ความคิดเห็นที่ 1 แต่มีนักร้องสาวอยู่สองคนที่เวลาพวกเธอแผดเสียงร้องในเพลงแล้ว ผมอยากจะโห่ร้องเป่าปาก หวีดวิ้วกับ"ความงดงาม"ของน้ำเสียงที่ได้ยินนั้น เพราะเธอไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่า เธอพยายามเค้นเสียงอย่างเกินเลยแต่อย่างใด ตรงกันข้ามผมรู้สึกว่าเธอร้องมันออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และนั่นเป็นพรสวรรค์ของพระเจ้าที่มอบให้กับผู้หญิงสาวสองคน ได้มีโอกาสสร้างสรรค์เสียงสวยๆ แต่ทรงพลังนั้นให้กับผมได้ยินได้ฟัง   คนแรกเป็นนักร้องเพลงร็อค เธอเป็นนักร้องนำวง HEART ชื่อ แอนน์ วิลสัน (Ann Wilson) อีกคนก็แน่นอนเป็นใครไปไม่ได้ เจ้าของพลังเสียงที่เด็ดขาด ทรงพลัง ใสกังวาน และมีช่วงเร้นจ์เสียงที่กว้างเกินจินตนาการของผม ที่จะนึกถึงการร้องของนักร้องสาวสักคนหนึ่งจะเปล่งมันออกมาได้ (อย่าเอาเธอไปเปรียบกับนักร้องโอเปร่าเสียงโซปราโนนะครับ ผมกำลังพูดถึงเพลงป็อปที่คนธรรมดา สามัญชนบ้านๆ ร้านตลาดแบบเราท่านจะสัมผัสได้ในเชิงคีตศิลป์) เธอคือ วิทนี่ย์ ฮุสตัน! (Whitney Houston)    (นี่เป็นตัวอย่างเพลงชื่อ Alone ของวงฮาร์ท ที่แอนน์เธอแผดเสียงช่วงกลางเพลงได้ยอดเยี่ยม และงดงามเพลงหนึ่ง (ในบริบทเพลงแนวร็อค) แต่จริงๆ ยังมีอีกครับ ทุกเพลงที่มีเสียงเธอแผดก้องออกมา ถ้าเป็นแฟนเพลงผู้หญิงของเธอก็จะกรี๊ดกันลั่นฮอลล์ แต่ผมเป็นผู้ชายก็อยากโห่ร้อง เป่าปากด้วยความสะใจออกมาทุกครั้งที่แอนน์เธอแผดเสียงร้อง) แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 55 22:09:47 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 55 22:05:25

ความคิดเห็นที่ 2 ผมรู้จักวิทนี่ย์ครั้งแรกตอนเรียนอยู่ ม.5 สมัยตัวเองยังเอ๊าะๆ อยู่ว่างั้นเถอะ ประมาณปี 1985-1986  ยุคสมัยนั้นดนตรีแนวเฮฟวี่ เมทัล/ฮาร์ดร็อค/แฮร์แบนด์ กำลังเฟื่องฟูสุดขีดเลยครับ แต่มีนักร้องสาวอยู่คนหนึ่ง เธอพรวดพราดเข้ามาในวงการจนทำให้ทุกคนต้องสะดุดกับเสียงอันทรงพลัง และใสกังวานของเธอ ประเภทที่เรียกว่านักร้องเพลงฮาร์ดร็อคทรงพลังในน้ำเสียงที่ว่าแน่ๆในยุคนั้น ต้องหลีกให้เธอ อายม้วนกลับเข้าหลังเวทีกันไปเลย เมื่อได้ยินการร้องของเธอ ประมาณนั้นแหละ ผมซื้อเทปอัลบั้มรวมเพลงป็อปในยุคนั้นชื่ออัลบั้ม Nice And Easy No. 2 มาชุดหนึ่ง ก็มีเพลงดังๆ ไพเราะที่ผมชื่นชอบมากมายในชุดนั้นครับ อย่าง Cherish (Kool & The Gang), Within You'll Remain (Tokyu Square), Experience (Diana Ross), One More Night (Phil Collins), Say You Say Me (Lionel Richie) และ Careless Whisper (Wham) ด้วยถ้าจำไม่ผิด (พอดีเทปซีรี่ส์นี้มันมีหลาย No.) แต่มีเพลงอยู่เพลงหนึ่งที่เสียงนักร้องสาวในเพลงๆ นี้ เฉียบขาดและกินขาดศิลปินทุกคนในอัลบั้มนั้น อาจจะเรียกว่าทุกคนในยุคนั้นเลยก็ว่าได้ ชื่อเพลง Saving All My Love For You เป็นซิงเกิลที่สองในอัลบั้ม Whitney Houston ของนักร้องสาวชื่อเดียวกับอัลบั้ม แต่เป็นซิงเกิลแรกของเธอที่ขึ้นถึงอันดับหนึ่งในบิลบอร์ดชาร์ท  (เพลง You Give Good Love ถูกตัดเป็นซิงเกิลแรก แต่ขึ้นไปได้แค่อันดับ 3 ในชาร์ทเท่านั้น) แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 55 08:18:09 แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 55 22:58:52 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 55 22:55:20

