ความคิดเห็นที่ 1 และนี่คือข่าวสัมภาษณ์ของเธอ ว่าทำไมเธอถึงได้หายไปจากการทำเพลง ‘อรอรีย์’ กับดนตรีชีวิต 2 เวอร์ชั่น จากหญิงสาวที่ขึ้นเวทีคอนเสิร์ต ด้วยเท้าเปลือยเปล่า กับดนตรีแนวกรันจ์ยุคแรกในเมืองไทย ทุกวันนี้ 'อรอรีย์ จุฬารัตน์' กลับมารับหน้าที่ผู้บริหารของ 'กระจกหกด้าน'อันเป็นธุรกิจครอบครัว ควบคู่ไปกับการทำงานดนตรีเต็มตัว หลังจากห่างหายไปนานกว่า 7 ปี หญิงสาวใบหน้าออนเยาว์ปราศจากเครื่องสำอางที่นั่งอยู่ตรงนี้ อาจะทำให้แฟนเพลงอินดี้ยุคแรกฉงนว่าเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า กับอรอรีย์ผู้ปลุกกระแสแนวเพลงกรันจ์ในเมืองไทย และยิ่งตรงกันข้ามกับอายุที่ดูเท่าไหร่ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเลขสามกว่าๆ ถึงขั้นที่เคยมีผลิตภัณฑ์ชะลอวัยติดต่อไปเป็นพรีเซ็นเตอร์มาแล้ว แต่เจ้าตัวปฏิเสธไป ในวันนี้อรอรีย์รับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรีไลอ้อนส์ จำกัด ผู้ผลิตรายการกระจกหกด้านที่ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 27 แล้ว โดยมี สุชาดี มณีวงศ์ คุณแม่นักพากย์เสียงคลาสสิคแห่งทศวรรษ รั้งตำแหน่งประธานกรรมการบริหารพร้อมด้วยพี่-น้องอีก 3 คน ที่ช่วยกันทำ คือ อลงกรณ์ จุฬารัตน์ เป็นโปรดิวเซอร์เต็มตัว ดร.จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์ ที่สอนหนังสือและช่วยงานธุรกิจครอบครัวไปด้วย และ จุฬาพิศ จุฬารัตน์ พี่สาวคนโตที่เป็นนักข่าวและช่วยงานครอบครัวเช่นกัน อรอรีย์ย้อนอดีตให้ฟังว่า ตัวเธอเองไม่ได้เข้ามาช่วยงานของครอบครัวตั้งแต่แรก ตอนที่เพิ่งเรียนจบจากต่างประเทศเมื่อปี 2537 ก็ยังไม่ได้ทำ แต่ช่วยแปลบทสารคดีเป็นงานๆ ไป ในสมัยที่ยังมีรายการวิทยุอยู่ “จริงๆ แล้ว เราเป็นคนที่ไม่ชอบงานด้านภาพนยนตร์ หรือสารคดีเท่าไหร่ เราเรียนดนตรีมาก็ชอบตรงนั้นมากกว่า โชคดีที่ครอบครัวเข้าใจ เขาก็ไม่ได้บังคับให้มาทำตรงนี้” หลังจากนั้น ช่วงปี 2545 เธอก็ได้เริ่มงานของครอบครัวเต็มตัว อันเป็นช่วงรอยต่ออัลบั้มชุดที่ 2 ด้วยเหตุผลที่หญิงสาวอธิบายให้ฟังว่า “ตอนที่เข้าวงการเพลง เราก็เรียนรู้ว่า เกินกว่าครึ่งมันเป็นธุรกิจ แต่สำหรับเรา ดนตรีมันเป็นศิลปะ เราเป็นคนชอบตั้งคำถาม เราก็ถามตัวเองว่ามันเป็นสิ่งที่เราต้องการเหรอ เพราะทุกอย่างเป็นธุรกิจ เราก็เลยไม่อยากทำแล้ว ตอนนั้นเป็นคนแบบว่า ถ้าให้ก็ให้เต็มที่ ไม่ให้ไม่ให้เลย ก็เลยบอกตัวเองว่าเลิก เลิกหมดเลย ไม่ฟังเพลง ไม่ทำอะไรเกี่ยวกับดนตรี อุปกรณ์เกี่ยวกับดนตรีขายหมด เหลือกีตาร์ตัวเดียวที่ซื้อตัวแรก จากที่เคยสะสมแผ่นก็เลิกเลย” เมื่อห่างหายจากงานดนตรี เธอจึงหันมาใช้ชีวิตปกติเหมือนคนอื่น จากที่เคยนอนกลางวัน ตื่นกลางคืน ก็หันมาใช้ชีวิตแบบสาวออฟฟิศ วันหยุดอยู่กับครอบครัว เลิกไปเที่ยวกับเพื่อนนักดนตรี พร้อมทั้งค้นหาจิตวิญญาณตัวเอง ผลพลอยได้ที่ตามมาคือ ก้าวใหม่ในโลกไซเบอร์ของ 'กระจกหกด้าน' นั่นเอง กระจกหกด้าน ฉบับแมกกาซีน(ออนไลน์) “ตอนนั้นเป็นช่วงที่อินเตอร์เน็ตเริ่มเข้ามา เราก็มานั่งคิดว่า จะทำอะไรได้บ้างที่เรามีความสุข ไม่ฝืนตัวเองจนเกินไป และช่วยครอบครัวด้วย ก็เลยเริ่มงานในบริษัท จากการอัดเสียงคุณแม่เพราะเราเรียนมาทางนี้ แล้วก็ช่วยทำเวบ เพราะเราคิดว่าบริษัทเราน่าจะทำอะไรที่มันตามสมัยบ้าง จากนั้นก็เลยเป็นบรรณาธิการเวบมาจนถึงตอนนี้ ประมาณ 5 ปีแล้ว” งานหลักของผู้บริหารสาวคนนี้คือ การดูแลเรื่องเวบกับการอัดเสียง แต่ช่วงหลังเน้นงานเบริหารและ 'กระจกหกด้าน แมกกาซีนออนไลน์'  โดยเป็นการแบ่งงานกันทำระหว่างเธอและผู้ช่วย โดยอรอรีย์รับหน้าที่สมองคิดและสั่งการ ซึ่งกว่าจะออกมาเป็นงานแต่ละชิ้นในบริษัทนั้นก็ต้องผ่านการประนีประนอมทั้งฝ่ายผู้บริหารอาวุโสและผู้บริหารรุ่นใหม่อย่างเธอ “ถ้าความคิดเราคนเดียวก็อาจจะสมัยใหม่หน่อย ก็ต้องมาปรับให้ผู้บริหารอีกวัยหนึ่งยอมรับด้วย ซึ่งเราอยากให้มีทั้งแฟนกลุ่มผู้ใหญ่และวัยรุ่นสมัยนี้เข้ามาดูด้วย เพื่อที่จะขยายออกไปได้ในอนาคต” เนื้อหาของแมกกาซีนออนไลน์ฉบับนี้มีความหลากหลายทั้งในแง่ของศิลปวัฒนธรรม หนัง เพลง ฯลฯ ส่วนมากเป็นเนื้อหารายการที่ออกอากาศไปแล้ว ซึ่งสมัยก่อนอยู่ในรูปของบทความ เพราะความตั้งใจเดิมอยากให้เป็นห้องสมุดออนไลน์เล็กๆ แต่ปัจจุบันมีวีดีโอ ไฟล์ให้ดู ทั้งสารคดีสั้นและยาวที่บริษัทผลิตเอง โดยในอนาคตเธอตั้งใจว่า