จากกรณีข้ออ้างชั่วๆเรื่องอัพยาเพื่อสร้างเพลง มีวิธีสังเกตและตัวอย่างเพลงที่มีกลิ่นอายของยาจริงๆมาให้ฟังครับ [Pink Floyd]
|
|
สวัสดีครับเพื่อนสมาชิกพันทิปห้องเฉลิมกรุง จากกรณีคุณเสกโลโซที่เกิดเรื่องราวสั่นสะเทือนวงการเพลงไทยในระดับที่หนักมากครั้งนึง ซึ่งผมคงจะไม่คอมเม้นอะไรตรงจุดนั้นมากมาย (เพราะอัดเต็มไปหลายดอกมากแล้ว) แต่มันมีประเด็นใหญ่ๆประเด็นนึงที่เกี่ยวข้องโดยตรงนั่นคือ ข้ออ้าง(เลวๆ)ยอดฮิตเรื่องการ "อัพยา" เพื่อทำเพลง ที่เค้าบอกว่ามันเป็นของคู่กับศิลปิน หรือ Artist ดังที่ว่าไว้.. จากกระทู้ต่างๆคงได้เห็นไปแล้วนะครับว่า ปฏิกิริยาของคนทำงานเพลง ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นยังไง ส่วนตัวผมเองก็เดือดเหมือนกันตอนที่ได้ฟัง เพราะตั้งแต่นั่งเขียนเพลงมาตั้งแต่ม.ปลาย จนวันนี้ก็เป็นสิบปีแล้ว ยังไม่เคยมีความรู้สึกหรือจำเป็นว่า มันจะต้องใช้ไอ้ของพรรค์นั้นเพื่อทำการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะแต่อย่างใด พี่ๆนักแต่งเพลง"ของจริง" ในวงการหลายๆท่านที่สร้างผลงานดนตรีออกมา เป็นยี่สิบสามสิบปีแล้ว เขาเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยวกับยาพวกนี้เลย ของพวกนี้เค้าใช้จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์ความรู้สึก ทัศนคติทั้งด้านบวกด้านลบ และที่สำคัญประสบการณ์ชีวิต.. เอามันมาหล่อหลอมและปรุงแต่ง ปั้นให้ออกมาเป็นเพลงๆหนึ่ง.. ที่น่าเป็นห่วงคือ มีคนบางส่วนเชื่อจริงๆซะด้วยว่า ศิลปิน คนทำเพลง เค้าต้องเสพยากันจริงๆถึงจะทำกันออกมาได้ (กระทู้ข้างล่างๆก็มี)
บอกตรงๆเลยครับว่า โคตรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรเซ็ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ดังนั้น ในวันนี้ผมจึงอยากจะนำประเด็นเรื่องการอัพยาเพื่อทำเพลงออกมา มันเป็นยังไง สังเกตยังไงได้บ้าง และมันจำเป็นในการทำเพลงจริงหรือเปล่า?
ถ้าจะตีเอาว่า เพลงไหน มันเป็นเพลงที่มีกลิ่นอายของการใช้ยาจริงๆ พอจะสังเกตขั้นต้นแบบง่ายๆได้จากสองแบบครับ ถึงแม้ทฤษฏีนี้จะไม่ 100% แต่ก็คงจะใกล้เคียงในระดับหนึ่ง
1. ดูเมโลดี้ของเพลง รวมทั้งตัวซาวด์ดนตรีด้วย เสียงสังเคราะห์ ลูปต่างๆที่เลือกนำมาใช้ งานบางอันที่มีการเปิดโปงมาแล้วว่าศิลปินใช้ยาในการสร้างสรรค์เพลง มันจะเป็นงานที่ออกจะล่องลอย หมุนวน และก็ค่อนข้างออกแนวหลอนๆในระดับหนึ่ง ตามลักษณะของการออกฤทธิ์ของยาที่ทำให้ระบบประสาทขาดการยับยั้ง ทำให้การคิด การรีดเมโลดี้ การออกแบบซาวด์พวกนี้มักจะทะลุออกจาก"กรอบ" ปกติไป กล่าวคือ มันคือพวกเพลงที่ฉีกออกไปจากสำเนียงปกติ ออกมาในแบบที่จัดจ้านและไร้ขอบเขตนี่แหละครับ จินตนาการภาพง่ายๆก็พวกซาวด์ออกอวกาศ ลอยขึ้นฟ้าจักรวาล ประมาณนั้นครับ