ความคิดเห็นที่ 3 อัลบั้ม Whitney Houston ออกมาเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 1985 โดยค่ายเพลง Arista Records แล้วก็ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์เลยว่า เป็นอัลบั้มแรกของนักร้องที่มีเพลงติดอันดับหนึ่งบิลบอร์ดชาร์ทถึง 3 เพลงด้วยกันในอัลบั้มเดียว (กับอีก 1 เพลงอันดับ 3 อย่างที่บอก) วิทนี่ย์สร้างประวัติศาสตร์ให้ตนเองตั้งแต่อัลบั้มแรกของเธอ อีกปีต่อมา Whitney Houston ก็มาได้รางวัล อัลบั้มแห่งปี  ตัวเธอเองก็ได้รางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และรางวัล Best Pop Vocal Performance, Female กับเพลง Saving All My Love for You ด้วย สื่อต่างๆ ทั้งนิวยอร์ค ไทม์ ลอส แองเจลีส ไทม์ และโรลลิ่ง สโตน (ที่ปกติมักอวยแต่ผลงานในวงการเฮฟวี่เสียเป็นส่วนใหญ่) รวมทั้งสื่อสำนักอื่นๆ ที่ทรงอิทธิพลด้านการวิพากษ์วิจารณ์ผลงานเพลงในช่วงเวลานั้น พร้อมอกพร้อมใจกัน"อวย"วิทนี่ย์กันเป็นการใหญ่ นักร้องพรสวรรค์สูงสุดบ้างละ นักร้องพลังเสียงดุจพระเจ้าส่งมาเกิดบ้างละ เอ่อ...อันหลังนี่ผมพูดเองครับ (แป่ว...) แต่เขาก็อวยกัน ยกยอกันประมาณนี้ เรียกว่า ไม่มีกั๊กกันเลยทีเดียว เหม่..อย่างว่า ก็คนเขาเก่งจริง ขายความสามารถล้วนๆ วิทนี่ย์เธอเป็นนักร้องเสียงเมซโซ-โซปราโน ตามหลักวิชาการเทคนิคการร้อง เขาก็ว่าช่วงกว้าง (range) ของน้ำเสียงเธอนั้น อยู่ระหว่าง G below middle C (G3) ไปจนถึง high B-flat (B♭5) และเธอยังสามารถร้องเบนเสียง treble F (F5) ได้ด้วย เป็นยังไงน่ะหรือครับ เอ่อ..อันนี้ผมก็ไม่รู้ (แป่ววว..) วิกิฯเขาว่าไว้ ฮิฮิ.. เอาเป็นว่า เร้นจ์ของเสียงเธอคือความอัศจรรย์ที่แฟนๆ เพลงอย่างเราสัมผัสได้ เวลาที่เธอเปล่งเสียง แผดเสียงอย่างที่เราได้ยินในช่วงกลางหรือท้ายเพลงเกือบทุกเพลงของเธอนั่นแหละครับ แฮะๆ ว่ากันว่า เธอคือต้นแบบของการร้องของดิว่าในยุคต่อมาของอุตสาหกรรมดนตรี ทั้ง มารายห์ แครี่  ซีลีน ดิออน ฯลฯ ในภายหลังนี่ไม่มีใครที่ไม่ได้รับอิทธิพลวิธีการร้องของวิทนี่ย์เลยแม้แต่คนเดียว ทุกคนเคยศึกษาและฝึกฝน เรียนรู้ในรูปแบบวิธีการและเทคนิคของวิทนี่ย์มาแล้วกันทั้งนั้น แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 55 23:58:44 แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 55 23:35:32 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 55 23:31:56

ความคิดเห็นที่ 4 Saving All My Love for You เพลงนี้แต่งโดย Michael Masser และ Gerry Goffin จริงๆแล้วไม่ใช่วิทนี่ย์ที่ร้องเพลงนี้คนแรก แต่ Marilyn McCoo และ Billy Davis Jr. ร้องไว้ในอัลบั้ม Marilyn & Billy (1978) โน่น แต่ไม่ดังถล่มทลายอย่างที่วิทนี่ย์เอามาร้องเท่านั้น อารมณ์เพลงจะได้กลิ่นไอและสีสันแบบเพลงบัลลาดสไตล์แจ๊สแทรกอยู่ในที ทั้งลีลาการร้อง เสียงแซ็กโซโฟนและบรรยากาศของเพลง แต่ก็เป็นแค่ป็อปกลิ่นแจ๊สเท่านั้นครับ ไม่ใช่ดนตรีแจ๊สแน่ๆ (ขืนทำเป็นแจ๊สแท้ๆ คงไม่ดังเท่านี้...แป่ววว..) เนื้อหาเพลงก็ว่าด้วยเรื่องรักที่ห้ามใจไว้ไม่ไหวระหว่าง นักร้องสาวกับโปรดิวเซอร์ที่มีภรรเมียอยู่แล้ว แต่ก็เป็นแค่ชู้ทางใจเท่านั้น อะไรประมาณนี้ เพราะใน MV เพลงนี้เราจะเห็นเนื้อเรื่อง เรื่องราวของนักร้องสาวของเรา ซึ่งก็คือ วิทนี่ย์แอบรักชอบพอกับโปรดิวเซอร์ของตนเอง ที่มีภรรยาคอยมาคุม! สถานที่ถ่ายทำก็ลอนดอน อังกฤษครับ ว่าแล้วฟังเพลงดีกว่า โม้เยอะจริงๆ ผมนี่ แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 55 23:55:16 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 55 23:53:41