จะจัดทำระบบสมาชิกหรืออาจะรวมเป็นดีวีดีออกมาเพื่อให้แผนกมีรายได้เลี้ยงดูตัวเองได้ เนื่องจากรายการสารคดีเมืองไทยนั้นยากที่จะหาสปอนเซอร์มาสนับสนุน “เรามองว่า ทีวีเมืองไทยไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่มีประโยชน์เท่าไหร่ อาจจะเพราะคนต้องทำงานหาเงินใช้ เวลาพักผ่อนเลยชอบดูเกมโชว์มากกว่า เราก็เลยคิดว่าขนาดรายการทีวียังหาสปอนเซอร์ยาก เวบไซต์ยิ่งยาก ก็ตัดสินใจว่าไม่หาสปอนเซอร์ดีกว่า แต่ใช้ระบบสมาชิกแทนเสียเงิน เพราะเรามีรายการเก็บไว้เป็นร้อยเป็นพัน ฟุตเทจบางอันที่เคยไปสัมภาษณ์ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่หาดูที่ไหนไม่ได้แล้วก็มี” ทุกวันนี้ 'กระจกหกด้าน' จึงผ่านร้อนผ่านหนาวและการปรับตัวมายาวนาน ผู้บริหารรุ่นใหม่บอกว่า กระจกหกด้านเองก็ไม่ต่างจากคนอื่นที่ต้องปรับตัว เดิมที่รายการออกอากาศทุกวันก็เหลือเพียงอาทิตย์ละ 2 วัน สมัยก่อนมี 30 นาที เดี๋ยวนี้มีแค่ 15 นาที แต่ยังต้องดูแลพนักงาน 40-50 คน จึงหันมาปรับตัวทำสารคดีสั้นแทน เพื่อนำรายได้มาซัพพอร์ตออฟฟิศ “รายการเราอยู่มานาน เพราะเราจริงใจในสิ่งที่เราทำ จริงใจกับตัวเราเองและคนดู เราถึงอยู่ได้” อรอรีย์บอกถึงหัวใจสำคัญที่ทำให้กระจกหกด้านยืนยาวมาจนถึงตอนนี้ กลับสู่เส้นทางสายตัวโน๊ต กับหนทางดนตรีที่เคยผ่านมา ถึงขั้นที่เคยประกาศตัดขาดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับดนตรี อรอรีย์ระบายความคิดในช่วงนั้นให้ฟังว่า “เราเชื่อว่าทุกคนต้องเคยเดินทางมาถึงสี่แยก แล้วจะทำยังไงต่อ จะเดินต่อไป จะหนีปัญหา หรือจะหลอกตัวเอง แต่เราไม่หลอกตัวเองไง เราก็คิดว่าเราอาจจะคิดผิด เราอาจจะไม่ใช่เกิดมาเพื่อดนตรีก็ตัดเลย” จากนั้น เธอใช้เวลาไปกับการแบกเป้เที่ยวต่างประเทศอยู่ 1 ปี ไปหาเพื่อนเก่าๆ จนกระทั่งมาทำธุรกิจครอบครัวเต็มตัว ก็ไม่ได้ติดต่อเพื่อนในแวดวงดนตรีอีกเลย แต่ก็ยังมีเพื่อนในวงการ 3 คนที่คอยโทรหาตลอดเวลา คือ น้อย วงพรู สุกี้  และเมธี โมเดิร์น ด็อก ซึ่งเพื่อนกลุ่มนี้เองที่ชักชวนเธอหวนคืนสู่ตัวตนคนดนตรีอีกครั้งเมื่อ 3 ปีที่แล้ว   “ตอนนั้นสุกี้กับน้อยชวนทานข้าวแล้วเอาเพลงมาให้ฟัง เขาบอกว่า 