อีกจุดเด่นหนึ่งที่ใช้ในการดูซาวด์ที่มีกลิ่นอายยาพวกนี้ มันจะไปเด่นที่การbuild up (ใช้ศัพท์ถูกป่าวอ่ะ ช่างมันเถอะผมคนไทย ) บิ๊ว"ฟีลลิ่ง" ของคนฟังให้ค่อยๆขึ้น ค่อยๆเดือด สูงขึ้นเรื่อยๆ ใช้เครื่องดนตรีและเสียงก้องๆ(คล้ายอยู่ในโรงมหรสพ)เพื่อกระตุ้นความรู้สึกที่อึดอัดและน่ากลัวขึ้นมา ค่อยๆเพิ่มมันขึ้นไปเรื่อยๆแบบแนบเนียนโดยที่คนฟังก็จะไม่สะดุดกึก จนกระทั่งพลุ่งพล่านในจุดหนึ่ง.. แล้วดนตรีก็จะกระชากคุณให้กลับลงมากระแทกพื้นอย่างแนบเนียนอีกครั้ง จะเทียบกับรถไฟเหาะตีลังกาก็ยังไม่พอ เพราะรถไฟเหาะเรายังรู้ทิศทาง แต่เพลงประเภทที่มียาเกี่ยวข้อง คุณจะจับทิศทางไม่ได้เลย ท่อนต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ หรืออยู่ดีๆมันจะจบเพลงไปเลยรึเปล่า.. เราก็ไม่รู้ บางท่อนดนตรีอยู่ดีๆก็จะมีลักษณะของการ "กระแทกกระทั้น" เหมือนคนคลุ้มคลั่งคนนึงที่กำลังต้องการจะ"ทำลาย" เครื่องดนตรีชนิดนั้นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเสียงการกระหน่ำทุบตีแป้นกดของเปียโน หรือแม้แต่เอาส้นเท้าขยี้ๆลงบนกีต้าร์ให้สายขาดดังแต๊วๆๆ ทีละเส้น ทีละเส้น เทคนิคประเภทนี้จะได้เสียงที่มีพลังทำลายต่อประสาทคนฟังสูงมากๆ จุดนี้จะทำให้รับรู้ได้ว่า อารมณ์ของเพลงตอนนั้น มันเป็นอาการคลั่งอย่างเห็นได้ชัด... แล้วอีกสักพักนึง ไม่เกิน สองสามวิ เพลงก็จะย้อนกลับไปเบาๆ ช้าๆ เนิบๆอีกครั้ง หลอนดีไหมล่ะ ผมว่าหลอนมากนะครับ ซาวด์อีกอย่างที่มักจะถูกนำมาใช้คือ เสียงสครีม หรือเสียงเกรียดร้องที่เล็ก สูง และเสียดแทงประสาทหูยิ่งนัก คล้ายๆเสียงผู้หญิงกรีดร้อง ประหนึ่งว่าคุณกำลังได้ยินเสียงคนกำลังทรมานอยู่ในขุมนรกเลยทีเดียว อาจจะโหยหวนเหมือนเสียงผีปีศาจสัมภเวสี หรืออาจจะเป็นเสียงคนที่กำลังถูกกรีดควักเอาเครื่องในออกมาสดๆ ก็เป็นได้.. พิมพ์ไปขนลุกไป มันน่ากลัวมากว่า ภายในสติสัมปชัญญะของคนๆนั้นที่ทำเพลง เวลาถูกฤทธิ์ยาหลอกหลอน มันจะน่ากลัวขนาดไหน..
2. เนื้อเพลง เนื้อนี่จะดูยากกว่าแบบบนหน่อย อย่างแรกง่ายๆ อาจสังเกตได้จาก ความต่อเนื่องของ "ลำดับความคิด" ในเพลง และการเลือกใช้ "ความหมาย" มาลงในเพลงนั้นๆ อย่างที่บอก ถ้าลำดับมันมั่ว คือหมายถึง ลักษณะการเรียงลำดับความคิดไม่ใช่ในแบบที่คิดปกติคิด ข้ามไปข้ามมา หรือทะลุกรอบที่คนปกติเค้า"ไม่คิดกัน" ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่อาจเรียกว่า "พลังจินตนาการ" อย่างนึง เนื้อเพลงที่จะเรียกว่ามีกลิ่นยานิดๆก็มักจะเป็นเนื้อเพลงที่เกินกว่าจินตนาการในระดับปกติจะเขียนออกมาได้ ลำดับการคิดของมันจะค่อนข้างแปลก และซับซ้อนกว่า ไม่ใช่การแปลหรือสื่อความหมายตรงๆ ..