ความคิดเห็นที่ 5 How Will I Know เป็นซิงเกิลที่ 2 ของวิทนี่ย์ในอัลบั้มชื่อเดียวกับชื่อเธอที่ขึ้นถึงอันดับ 1 ในบิลบอร์ดชาร์ทได้เช่นกัน เป็นเพลงเต้นรำจังหวะอัพ-เทมโป้  แรกเริ่มเดิมที George Merrill กับ Shannon Rubicam ผู้แต่งเพลงๆ นี้เตรียมเดโมไว้ให้ Janet Jackson เป็นคนร้อง กับค่าย A&M Records แต่ทีนี้ผู้จัดการของเจเน็ตไม่ชอบเพลงนี้ครับ แกว่าเพลงมันอ่อนไป ไม่ดีพอสำหรับเจเน็ต เอ่อ...แต่ต่อมาอันดับในบิลบอร์ดพิสูจน์แล้วว่า ตาแกไม่ถึง! (แป่วว...) ผู้แต่งเพลงนี้ซึ่งก็คือ เมอริลล์ให้สัมภาษณ์ว่า เขารู้สึกผิดหวังมากที่เจเน็ตไม่ชอบเพลงนี้ เพราะเขาเตรียมไว้ให้สำหรับเธอโดยเฉพาะ แต่ต่อมาภายหลัง Gerry Griffith ซึ่งเป็นผอ.แผนกดนตรี R&B ของ Arista Records กลับปิ๊งมัน เขาให้สัมภาษณ์ไว้ว่า "เราพยายามหาเพลงแนว อาร์แอนด์บี แต่เราไม่มีมันอยู่ในตอนนั้น พอผมได้ฟัง How Will I Know ที่เมอริลล์นำมาเปิดให้ฟัง ผมรู้สึกว่ามันเป็นเพลงป็อปแดนซ์ที่สมบูรณ์แบบเพลงหนึ่ง (นี่ๆ คนตาถึงหูถึงเขาเป็นแบบนี้ เจเน็ตดูไว้ๆ (แป่วว...)) เช่นเดียวกับผู้ช่วยผม Clive Davis ที่เขาตกหลุมรักมันทันทีที่ผมเปิดให้เขาฟัง" ส่วนหนึ่งเพราะในยุคนั้น MTV กำลังทรงอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมดนตรีด้วย MV ของเพลงนี้จึงโดนใจวัยรุ่นในยุคนั้นอย่างจัง แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 55 00:39:01 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 00:37:14

ความคิดเห็นที่ 6 MV เพลง How Will I Know  เรื่องราวในมิวสิคฯเพลงนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ให้วิทนี่ย์ที่สมัยนั้นเธอยังดูเช้งกระเด๊ะ วัยรุ่นน่ารักมาก เดินไปเดินมาและร้องเพลง รวมถึงเต้นไปกับนักเต้นประกอบเพลง เนื้อหาประมาณว่า นักแสดงหรือนักเต้นที่อยากรู้ว่า ชายหนุ่มจะชอบเธอตอบ เหมือนที่เธอชอบเขาหรือเปล่า? อะไรทำนองนั้น แต่มาดูตอนนี้ ทั้งการแต่งกาย เสื้อผ้า หน้าผม อาจจะดูเชยๆ ตกยุค แต่ลองจินตนาการไปสมัยผมยังวัยรุ่นสิครับ (แป่วว...) อินเทรนด์ซะไม่มีอ่ะ! ฮิฮิ แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 55 08:59:42 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 00:46:14

ความคิดเห็นที่ 7 The Greatest Love of All นับเป็นซิงเกิลที่ 3 ของวิทนี่ย์ที่สามารถขึ้นถึงอันดับหนึ่งในบิลบอร์ดได้ แถมค้างอยู่อย่างนั้น 3 สัปดาห์ ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะมีความไพเราะมากถึงมากที่สุดในจำนวน 3 เพลงที่ขึ้นอันดับหนึ่งของเธอกับอัลบั้มแรก เพลงนี้แต่งโดย Michael Masser และ Linda Creed แรกทีเดียวได้ George Benson เอาไปบันทึกไว้เป็นเพลงประกอบหนังเรื่อง Muhammad Ali ในปี 1977 ลินดาคนแต่งเพลงนี้เธอประพันธ์มันขึ้นระหว่างที่เธอเป็นมะเร็งเต้านม เนื้อหาเพลงจึงสะท้อนจิตใจของเธอในช่วงนั้น ซึ่งเป็นอารมณ์ความรู้สึกของผู้ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในชีวิต ว่าจะประสพความสำเร็จหรือล้มเหลว และส่งผ่านความรัก ความห่วงใย รวมถึงขวัญและกำลังใจในบทเพลง ต่อไปถึงเด็กๆ ซึ่งพวกเขาต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในภายภาคหน้า อะไรประมาณนั้น แต่เรื่องที่ทั้งน่าเศร้าและยิ่งใหญ่ไปพร้อมๆกันสำหรับลินดา นักแต่งเพลงผู้นี้คือ เพลงๆ นี้ประสพความสำเร็จขึ้นถึงอันดับหนึ่งได้ในปี 1986 ในขณะที่เธอต้องมาเสียชีวิตเพราะโรคร้ายในขณะนั้น เมื่อเธอมีอายุเพียง 36 ปี! แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 55 16:43:00 แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 55 09:03:07 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 01:03:51