'อยากให้อรและน้อยร้องด้วยกัน ถ้าไม่มีอรก็ไม่มีเพลงนี้' พอเรากลับมาฟังเราก็รู้สึกมันโดนใจเรา พอได้เนื้อเพลงมาก็ชอบ เลยตัดสินใจร้อง แล้วก็ต้องขึ้นคอนเสิร์ตอีกเพราะสุกี้มาขอร้อง ทั้งๆ ที่ตอนแรกเราจะไม่ขึ้น” ตามมาด้วยคำแนะนำจากสุกี้ให้รู้จักกันระหว่าง เท็ดดี้ (ธีรดล ธีโอดอร์ แกสตัน) และ วิ (วรรัตน์ พัวไพโรจน์) 2 มือกีตาร์วงฟลัวร์ ที่เข้ามาบอกว่า เธอเป็นฮีโร่ของพวกเขาและทำให้เขาอยากมาเป็นนักดนตรี “เราก็งงว่า เพลงเราจะมีผลกับใครสักคนขนาดนี้เลยเหรอ เราก็รู้สึกว่าทั้งดีใจและน่ากลัว เราต้องรับผิดชอบนะ ถ้าสิ่งที่เราเขียน เพลงที่เราร้องมันมีผลกับคนขนาดนี้” ด้วยความที่คุยกันถูกคอ แม้จะต่างวัย แต่ก็ชอบเพลงเหมือนกัน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สายสัมพันธ์ทางดนตรีระหว่างเธอและเทดดี้จึงก่อตัวขึ้นนำไปสู่คอนเสิร์ต เล็ก ชิ้น สดกับฟลัวร์ ตามมาด้วยงานแฟต 2006 และอีกหลายงานที่นำเธอเข้าสู่เส้นทางดนตรีเต็มตัวอีกครั้ง แบบที่เธอรู้แล้วว่า ดนตรีสำคัญกับชีวิตขนาดไหน “ตอนนั้นพูดไม่ได้ว่า เพราะเรายังสับสนกับชีวิต แต่ตอนนี้บอกได้แล้วว่า ดนตรีเหมือนกับว่า การที่เราจะต้องกิน จะต้องนอน จะต้องหายใจไปแล้ว” ในการฟอร์มวงครั้งแรกของเธอนั้น อรอรีย์บอกว่าเป็นความชอบที่มีมานานแล้ว เพราะตั้งแต่เด็ก ไม่เคยอยากเป็นศิลปินเดี่ยวเลย การฟอร์มวงครั้งนี้จึงนำประสบการณ์ใหม่มาให้ในการทำงานดนตรีที่มาในรูปแบบปราศจากค่ายเพลง ลงขันกันเองทั้งวง รูปแบบอัลบั้มนี้จะมี 3 แนวคือ แนวที่เป็นตัวเธอเอง อันเป็นลายเซ็นที่สลัดทิ้งไปไม่ได้ กับแนวที่เป็นตัวเธอครึ่งหนึ่งและวงครึ่งหนึ่ง และแนวที่เป็นของวงเลย ซึ่งความน่าสนใจอยู่ที่ว่าจะทำยังไงให้มันลงตัวในอัลบั้มเดียวกัน โดยมีแผนจะวางขายต้นปีหน้า ควบคู่ไปกับการทำงานประจำของครอบครัวที่เธอเองก็ไม่ได้ทิ้งไปไหน ตัวตน 2 ด้านที่ผสานกันอย่างลงตัว จึงทำให้ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งมีสีสันและรูปแบบเฉพาะตัวน่าสนใจ ซึ่งยังคงก้าวเดินไปอย่างไม่หยุดนิ่ง เครดิต bangkokbiznews.com จากคุณ : yui1march เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 00:46:58

