ยานยนต์-อิเล็กทรอนิกส์กระทบหนัก
ด้านแหล่งข่าวกล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้ประเมินผลกระทบน้ำท่วมต่อโรงงานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานีพบว่ามีบริษัทในและนอกนิคมอุตสาหกรรมยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนที่ได้รับผลกระทบ 1,855 บริษัท เงินลงทุนรวม 620,848 ล้านบาท แบ่งเป็นพระนครศรีอยุธยาในนิคม 484 บริษัท มูลค่าการลงทุน 168,043 ล้านบาท นอกนิคม 645 บริษัท มูลค่าการลงทุน 199,376 ล้านบาท และปทุมธานีในนิคม 226 บริษัท มูลค่าการลงทุน 91,513 ล้านบาท นอกนิคม 500 บริษัท มูลค่าการลงทุน 161,916 ล้านบาท
บีโอไอประเมินว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ไม่น้อยกว่า 400,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลกระทบทั้งกลุ่มฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟและชิ้นส่วน กลุ่มไอซีและเซมิคอนดักเตอร์ กลุ่มอุปกรณ์โทรคมนาคม กลุ่มเครื่องใช้สำนักงานและกลุ่มแผ่นวงจรพิมพ์
ส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ถูกน้ำท่วมจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนของไทย 40,000-60,000 ล้านบาท โดยการผลิตของบริษัทฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด หยุดหมดเพราะถูกน้ำท่วม ส่วนผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นส่วนใหญ่หยุดการผลิตตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค.2554 เพราะขาดชิ้นส่วน ซึ่งผู้ผลิตหลายรายเพิ่งกลับมาเริ่มผลิตเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
เอสเอ็มอี 2.85 แสนราย สูญ 2.4 หมื่นล./เดือน
ด้านสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ประเมินผลกระทบน้ำท่วมครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อเอสเอ็มอี 285,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีภาคการค้าและซ่อมบำรุง 134,000 ราย ภาคบริการ โรงแรม ภัตตาคาร การขนส่งและบริการอสังหาริมทรัพย์ 84,000 ราย ภาคการผลิต 66,000 ราย ส่วนที่เหลือเป็นเอสเอ็มอีในกิจการเหมืองแร่ เหมืองหิน ประมง เกษตรและป่าไม้
สสว.ประเมินว่าน้ำท่วมส่งผลกระทบทางตรงและทางอ้อมเดือนละ 24,000 ล้านบาท และส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน 800,000 คน ซึ่งผลกระทบครั้งนี้ทำให้ สสว.ปรับลดประมาณการจีดีพีภาคเอสเอ็มอีปี 2554 ลง 1.8-2.0% จากเดิมที่ สสว.คาดว่าจีดีพีเอสเอ็มอีปีนี้จะขยายตัว 4.0-4.2%
ทั้งนี้ เอสเอ็มอีเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจเพราะมีการจ้างงานมากและมีจำนวนผู้ประกอบการมาก ซึ่งปัจจุบันไทยมีผู้ประกอบการ 2.92 ล้านราย เป็นเอสเอ็มอี 2.91 ล้านราย คิดเป็น 99.6% ของผู้ประกอบการทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีในภาคการค้าและซ่อมบำรุง 1.3 ล้านราย คิดเป็น 47.5% ของผู้ประกอบการทั้งหมด รองลงมาเป็นภาคบริการ 984,678 ราย คิดเป็น 33.8% ภาคการผลิต 545,098 ราย คิดเป็น 18.7% และจีดีพีเอสเอ็มอีมีสัดส่วน 37.1% ของจีดีพีประเทศ
7 นิคมฯ กระทบจ้างงาน 1.92 แสนคน
นอกจากนี้ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้ประเมินผลกระทบกับนิคมอุตสาหกรรมที่เสี่ยงต่อปัญหาน้ำท่วมมี 7 แห่ง มีโรงงาน 1,107 แห่ง มีการจ้างงาน 192,000 คน เงินลงทุน 1.04 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง มีโรงงาน 254 แห่ง มีการจ้างงาน 48,000 คน เงินลงทุน 89,000 ล้านบาท 2.นิคมอุตสาหกรรมบางชัน มีโรงงาน 93 แห่ง มีการจ้างงาน 14,000 คน เงินลงทุน 19,800 คน 3.นิคมอุตสาหกรรมบางพลี มีโรงงาน 137 แห่ง มีโรงงาน 23,000 คน เงินลงทุน 54,000 ล้านบาท