ความคิดเห็นที่ 8 MV เพลง The Greatest Love of All  ถ่ายทำกันในสถานที่ที่ถือว่าเป็นตำนานของวงการแจ๊สในยุคสวิง (Swing Era) ในอดีต นั่นคือ Harlem's Apollo Theater ใน New York City เนื้อเรื่องพูดถึง วิทนี่ย์ซึ่งเป็นนักร้องผู้ประสพความสำเร็จ ต้องออกไปแสดงต่อหน้าผู้ชม วิทนี่ย์รำลึกถึงอดีตสมัยที่ตนเองยังเป็นเด็ก และได้เข้าร่วมการแข่งขันขับร้องเพลง โดยได้รับการสนับสนุนและให้กำลังใจจากแม่ของเธอ  Cissy Houston ซึ่งก็มาร่วมแสดงใน MV นี้ด้วย ไพเราะจริงๆ ครับเพลงนี้ ความรักไม่จำกัดเฉพาะเรื่องราวระหว่างหนุ่มสาว เพราะรักที่แท้จริง คือรักที่ไม่มีเงื่อนไข เช่นรักของมารดาที่มีต่อบุตรีของเธออย่างในเพลงๆนี้ เป็นอีกหนึ่งเพลงโปรดสุดๆ ของวิทนี่ย์สำหรับผมเลย แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 55 09:07:08 แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 55 09:06:02 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 01:16:01

ความคิดเห็นที่ 9 ง่วงและ... เด๋วมาต่อพรุ่งนี้ครับ โพสต์วันละอัลบั้ม เดี๋ยวก็ครบทุกอัลบั้มเองและ ได้ดื่มด่ำกับเพลงและเรื่องราวของวิทนี่ย์ในคืนที่เป็นรอยต่อระหว่างวันก่อนวาเลนไทน์ และย่างเข้าสู่วันวาเลนไทน์ ผมรู้สึกอบอุ่นดีครับ คนโสดก็งี้อ่ะ ยังหาแฟนไม่ได้ เหงาๆแบบโรแมนติกไปคนเดียว ฮิฮิ น่า....น  ว่าไปนั่น! จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 01:24:39

ความคิดเห็นที่ 10 อัลบั้ม Whitney งานเพลงชุดที่ 2 ของวิทนี่ย์ที่สานต่อความสำเร็จจากชุดแรก แม้ในแง่ของเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสื่ออย่างโรลลิ่ง สโตนจะบอกว่า งานเพลงชุด 2 ของเธอฝ่ายผลิตเดินตามรอยงานชุดแรกมากไป ด้วยศักยภาพและความสามารถของวิทนี่ย์ ค่ายเพลงน่าจะทำได้ดีกว่านี้ อะไรประมาณนั้น ก็ว่ากันไปในมุมมองของนักวิจารณ์ แต่ขอโทษความสำเร็จบนบิลบอร์ดชาร์ทต้องบันทึกไว้อีกครั้งว่า วิทนี่ย์ในฐานะศิลปินหน้าใหม่คนแรกของวงการ (อีกแล้ว) ที่สามารถดันตัวอัลบั้มของตนเองขึ้นไปอยู่ที่อันดับหนึ่งของ Billboard 200 Albums Chart ได้สำเร็จ! แถมเป็นคนแรกที่ทำให้อัลบั้มของตนเองติดอันดับอัลบั้มทำเงินอันดับที่ 1 ทั้งใน US และ UK chart เอาเข้าไปๆ คนมันจะดัง ช้างก็ฉุดไม่อยู่! แล้วถ้ามองในภาพรวมของปี 1987 ซึ่งอัลบั้มนี้ออกวางจำหน่าย งานเพลงชุดนี้ทำเงินเป็นรองแค่โค-ตะ-ระงานเพลงของอีก 2 ศิลปินระดับตำนาน คือ Michael Jackson กับอัลบั้ม Bad ที่ครองที่หนึ่งในปีนั้น และวง U2 กับอัลบั้มระดับขึ้นหิ้งของทางวงอย่าง The Joshua Tree ที่ครองอันดับสองด้วย! เอากะเขาสิ จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 11:59:50