ความคิดเห็นที่ 2 บทสัมภาษณ์เกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กและครอบครัว ทุกๆ อย่างเพื่อน้อง ด้วยวัยใกล้กันบวกกับความชอบที่คล้าย ๆ กัน จึงทำให้พี่ชายและน้องสาว โอ๊ต-อลงค์กร จุฬารัตน์ ผู้ช่วยฝ่ายผลิต บริษัท ทริลเลี่ยนส์ จำกัด และ อร-อรอรีย์ จุฬารัตน์ ผู้จัดการแผนกเว็บไซต์และกิจกรรมพิเศษ บริษัท ทริลเลี่ยนส์ จำกัด สองทายาทเจ้าของน้ำเสียงเอกลักษณ์ สุชาดี มณีวงศ์ เจ้าของและผู้ผลิตรายการ “กระจกหกด้าน” มีความสนิทสนมกันมากกว่าพี่น้องคนอื่น ๆ คุณโอ๊ตและคุณอรมีพี่สาว 1 คน และพี่ชาย 1 คน คุณโอ๊ตเป็นลูกคนที่ 3 ขณะที่คุณอรเป็นลูกสาวคนที่ 4 คุณโอ๊ตยอมรับว่าในจำนวนพี่น้อง 4 คน ไม่ได้สนิทสนมกับคุณอรเพียงคนเดียว แต่สนิทกับพี่น้องทุกคน ซึ่งความสนิทแสดงออกคนละแบบมากกว่า เพราะแต่ละคนก็มีบุคลิกที่ไม่เหมือนกัน แต่กับอรซึ่งเป็นน้องสาวที่ต่อจากตน จึงสนิทสนมกันมากกว่าคนอื่น ประกอบกับวัยใกล้กัน อายุห่างกัน 4 ปี และมีสิ่งที่เหมือนและต่าง ชอบและรักดนตรีเหมือนกัน คอเพลงร็อกเหมือนกัน “ในวัยเด็กไม่ค่อยได้ดูแลน้องเท่าไหร่ ชอบแกล้งน้องมากกว่า อรเป็นเด็กน่ารัก แก้มยุ้ย ๆ ชอบหยิกแก้มน้อง หยิกแล้วน้องร้องไห้ยิ่งชอบใจ ทีนี้หยิกใหญ่เลยด้วยความสนุก พออรอายุ 13 ปี ขอคุณแม่ไปเรียนที่อังกฤษและอยู่นาน 9 ปี ทุกปีที่กลับมาบ้านนั่งลุ้นว่าลุคของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เพราะ แต่ละปีลุคเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ช่วงที่อรไปเรียน ที่อังกฤษไปอยู่กับแฟมิลี่ก็มีกิจกรรมทำหลายอย่าง ส่วนผมเรียนสถาปัตยกรรมที่เทคโนฯ ลาดกระบัง ก็ยุ่งกับการทำโปรเจคท์ จึงไม่ค่อยมีเวลาได้อัพเดทข้อมูลกันและกัน แต่ก็นึกถึงกันอยู่เสมอ ๆ” คุณอรที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พี่ชายเสริมขึ้นว่า พี่โอ๊ตไม่ได้หยิกอย่างเดียว แต่หยิกแล้วบิดแก้ม จนเราเจ็บทนไม่ไหวก็จะร้องไห้ พอแกล้งให้ อรร้องไห้ได้จะหัวเราะชอบใจ ฝ่ายคุณโอ๊ตบอกด้วยว่า ที่ไม่ค่อยได้ดูแลน้องเพราะบ้านนี้ส่วนใหญ่คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูกแบบให้ดูแลตัวเอง เพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่ค่อยมีเวลา อยู่กับงานค่อนข้างมาก คุณแม่ทำสื่อหนังสือพิมพ์ พอ มาทำทีวีก็ทุ่มให้งานเต็มที่ ส่วนตัวผมเองโตขึ้นในแบบลองผิดลองถูกด้วยตัวเองเหมือนกัน บางครั้งเมื่อมีเรื่องตัดสินใจคุณแม่ไม่ได้อยู่ด้วยในเวลานั้น จึงต้องลองเสี่ยงดูแต่ก็ไม่ได้ทำอะไร เสียหาย ฝ่ายคุณอรบอกว่า อรเป็นอีกสไตล์หนึ่ง ในวัยเด็กอรไม่ค่อยได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ไปอยู่บ้านคุณป้าเพราะใกล้โรงเรียน เสาร์และอาทิตย์ถึงกลับมาอยู่บ้านตัวเอง เหมือนเป็นเด็กประจำตั้งแต่เด็ก ชีวิตวัยเด็กมีความสุขมาก อยู่บ้านคุณป้าก็มีลูกพี่ลูกน้องวัยใกล้กัน