปรียง ณ กลางสระน้ำ พร้อมทั้งเผาเทียนเล่นไฟในยามคืนเพ็ญเดือนสิบสอง - ในยุคกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรเมื่อคราวเสด็จไปตีเมืองเมาะตะมะ เสด็จพระราชดำเนินจากกรุงศรีอยุธยาโดยชลมารค พอได้เวลาฤกษ์ พระโหราราชครูก็ลั่นกลองฆ้องชัยให้พายเรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ อันเป็นเรือทรงพระพุทธปฏิมากรทองนพคุณ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุถวายพระนามสมญา “พระพิชัย” นำกระบวนออกไปก่อนเพื่อความเป็นสิริมงคล - ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีกระบวนเรือเพชรพวง ซึ่งเป็นเรือริ้วกระบวนที่ใหญ่มาก จัดออกเป็น 4 สาย แล้วเรือพระที่นั่งตรงกลางอีก 1 สาย ใช้เรือทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 100 ลำ ด้วยเหตุที่สมัยดังกล่าว บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆมากมาย ทั้งทรงสร้างเมืองลพบุรีขึ้น ในบางโอกาสก็โปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนเรือหลวงออกรับคณะราชทูต และแห่พระราชสาสน์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งประเทศฝรั่งเศส จากกรุงศรีอยุธยา มายังเมืองลพบุรี - ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ระหว่างการเคลื่อนกระบวนจะมีการเห่เรือพร้อมเครื่องประโคม จนเกิดวรรณกรรมร้อยกรองที่ไพเราะยิ่ง คือ กาพย์เห่เรือ ของ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ หรือเจ้าฟ้ากุ้ง ซึ่งบรรยายถึงความงดงาม และลักษณะของเรือในกระบวนครั้งนั้น และบทเห่เรือนี้ยังเป็นแม่แบบของกาพย์เห่เรือที่ใช้กันในปัจจุบัน - ในตอนเสียกรุงครั้งที่ 2 พม่าได้เผาทำลายเรือลงจนหมดสิ้น หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้เอกราชของไทยคืนมาได้ ก็ทรงสร้างเรือขึ้นใหม่ทั้งชุด แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรือที่ใช้ในการรบพุ่งทั้งสิ้น เพราะในสมัยนั้นมีแต่การศึกสงคราม โดยมีการแห่เรือสำคัญ คือ ในการพระราชพิธีสมโภชรับพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วมรกต ซึ่งอันเชิญมาจากเวียงจันทน์และมาแห่พักไว้ที่กรุงเก่า คือพระนครศรีอยุธยา - ในช่วงสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา อู่เรือพระที่นั่งที่ปากคลองบางกอกน้อยถูกลูกระเบิดถล่มจนเรือเสียหายไปหลายลำ จากนั้นมาจึงมีการซ่อมแซมเรือ และโอนเรือพระราชพิธี 36 ลำ ให้กรมศิลปากรดูแลเก็บรักษาไว้ที่อู่เรือพระราชพิธีปากคลองบางกอกน้อย และส่วนที่เหลืออีกราว 32 ลำ เป็นพวกเรือตำรวจ เรือดั้ง เรือแซง กองทัพเรือเก็บรักษาไว้ จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 22:54:19

ความคิดเห็นที่ 21 พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงประทับบนเรือพระที่นั่งสุวรรณหงส์ทอดบัลลังก์บุษบก เสด็จพระราชดำเนินทรงทอดพระกฐินทางชลมารค (ภาพถ่ายลายเส้นหายากจากหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสในสมัยนั้น) จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 22:59:52

ความคิดเห็นที่ 22 อลังก์ จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 23:01:57

ความคิดเห็นที่ 23 - จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 18:04:05

ความคิดเห็นที่ 24 - จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 54 20:09:55

ความคิดเห็นที่ 25 น้ำไหลแรง! แจ้งขอเลื่อนพิธีขบวนพยุหยาตราไปปีหน้า           คณะจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ เตรียมทำหนังสือขอเลื่อนพิธีขบวนพยุหยาตราไปปีหน้า หลังทั่วประเทศประสบอุทกภัย และน้ำไหลเชี่ยว พร้อมจัดงานเฉลิมพระเกียรติ 1-11 ธันวาคม ณ บริเวณสนามหลวง, ถนนราชดำเนินตลอดทั้งสาย ลานพระบรมรูปทรงม้า และสนามเสือป่า           เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม  นายจตุรงค์ ปัญญาดิลก ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ว่า ที่ประชุมได้มีมติเตรียมทำหนังสือถึงสำนักราชเลขาธิการให้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเลื่อนการจัดขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารคจากวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2554 ไปเป็นปี พ.ศ.2555 ซึ่งเป็นปีมหามงคลเช่นกัน เนื่องจากปัจจุบันเกิดสถานการณ์อุทกภัยรุนแรงในหลายพื้นที่ของประเทศไทย และทางกองทัพเรือแจ้งว่าระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีความสูงและแรงมาก           อย่างไรก็ตาม สำหรับพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินที่วัดอรุณราชวราราม โดยพระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในวันที่ 22 ตุลาคมนั้น ยังคงมีอยู่           ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบจัดพิธีถวายพระพรชัยมงคล งานมหรสพสมโภช และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ภายใต้แนวคิด "รักพ่อ...ขอจงทรงพระเจริญ" ระหว่างวันที่ 1-11 ธันวาคม พ.ศ.2554 นี้ ตั้งแต่เวลา 18.00-24.00 น. ณ บริเวณสนามหลวง, ถนนราชดำเนินตลอดทั้งสาย ลานพระบรมรูปทรงม้า และสนามเสือป่า โดยมีกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลัก และกรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมด้วยมูลนิธิ 5 ธันวามหาราช ร่วมกันจัดงาน ซึ่งจะมีพิธีเปิดงานในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2554 และถ่ายทอดสดพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2554 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 01:03:16

ความคิดเห็นที่ 26 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 15:37:52

ความคิดเห็นที่ 27 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 54 20:45:00