ความคิดเห็นที่ 11 I Wanna Dance with Somebody (Who Loves Me) ซิงเกิลแรกที่ถูกปล่อยออกมา งานเพลงที่แต่งโดย  George Merrill กับ Shannon Rubicam อีกครั้ง ซึ่งเคยแต่ง How Will I Know  เพลงจังหวะเต้นรำที่ทำให้วิทนี่ย์ประสพความสำเร็จมาแล้ว เพลงนี้ต่อมาได้รับรางวัลแกรมมี่สาขา Best Female Pop Vocal Performance ไปด้วย เป็นเพลงที่ขึ้นอันดับหนึ่งพร้อมกันใน 13 ประเทศทั่วโลก! Rubicam ผู้แต่งเพลงๆ นี้บอกถึงแรงบันดาลใจที่อยู่ข้างหลังเพลงว่า "ฉันแต่งมันขึ้นมาด้วยความคิดที่ว่า วัยรุ่นในยุคนั้นคงไม่ใช่เพียงเข้าไปในดิสโก้เทค แล้วก็เต้นๆๆ แต่พวกเขากำลังไปร่วมเต้นในจังหวะชีวิตของตนเอง กับใครสักคนที่รักเขาด้วยเช่นกัน ฉันส่งเพลงนี้ไปให้ Clive Davis  ฟัง และเขารักมันในทันที แต่กับโปรดิวเซอร์ของวิทนี่ย์ในเวลานั้นคือ  Narada Michael Walden ซึ่งโปรดิวซ์เพลง How Will I Know ให้วิทนี่ย์ก่อนหน้านี้ด้วย กลับไม่ชอบมัน" วัลเดนบอกว่า "ตอนแรกผมคิดว่าดนตรีมันออกแนวคันทรี่และเวสต์เทิร์นไปหน่อย  เพลงๆ นี้น่าจะเหมาะกับ Olivia Newton-John มากกว่า  สำหรับวิทนี่ย์เธอน่าจะได้เพลงที่ให้ความรู้สึกของคนผิวสีอย่าง อาร์แอนด์บี มากกว่านี้ พอตื่นมาใตอนเช้าของอีกวัน ผมเลยจัดการทำมันออกมาในแนวเต้นรำซะ แล้วเราก็พบว่า มันเป็นการบันทึกเสียงที่เยี่ยมเพลงหนึ่ง" แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 55 12:23:36 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 12:21:55

ความคิดเห็นที่ 12  I Wanna Dance With Somebody ซึ่งดูแลการผลิตโดย Brian Grant ได้รับการบันทึกไว้ว่าเป็น MV ของวิทนี่ย์ที่ถูกจดจำมากที่สุดเพลงหนึ่งของเธอ ดียังไงมาชมกันดีกว่า จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 12:27:35

ความคิดเห็นที่ 13 Didn't We Almost Have It All เป็นซิงเกิลเพลงที่ 2 ที่ถูกปล่อยออกมา ปลายปีเพลงนี้ได้รับคัดเลือกให้เสนอเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขา บทเพลงแห่งปี ของปี 1988 ด้วย แต่ไม่ได้รับรางวัล ผมว่าท่วงทำนองไพเราะดีครับ แม้ว่าเมโลดี้ภาพรวมทั้งเพลงไม่ได้ไหลลื่น ไพเราะเพราะพริ้งอย่าง Greastest Love of All หรือ One Moment in Time ที่ส่งให้วิทนี่ย์ได้แสดงศักยภาพของเสียงพรสวรรค์ส่งมาเกิดก็ตาม ก็ไม่น่าแปลกใจที่พลาดรางวัลใหญ่ปลายปีไป แม้เพลงนี้จะได้รับความนิยมในระดับหนึ่งก็ตาม แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 55 16:44:06 แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 55 16:35:42 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 12:37:34

ความคิดเห็นที่ 14 เนื่องจากงานชุดนี้ วิทนี่ย์มีซิงเกิลออกมาถึง 6 เพลง แล้วผมก็อยากพูดถึงทั้ง 6 เพลงเลย ผมชอบอัลบั้มในช่วงแรกๆ ของอาชีพในวงการเพลงของเธอ เพราะหลังจากเธอคบหากับบ็อบบี้ บราวน์และแต่งงานกับเขาแล้ว เพลงของเธอหลังจากนั้น ในความรู้สึกของผมเป็นขาลงในอาชีพการร้องเพลงของเธอครับ บราวน์นำกัญชาเข้ามาในชีวิตวิทนี่ย์ แต่จะโทษบราวน์คนเดียวก็คงไม่ได้ เพราะแทนที่วิทนี่ย์จะเท่าทันห้ามปรามเขา เธอกลับเอาโคเคนเข้ามาในชีวิตของเธอและบราวน์ เลยแข่งกันติดเลยทีนี้ เอวัง ก่อนจะพูดถึงซิงเกิลอื่นๆ ในงานชุดนี้ ผมอยากอินเทรนด์พูดถึง นักร้องสาวที่กำลังเจิดจรัสแสง (อีกแล้ว) ในวงการดนตรี ด้วยรางวัลแกรมมี่ครั้งที่ 54 จำนวนถึง 6 สาขาที่เธอกวาดมันเรียบ ทั้งรางวัลใหญ่ รางวัลเล็ก อัลบั้มแห่งปี บทเพลงแห่งปี นักร้องหญิงยอดเยี่ยมแห่งปี ฯลฯ ใช่ครับ เธอคือ อเดล! จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 12:45:07