แต่พอช่วงวัยรุ่นก็ขอคุณแม่ไปเรียนเมืองนอก ไปอยู่ที่อังกฤษเจอเพื่อนดี แฟมิลี่ดี ครูดี ทุกคนให้การต้อนรับดีมาก จึงเป็นช่วงที่แฮปปี้ที่สุด จากพี่น้องเมื่อต้องมาทำงานร่วมกันไม่ใช่เรื่องหนักใจสำหรับทั้งคู่ คุณโอ๊ตบอกว่า การทำงานร่วมกันมีทั้งเห็นพ้องและเห็นต่าง มีทั้งทำงานด้วยกันได้ง่ายและยาก แต่โชคดีรับผิดชอบคนละส่วน ส่วนใหญ่ให้คำแนะนำอรในเวลาที่นำเรื่องมาปรึกษา ไม่ได้ให้การสนับสนุนทุกเรื่อง ให้การแนะนำแต่ไม่ตัดสินใจให้ ให้กลับไปคิดเอง ความคิดพี่เป็นแบบนี้ ความคิดน้องเป็นแบบไหน แต่เรื่องไหนต้องเข้าที่ประชุมและเห็นดีด้วยจะให้การสนับสนุน นอกจากเรื่องงานที่บางครั้งต้องขอและให้คำปรึกษาซึ่งกันและกัน ในเรื่องอื่น ๆ คุณโอ๊ตก็พร้อมให้คำปรึกษาและอยู่เคียงข้างน้องสาวเสมอ คุณโอ๊ตหันไปมองหน้าน้องสาวคนเดียวก่อนบอกว่า สำหรับน้องสาวคนนี้ ทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร สามารถมาบอกมาเล่าให้พี่ฟังได้ทุกเรื่อง แต่โดยบุคลิกของตัวเองไม่ใช่คนที่เข้าไปถามว่ามีอะไร เป็นอย่างไร ฝ่ายคุณอรบอกว่า “เวลาอรมีอะไรก็คุยได้ทุกเรื่อง แต่พี่โอ๊ตคงไม่อยากคุยกับอรทุกเรื่อง” คุณโอ๊ตรีบแก้ว่า ถ้าจะพูดไปแล้วอาจมีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง มีบางปัญหาที่คิดว่าไม่เหมาะสมที่น้องจะคุยกับเรา ถ้านำไปปรึกษาพี่สาวหรือคุณแม่จะดีกว่า ด้วยในวันนี้ทั้งคู่โตเป็นผู้ใหญ่เพียงแต่ต่างฝ่ายต่างยังไม่มีครอบครัวเป็นของตัวเอง จึงทำให้ต่างฝ่ายต่างเป็นห่วงกันและกัน คุณโอ๊ต บอกว่า อรเป็นคนจริงใจกับคน ให้ใจเต็มร้อยบางครั้งเกินร้อย และเวลาเขารักใครจะเต็มที่ หากไปเจอคนดีก็ดีแต่ถ้าไปเจอคนไม่ดีก็เสียใจ เวลาเห็นน้องเสียใจเราก็เสียใจไปด้วย แต่ไม่ได้เข้าไปปลอบหรือถามโดยตรง ถามไถ่จากคนรอบข้าง หรือบางครั้งถามพี่ชายซึ่งอยู่บ้านเดียวกับอร อีกอย่างที่ห่วงอรทำอะไรตั้งใจมาก บางอย่างชีวิตคนเราไม่ได้ประสบความสำเร็จไปทุกเรื่อง อยากให้เผื่อใจไว้บ้าง นอกจากนี้มีเรื่องห่วงสุขภาพเพราะเขาป่วยบ่อย ทันทีที่คุณโอ๊ตบอกถึงความห่วงที่มีต่อน้องสาวจบลง คุณอรหันไปยิ้มให้พี่ชายพร้อมทั้งมองหน้าอยู่ชั่วครู่จึงบอกว่า ไม่ค่อยเป็นห่วงพี่โอ๊ต เพราะรู้ว่าเอาตัวรอด ห่วงอยู่เรื่องเดียวเรื่องขับรถเร็ว เบรกรถใกล้รถคันหน้ามากจนคนที่นั่งไปด้วยต้องเบรกตาม ต่อเมื่อถามถึงกิจกรรมที่ทำร่วมกันระหว่างพี่น้อง ทั้งคู่ส่ายหน้าพร้อมกัน โดยคุณโอ๊ตยอมรับว่าแทบจะไม่มีกิจกรรมที่ทำร่วมกันเลย เราเจอกันที่ออฟฟิศเป็นส่วนใหญ่ และ มีไปกินข้าวกับครอบครัวเดือนละครั้ง แต่คิด ๆ ไว้อยากเล่นดนตรีร่วมกับอร ประมาณว่าอรมีวงดนตรีที่เล่าอยู่แล้ว ขอเข้าไปแจม ๆ เท่านั้น แม้กิจกรรมที่ทำร่วมกันน้อย ทว่าความเข้าใจกันมีมากกว่าสิ่งใด จึงมีกันและกันอยู่เสมอ. จากคุณ : yui1march เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 00:49:29