กรณีเสก ผมก็ค่อนข้างเชิ่อว่า ยาเสพติดไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเพลงเค้าเลย เป็นแค่ข้ออ้างที่ไปเอาจากศิลปินต่างประเทศเท่านั้น สังเกตจากความเรียบง่ายและการใช้คำของเพลงเค้าในอัลบั้มแรกๆได้ ชัดเจน..
นอกจากนี้อีกกรณีหนึ่งที่สำคัญในเรื่องของเนื้อเพลง บางครั้งมีวิธีสังเกตง่ายยยยยมากอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ ความหมายของเพลงนั้นๆ คือจะพูดถึงโดยตรง เขียนถึงกันจะจะเลยเรื่องการใช้ยาเสพติด หรือถ้าไม่เช่นนั้นก็จะเป็นเนื้อเพลงประเภทที่เขียนเชิงเปรียบเปรยถึงอารมณ์ความรู้สึก ที่มีอุปกรณ์หรือสิ่งของปลอบประโลมจิตวิญญาณ พูดง่ายๆคือ เขียนเนื้อเพลงกล่าวถึงโดยอ้อมๆแหละครับ ในกรณีนี้ อาจจะไม่ได้เกิดจาก อารมณ์หรือความรู้สึกในตอนนั้นที่เป็นขณะกำลังเสพอยู่ แต่เป็นประสบการณ์ตรงของผู้แต่งที่ได้เคยผ่านและพบเห็นเรื่องราวแบบนี้มา มันก็จะพอสังเกตได้
การหลุดกรอบสองอย่างนี่แหละครับ ที่นักแต่งเพลงกระจอกๆแบบผมจะพออธิบายได้คร่าวๆว่า แบบไหนที่มีโอกาสเกิดจากการใช้ยาหรือเปล่า มีตัวอย่างเพลงมาให้ฟังเพื่อให้เห็นภาพกันแบบชัดๆ ได้รับการแนะนำและเอื้อเฟื้อข้อมูลมาจากพี่คนทำเพลงที่ผมมีโอกาสรู้จักท่านหนึ่งคือ พี่ต๋อง นิพันธ์ คีตวัชรานันท์(ช่วยสงเคราะห์) ขอบคุณพี่มาตรงนี้ด้วยนะครับ วงที่ว่านั่นคือวง Pink Floyd นั่นเอง เอาจริงๆเพลงยุคนี้ จขกท ก็เกิดไม่ทันได้โตมาด้วยหรอกครับ อาศัยฟังในยุคหลังเอา แต่ถ้าจะเอาคนยุคนี้ก็ต้องเลยไประดับรุ่นพ่อแม่ผมเลยครับ (50+) ถามว่า ดังขนาดไหน .. ก็ถึงขนาดเอ่ยชื่อมาแล้ว แม่ผมรู้จักครับ (จริงๆนะ แม่บอกเลย ตกใจเหมือนกัน) คือถึงแม้จะจำชื่อเพลงชัดเจนไม่ได้ แต่แม่ผมเคยฟังมาบ้างแน่นอน นี่เป็นเครื่องยืนยันว่าวงนี้สมัยก่อนดังอยู่ระดับไหน งานเพลงวงนี้สามารถนำมาเป็นตัวอย่างเปรียบเทียบให้ดูกันชัดๆเลย โดยเฉพาะคุณแฟนเสก low soul หลายๆท่านที่ยังอ้างเรื่องการเสพยาเพื่อผลิตเพลงอยู่ ว่ารูปแบบกับความเหนือชั้นมันคนละมิติกัน งานที่จะเอามาอ้างได้ว่าเสพยาแล้วทำ มันต้องเป็นลักษณะนี้ ซึ่งในเพลงต่างๆของเสกมันตรงกันข้ามกับเพลงที่มีกลิ่นอายอย่างนั้นเลยซะด้วยซ้ำ
ประวัติคร่าวๆของพิงค์ฟลอยด์นะครับ