ความคิดเห็นที่ 15 ผมไม่ค่อยได้ตามงานเพลงในวงการปัจจุบันสักเท่าไหร่ในช่วงหลังๆ อาจเพราะเท่าที่ฟังอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลงานเก่าๆเสียมากกว่า มันก็มากมายก่ายกองแล้ว อีกทั้งชีวิตหน้าที่การงานก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้อง หรือจำเป็นต้องเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย ดังนั้นตนเองจึงพึงพอใจจะจบความสนใจลงเฉพาะงานในอดีตเท่านั้น ศิลปินรุ่นใหม่คนสุดท้ายที่ผมให้ความสนใจและมีอัลบั้มของเธอ 3-4 ชุด คือ Norah Jones เพราะไม่เพียงเธอจะกวาดรางวัลแกรมมี่แบบถล่มทลายแบบเดียวกับที่อเดลทำได้ในปีนี้ กับอัลบั้มแรกของเธอยังมีกลิ่นไอแจ๊สด้วย นั่นทำให้ผมสนใจนอร่าห์ ยอมรับตรงๆ งานของอเดลผมยังไม่มีโอกาสฟังเป็นเรื่องเป็นราวเลยครับ แต่หลังจากนี้คงต้องหามาฟังจริงๆ จังๆ เคยดูเธอในยูทูบกับเพลงดังของเธอก็เพราะ ใบหน้าเธอสวยดีครับ (แป่ววว...) แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 55 16:47:44 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 12:51:46

ความคิดเห็นที่ 16 ผมอยากเขียนถึงอเดล ก็เพราะชอบทัศนะต่อดนตรีและการร้องเพลงของเธอครับ เธอให้สัมภาษณ์แบบคนอังกฤษที่ชอบกัดชอบจิกเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาคนวัยอ้วน เอ๊ย อวบมากถึงมากที่สุดว่า "ฉันชอบดูอกและก้นของเลดี้ กาก้านะ เช่นเดียวกับ อกกับก้นของเคที่ เพอร์รี่นั่นแหละ แต่นั่นไม่ใช่เพลงในแนวทางอย่างที่ฉันเป็น ฉันไม่ได้ทำเพลงเพื่อการดู (อกกะก้น) แต่ฉันทำเพลงเพื่อการฟัง" (แป่วว...) แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 55 13:04:56 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 12:59:58

ความคิดเห็นที่ 17 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 13:02:58

ความคิดเห็นที่ 18 ฮะๆๆๆๆ เอากะเธอสิ ยังๆ ยังไม่หมด เมื่อมีนักวิจารณ์พูดถึงความอ้วนของเธอ เธอให้สัมภาษณ์ว่า "ก็ฉันมันคนชอบทาน (ก่อนจะเอานิ้วที่ครีบบุหรี่ บรรจงใส่ก้นกรองเข้าปาก แล้วสูดดังฟี๊... (แป่วว..) อันนี้ผมเขียนเอง ฮิฮิ แต่บุคลิกจริงของเธอเห็นว่า ก็ไม่ต่างจากนี้เท่าไหร่ เธอกล่าวต่อว่า) ฉันชอบทาน ทานๆๆ ฉันไม่ชอบออกกำลัง งานค่อนข้างยุ่ง ฉันไม่ค่อยจามีเวลาให้มันเท่าไหร่ ฉันไม่ชอบหรอกนะที่จะไปเป็นนางแบบบนปกนิตยสารอย่าง Playboy หรือ Vogue ฉันต้องการขึ้นปก Rolling Stone หรือ Q มากกว่า ฉันไม่ใช่นางแบบนี่ ฉันเป็นนักร้องนะ ฉันอาจจะมีน้ำหนักเป็นตัน แต่ทำผลงานอัลบั้มเพลงได้ดี ฉันไม่คิดจะเอาเรือนร่างมาขายหรอก(ย่ะ)"  (แป่วว..) แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 55 13:19:23 แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 55 13:18:15 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 13:17:19

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่ชอบขึ้นปก Vogue นะ แต่ดูภาพนี้สิ แถวบ้านผมเรียกว่า โคตรสวย! จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 13:20:55

ความคิดเห็นที่ 20 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 13:22:33

ความคิดเห็นที่ 21 ไม่ชอบขึ้นปก Vogue อ่ะ เธอมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงและมีความสวยพร้อมมูล หวังว่าชีวิตส่วนตัวของเธอจะรับมือกับความโด่งดังและความสำเร็จระดับโลกได้ดี วงการเพลงน่าจะได้บทเรียนราคาแพง(มาก)ที่วิทนี่ย์สอนไว้ให้เห็นนะ - -" จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 13:27:05

ความคิดเห็นที่ 22 "นาทีที่ยิ่งใหญ่"ของอเดล จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 13:31:47

ความคิดเห็นที่ 23 ขอมอบบทเพลงนี้ให้อเดลจ่ะ จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 13:33:57

ความคิดเห็นที่ 24 So Emotional นับเป็นซิงเกิลอันดับ 3 ที่ถูกตัดออกมาจากอัลบั้ม Whitney เพลงนี้ถูกแต่งโดยนักแต่งฝีมือขั้นเทพของวงการอย่าง  Billy Steinberg และ Tom Kelly ซึ่งเคยแต่งเพลงฮิตอันดับ 1 ในบิลบอร์ดชาร์ทมาแล้วมากมาย เช่น แต่งให้ Madonna กับเพลงดังของเธอ "Like a Virgin" แต่งให้ Cyndi Lauper กับเพลงดังมากอีกเช่นกัน "True Colors" ไหนจะแต่งให้ Heart กับเพลง "Alone"ที่ผมพุดถึงในคห. 1ที่แอนน์ วิลสันเอาไปร้องจนดังระเบิดนั่นก็ด้วย รวมถึงแต่งให้ The Bangles กับเพลงฮิตของพวกเธอ "Eternal Flame" เนื้อหาเพลงพุดถึง หญิงสาวที่กำลังตกหลุมรัก เธอช่างเป็นคนอ่อนไหว หวานไหวทางอารมณ์ ของคนที่อยู่ในห้วงแห่งความรัก ทุกครั้งที่คิดถึงเขาผู้เป็นหวานใจของเธอ อะไรประมาณนั้น ตัวเพลงขึ้นถึงอันดับ 1 ในบิลบอร์ดชาร์ทอีกครั้ง สมราคามือโปรนักแต่งของวงการอุตสาหกรรมดนตรีครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 55 12:57:28 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 13:44:01