ความคิดเห็นที่ 3 งานเพลง อรอรีย์ - มากกว่า จากคุณ : yui1march เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 00:51:13

ความคิดเห็นที่ 4 อรอรีย์ - ที่ที่ฉันมีเธอ จากคุณ : yui1march เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 00:51:53

ความคิดเห็นที่ 5 ระหว่างเรา (Between Us) - อรอรีย์ จากคุณ : yui1march เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 00:52:51

ความคิดเห็นที่ 6 แล้วเธอ - อรอรีย์ (ORNAREE) จากคุณ : yui1march เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 00:53:29

ความคิดเห็นที่ 7 อรอรีย์ - อดทนรอฉัน จากคุณ : yui1march เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 00:54:48

ความคิดเห็นที่ 8 อรอรีย์ - คุณผู้หญิง (6 minutes love story) จากคุณ : yui1march เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 00:56:13

ความคิดเห็นที่ 9 อรอรีย์ - ปลุก (awakening) จากคุณ : yui1march เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 00:58:35

ความคิดเห็นที่ 10 อรอรีย์ - It (ff) จากคุณ : yui1march เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 00:59:08

ความคิดเห็นที่ 11 อรอรีย์ - Nuts จากคุณ : yui1march เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 00:59:49

ความคิดเห็นที่ 12 ขอโทษ Sorry อรอรีย์ Peel จากคุณ : yui1march เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 01:00:27

ความคิดเห็นที่ 13 อรอรีย์ - เรา จากคุณ : yui1march เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 01:01:40

ความคิดเห็นที่ 14 FAR - Natural High อรอรีย์ จากคุณ : yui1march เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 01:02:45

ความคิดเห็นที่ 15 งานคอนฯ Laew Ter แล้วเธอ - อรอรีย์ จากคุณ : yui1march เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 01:04:25

ความคิดเห็นที่ 16 โพสไปโพสมา ผู้หญิงคนนี้ทำไมมันเท่แบบนี้หว่า555555 จากคุณ : yui1march เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 01:05:46

ความคิดเห็นที่ 17 ใน MV แล้วเธอ และ MV ไกล มือกีตาร์ผมยาว คือพี่โต้ง P.O.P ส่วนมือเบสหนุ่มแว่นนั้นคือ..... พี่โป้ Yokee Playboy!!! ตอนอ่าน comment ใน youtube แล้วเพ่งดูก็ร้องเฮ้ยอยู่เหมือนกัน ถึงจะเคยได้ยินมาก่อนแล้วว่า ก่อนพี่โป้จะฟอร์มวง Yokee Playboys มานั้น ก็เล่นเบสให้พี่อรมาก่อน แต่ไม่รู้ว่าพี่แกจะอยู่่ใน mv นี้ด้วย แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 54 02:01:31 จากคุณ : -นักเลงเพลงสยาม- เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 02:00:57