Pink Floyd วงดนตรีวงนี้ถือกำเนิดขึ้นจากประเทศอังกฤษ ณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สมาชิกรุ่นดั้งเดิมประกอบด้วย 4 นักศึกษาคณะศิลปกรรม Syd Barrett ซึ่งทำหน้าที่เป็นมือกีตาร์ ร้องนำ และเขียนเพลง Roger Waters ทำหน้าที่เป็นมือเบส Nick Mason ทำหน้าที่เป็นมือกลอง และ Rick Wright ทำหน้าที่มือคีย์บอร์ด Pink Floyd เป็นวงดนตรีที่มีวิวัฒนาการทางดนตรียาวนานถึง 30 กว่าปี แนวเพลง ซึ่งพัฒนาเรื่อยๆ ทั้ง Psychidelics ,Syphonic Rock , Progressive Rock , Art Rock จงไปถึง Serious Music และผู้นำของวงในแต่ละยุคซึ่งแตกต่างกันไป ภายหลัง Syd Barrett ได้ออกจากวงไป โดยได้ David Gilmour มาทำหน้าที่เป็นมือกีตาร์แทน Rick Wright ได้ถูกไล่ออกจากวงในช่วง ทำอัลบั้มชุด The Wall และได้กลับเข้าวงใหม่ในช่วงอัลบั้ม A Momentary Lapse Of Reason และภายหลังทำอัลบั้ม The Final Cut ในปี ค.ศ. 1983 Roger Waters ก็ประกาศลาออกจากวง จึงทำให้วงเหลือสมาชิกเพียงแค่ 3 คน คือ David Gilmour,Nick Mason, Rick Wright แนวเพลง โพรเกรสซีฟร็อค, ไซคีเดลิกร็อค, อาร์ค ร๊อค, สเปซ ร๊อค ปี ค.ศ. 1965 - ค.ศ 1994 ค่าย Tower, Harvest, Columbia, Capitol เป็นวงดนตรีร็อกจากประเทศอังกฤษ ที่ประสบความสำเร็จ และมีอิทธิพลต่อวงการดนตรีร็อกมากที่สุดวงหนึ่ง มียอดขายอัลบั้มทั่วโลกถึง 250 ล้านชุด ยอดขายเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ประมาณ 73.5 ล้านชุด อัลบั้ม The Dark Side of the Moon ของทางวง ติดอันดับ 1 ใน 200 อันดับแรกของนิตยสารบิลบอร์ดต่อเนื่องนานถึง 741 สัปดาห์ หรือ 15 ปี ระหว่าง ค.ศ. 1973-1988 เป็นสถิติยาวนานที่สุดและสามารถสร้างสถิติในอังกฤษด้วยการอยู่บนชาร์ทได้นาน 301 สัปดาห์ ถึงแม้จะขึ้นสูงสุดที่อันดับ 2
ข้อมูลของพิงค์ฟลอยด์ตรงไหนในกระทู้นี้ถ้าผิดรบกวนเพื่อนสมาชิกท้วงติงหรือแก้ด้วยนะครับ คลิปนี้เป็นตัวอย่างแรกให้ดูกันชัดๆเลยว่า เพลงที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยวิธีนั้น มันจะเป็นลักษณะนี้... เดี๋ยวจะมาให้ข้อมูลเพิ่มใน คห ต่อๆไปด้านล่างในกระทู้ (แน่จริงฟังให้จบนะครับ หึๆๆๆ ^^)
ปล. รบกวนกดเก็บเข้าคลังกระทู้ให้ด้วยนะครับ ขอบคุณคร๊าบ -/\- ปล.2 มีคำอธิบายเรื่องกระทู้อยู่ที่คห 16-19 แถวๆนั้นด้วยนะครับเดี๋ยวจะเข้าใจผิดกัน^^
แก้ไขเมื่อ 21 ธ.ค. 54 17:58:30
แก้ไขเมื่อ 21 ธ.ค. 54 12:26:25
จากคุณ |
:
หัตถาครองพิภพ
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ธ.ค. 54 12:20:58
|
|
|
|