ความคิดเห็นที่ 25 MV ของเพลง So Emotional กำกับโดย Wayne Isham ภาพส่วนใหญ่เอามาจากการแสดงของวิทนี่ย์ที่ Stabler Arena ใน Bethlehem มลรัฐ Pennsylvania จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 13:01:23

ความคิดเห็นที่ 26 มารออ่าน จากคุณ : มีดปลายแหลมในความมืด เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 13:02:22

ความคิดเห็นที่ 27 Where Do Broken Hearts Go เป็นซิงเกิลอันดับ 4 ของวิทนี่ย์จากอัลบั้มอันดับสองของเธอ เป็นเพลงบัลลาดที่ประพันธ์โดย  Frank Wildhorn และ Chuck Jackson ทีแรกวิทนี่ย์ไม่อยากจะร้องเพลงนี้ครับ ในความเห็นของเธอๆ คิดว่า เนื้อหาคำร้องของเพลงไม่ถูกใจเธอเท่าไหร่ แต่ทางทีมงานโปรดิวเซอร์ในบริษัท อริสตร้า ต้นสังกัดของเธอเชื่อว่า มันจะขึ้นอันดับหนึ่งได้แน่ๆ แล้วก็เป็นจริง เพลงนี้เป็นอีกเพลงของวิทนี่ย์ที่ขึ้นอันดับ 1 ของบิลบอร์ดชาร์ทได้อีกเพลง ช่วงนี้ดูเธอจะทำอะไรดูดีไปหมดครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สังเกตุได้ว่า ความสำเร็จของวิทนี่ย์มาจาก การได้นักแต่งเพลงรวมถึงทีมงานทำดนตรีที่เก่งในอุตสาหกรรมดนตรีครับ ขั้นเทพกันทั้งทีม แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 55 15:58:13 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 13:12:05

ความคิดเห็นที่ 28 MV ของ Where Do Broken Hearts Go เรื่องราวของสาวคนหนึ่ง ก็นำแสดงโดยวิทนี่ย์เอง ถูกบอกเลิกโดยชายคนรัก เธอถึงร่ำร้องว่า หัวใจที่แตกร้าวของฉันจะไปหาที่พักพิงที่ไหนได้ละเธอ อะไรประมาณนั้น (แปลซะเน่า) ตอนจบเน่ากว่า รักที่หวนคืน ไปฟังเพลงกันดีกว่าครับ ยิ่งเขียนผมยิ่งอยากจะอ้วกตัวเอง (แป่ววว...) แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 55 16:17:33 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 13:18:47

ความคิดเห็นที่ 29 Love Will Save the Day เป็นซิงเกิลอันดับ 5 ในอัลบั้ม Whitney เข้าให้แล้ว เพลงนี้เป็นเพลงเต้นรำจ๋าเลยครับ น่าจะเป็นเพลงที่มีจังหวะ up-tempo ที่เร็วมากที่สุดเพลงหนึ่งของวิทนี่ย์ที่เคยทำออกมา เอามาให้ชมสลับเพลงช้าบ้างเร็วบ้าง ถึงอย่างไรก็ยังเป็น"รักแบบวิทนี่ย์"ครับ อันดับในบิลบอร์ดไปได้แค่อันดับ 9 แต่ในอันดับเพลงเต้นรำของอเมริกา ก็ขึ้นถึงอันดับ 1 อยู่ดี! โชว์นี้แสดงในเทศกาลดนตรีที่ฉลองอิสรภาพให้กับเนลสัน เมลเดลลา ในปี 1988 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 55 16:20:52 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 55 13:34:37 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 13:32:05

ความคิดเห็นที่ 30 I Know Him So Well ซิงเกิลเพลงที่ 6 เพลงสุดท้ายของอัลบั้มนี้ เธอได้ร้องดูเอทกับ Cissy Houston แม่ของเธอเองครับ ใช่ครับคนที่ปรากฏใน MV เพลง Greatest Love Of All นั่นแหละ เพลงนี้เดิมทีเป็นเพลงใน Broadway Musical  เรื่อง "Chess" แล้ววิทนี่ย์เอามาคัฟเวอร์เป็นเพลงในแบบของเธอครับ เห็นแม่เธอร้องเพลงแล้วก้ไม่แปลกใจทำไมลูกสาวถึงมีพรสวรรค์และเก่งนัก! จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 13:42:33

ความคิดเห็นที่ 31 พรุ่งเริ่มอัลบั้มใหม่ งานชุดที่ 3 ของเธอ I'm Your Baby Tonight ซึ่งเป็นช่วงพีกสุดๆในอาชีพเธอครับ เพราะในช่วงเวลาต่อจากนี้ งานของเธอแพร่หลายทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในสหรัฐเท่านั้น นั่นเพราะหนังเรื่อง The Bodyguard ภายหลังจากงานในอัลบั้มที่ 3 นี่ด้วยครับ ที่ส่งเธอสุดๆ ไปให้ถึงดวงดาว ^^ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 55 13:49:14 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 13:47:53