ความคิดเห็นที่ 18 เราก็เคยชอบเธอคนนี้ค่ะ เธอเป็นคนมีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีมากคนหนึ่ง น่าแปลกใจที่เธอทิ้งเส้นทางเดินสายดนตรีไปอย่างยาวนาน แต่คนเราก็มีเส้นทางเดินของตัวเองอ่ะเนาะ.... เธอหายไปนานจนเราเกือบจะลืมชื่อเธอไปจากวงการดนตรีแล้ว ขอบคุณ จขกท ที่ทำให้เรายังนึกถึงเธอและได้กลับมาฟังเพลงดีๆของเธออีกค่ะ ^^ ปล. ตอนนี้กำลังบ้าเพลง ระหว่างเรา มากกกกก เพลงอะไรก็ไม่รุเท่โคตรรรรร จากคุณ : chou-fleur-rouge เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 09:13:54

ความคิดเห็นที่ 19 เป็นเจ้าหญิงในยุคอัลเตอร์ทีเดียวครับ มีอีกหลายคนที่ผมพอนึกได้ คือคุณ อัยย์ คุณ เนติมา และ คุณชมพู่ (ละอองฟอง) จากคุณ : คนตามสื่อ (คนตามสื่อ) เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 11:20:29

ความคิดเห็นที่ 20 ชอบมากเลยตอนนั้นอยู่แค่ ม.3 เอง  ชอบเพลงแล้วเธอ ระหว่างเรา แล้วก็ไกล  แล้วเธอ demo version นี่มันส์สุด ๆ ไปเลย จากคุณ : molecularkitten เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 13:28:34

ความคิดเห็นที่ 21 ผลงานระดับขึ้นหิ้งครับ น่าเอามาให้เด็กรุ่นใหม่ๆลองฟัง จากคุณ : pthaita เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 16:19:27

ความคิดเห็นที่ 22 ชอบจ้า จากคุณ : xfuton เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 19:17:44

ความคิดเห็นที่ 23 ในคคห 15 ผมก็อยู่ใน concert นั้นด้วย  ตอนนั้นยังอึ้ง ผู้หญิงไรเท่มากๆๆ จากคุณ : branantino เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 23:15:10

ความคิดเห็นที่ 24 คิดถึงเธอมาก ^^ จากคุณ : แค่เพียงคนเดินดิน เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 11:06:46

ความคิดเห็นที่ 25 เพลง โปรด ของวงพรู ที่ทำให้พี่อรกลับเข้าวงการเพลง ^_^ จากคุณ : Tailogy เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 13:27:54

ความคิดเห็นที่ 26 อีกเพลงที่ชอบครับ :) จากคุณ : Tailogy เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 13:30:45

ความคิดเห็นที่ 27 เพลง Friend (demo version) จากคุณ : Tailogy เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 13:34:22

ความคิดเห็นที่ 28 แ้ล้วเธอ demo version จากคุณ : Tailogy เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 13:38:01

ความคิดเห็นที่ 29 เป็นผู้หญิงที่เท่ห์มาก ตอนม.3 มีเพื่อนคนนึง สอบวิชาดนตรี เล่นเพลงพร้อมดีดกีต้าร์ เพลงระหว่างเรา โฮ้ยยยย เท่ห์สุดๆๆ กลบหน้าตาหมดเลย จากคุณ : สบู่จ๋าย เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 54 19:56:53

ความคิดเห็นที่ 30 เป็นเพลงและนักร้องที่สมัยนี้ใช้คำว่า "แนว" จากคุณ : โสดสบายตัว เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 54 03:24:50

ความคิดเห็นที่ 31 ศิลปินหญิงในดวงใจ จากคุณ : สวยใสไร้เดียงสา เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 18:10:41

ความคิดเห็นที่ 32 สุดอะค่ะ ขอบคุณที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมานะคะ เก็บเข้า คกท ให้ละนะคะ :)) จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 54 06:18:16