4.นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ ซิตี้ มีโรงงาน 88 แห่ง มีการจ้างงาน 9,641 คน เงินลงทุน 71,341 ล้านบาท 5.นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ มีโรงงาน 167 แห่ง มีการจ้างงาน 31,000 คน เงินลงทุน 770,000 ล้านบาท 6.นิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี มีโรงงาน 6 แห่ง เงินลงทุน 100 ล้านบาท 7.นิคมอุตสาหกรรมบางปู มีโรงงาน 456 แห่ง มีการจ้างงาน 76,000 คน เงินลงทุน 105,000 ล้านบาท
โครงสร้างพื้นฐานยับกว่า 2.2 หมื่นล้าน
ด้านโครงการสร้างพื้นฐานได้รับความเสียหายอย่างมาก เนื่องจากน้ำท่วมในวงกว้างและกินเวลานาน โดย พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นถือเป็นงานหนักของกระทรวงคมนาคม เพราะมีโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ซ่อมแซมได้ และจะทำได้รวดเร็ว เพราะส่วนใหญ่เป็นงานจ้างเอกชน ขณะที่หน่วยงานราชการทำหน้าที่ควบคุมดูแลงานให้เป็นไปตามเป้าหมาย สำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมและได้รับอนุมัติงบประมาณจาก ครม.แล้วรวมเป็นเงิน 16,981.50 ล้านบาท
งบประมาณที่ได้รับอนุมัตินี้จะไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการที่เสนอของบประมาณตาม พ.ร.บ.งบประมาณ 2555 ขณะที่การฟื้นฟูครั้งนี้เรียกได้ว่าถนนเกือบทุกสายทางทั่วประเทศได้รับการซ่อมบำรุงทั้งหมด และมูลค่าเงินที่ลงทุนไปนี้ยังจะไปช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม เกิดการสร้างงาน บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ว่างงานมานานก็จะมีงานทำ และเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาการโก่งราคาค่าก่อสร้างแน่นอน พล.อ.อ.สุกำพล กล่าว
ด้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการ การให้ความช่วยเหลือด้านคมนาคม กล่าวว่า หน่วยงานด้านคมนาคมที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมและอยู่ระหว่างเสนอของบประมาณจากรัฐบาลรวมเป็นเงินประมาณ 4,181.3 ล้านบาท
ประกอบด้วย 1.กรมเจ้าท่า ได้รับความเสียหายจากตลิ่งถูกน้ำกัดเซาะจำนวน 1,515.60 ล้านบาท 2.การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 2,598 ล้านบาท และ 3.บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) วงเงิน 67.7 ล้านบาท
ภาคเกษตรเสียหาย 2.7 หมื่นล้าน
ด้านศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แจ้งว่า ภัยพิบัติน้ำท่วมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ วันที่ 1 พ.ค. 2554 พบว่ามีเกษตรกรได้รับผลกระทบ 1,467,882 ราย แยกเป็นความเสียหายทางด้านพืช 1,131,109 ราย พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะเสียหาย 11.20 ล้านไร่ แบ่งเป็น ข้าว 9.18 ล้านไร่ พืชไร่ 1.51 ล้านไร่ พืชสวนและอื่นๆ 0.51 ล้านไร่ ด้านประมง เกษตรกร 122,745 ราย พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคาดว่าจะเสียหาย แบ่งเป็น บ่อปลา 211,319 ไร่ บ่อกุ้ง/ปู/หอย 49,746 ไร่ กระชัง/บ่อซีเมนต์ 279,240 ตารางเมตรและด้านปศุสัตว์ เกษตรกร 214,028 ราย สัตว์ได้รับผลกระทบรวมทั้งสิ้น 28.74 ล้านตัว
ทั้งนี้ความเสียหายดังกล่าวเป็นเพียงการรายงานในเบื้องต้นเท่านั้น โดยกระทรวงเกษตรฯจะ เร่งสำรวจอีกครั้งภายหลังน้ำลด อย่างไรก็ตามจากข้อมูลที่มีอยู่ พบว่ามีมูลค่าความเสียหายในภาพรวม ประมาณ 27,000 ล้านบาท