ความคิดเห็นที่ 32 วันที่ประกาศผลรางวัลแกรมมี่ครั้งที่ 54 ในตอนสายๆ เวลาในประเทศไทย ผมได้มีโอกาสนั่งดูการประกาศผลรางวัลในช่วงท้ายๆทางทีวีช่อง 7 เลยได้เห็นอารมณ์และบรรยากาศของวันแห่งประวัติศาสตร์ ในชีวิตของนักร้องสาวหน้าสวยร่างอ้วน "อเดล" เธอประสพความสำเร็จสูงสุดในชีวิตในปีนี้จริงๆ ตอนนั้นผมนึกถึงเพลง One Moment in Time ครับ เพราะวิทนี่ย์เคยร้องมันไว้ในงานประกาศผลแกรมมี่ครั้งที่ประมาณ 30 ต้นๆ หรือไงนี่แหละ เลยนึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนเราจะเข้าสู่อัลบั้มที่ 3 I'm Your Baby Tonight ของวิทนี่ย์ ผมควรจะกล่าวถึงบทเพลงที่อาจถือได้ว่า โด่งดังและสร้างชื่อเสียงให้วิทนี่ย์ในวงกว้างระดับโลกได้จริงๆ จากเพลงๆ นี้ "One Moment in Time" เพลงนี้เป็นซิงเกิลในผลงานชุด The 1988 Summer Olympics Album: One Moment in Time ออกมาภายหลังงานชุด Whitney ได้ไม่นานนัก ซึ่งวิทนี่ย์มีโอกาสได้ไปร้องเพลงเปิดกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโซล เกาหลีใต้ด้วย เพลงนี้ภายหลังได้รางวัล Emmy Award โดยผู้แต่งซึ่งก็คือ  Albert Hammond และ John Bettis แฮมมอนด์ให้สัมภาษณ์ว่า แรงบันดาลใจในเพลงของเขาจริงๆ เขาจินตนาการว่า น่าจะเป็นเอลวิส เพรสลี่ที่จะได้ร้องมันในงานเปิดกีฬาโอลิมปิก! - -" แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 55 04:29:49 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 17:27:45

ความคิดเห็นที่ 33 อีกครั้งกับ"นาทีที่ยิ่งใหญ่"ของอเดลครับ 1. Record Of The Year: Rolling In The Deep - Adele 2. Album Of The Year: 21 - Adele 3. Song Of The Year: Rolling In The Deep - Adele 4. Best Pop Solo Performance: Someone Like You - Adele 5. Best Pop Vocal Album: 21 - Adele 6. Best Short Form Music Video: Rolling In The Deep - Adele จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 17:43:17

ความคิดเห็นที่ 34 จากวิทนี่ย์ มอบแด่ อเดล จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 17:46:44

ความคิดเห็นที่ 35 ภายหลังอัลบั้ม Whitney ซึ่งทำให้วิทนี่ย์ขึ้นชื่อว่าเป็นนักร้องหญิงคนแรกที่มีซิงเกิลฮิตติดอันดับหนึ่งชาร์ทบิลบอร์ดพร้อมกันถึง 4 เพลงในอัลบั้มเดียวนั่นคือเพลง I Wanna Dance With Somebody (Who Loves Me), Didn't We Almost Have It All, So Emotional, และ Where Do Broken Hearts Go และเป็นศิลปินหน้าใหม่คนแรกที่มียอดขายอัลบั้มติดอันดับหนึ่งของบิลบอร์ดอีกด้วย นี่ยังไม่นับที่เธอมีซิงเกิลติดอันดับหนึ่งสะสมนับจากอัลบั้มแรก รวมแล้วทั้งสิ้น 7 เพลง ทำลายสถิติของ The Beatles และ The Bee Gees ที่เคยทำได้แค่ 6 เพลงอีกด้วย สถิติสำหรับเธอแล้วมีไว้เพื่อทำลายจริงๆ! จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 12:51:21

ความคิดเห็นที่ 36 พอมาถึง I'm Your Baby Tonight อัลบั้มที่ 3 วิทนี่ย์ขึ้นชั้นเป็น ราชินีเพลงป็อป ของวงการแล้วครับ ทำอะไรก็ดูดีไปหมด เฉพาะในอัลบั้มที่ 3 นี้ ทีมงานก็ปล่อยมาอีก 6 ซิงเกิลเหมือนเดิม แม้อัลบั้มนี้มีเพลงขึ้นอันดับที่ 1 ของชาร์ทบิลบอร์ดได้เพียง 2 เพลง แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 55 13:07:20 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 55 13:01:28 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 12:59:38

ความคิดเห็นที่ 37  ซิงเกิลแรก เพลงเต้นรำตามสูตร แล้วก็ขึ้นอันดับหนึ่งได้ตามคาดเช่นกัน ชื่อเพลงบอกอยู่แล้วว่า พูดถึงเรื่องไร ยังวนเวียนอยู่กับรักในแบบวิทนี่ย์ อารมณ์สมราคาราชินีเพลงป็อปจริงๆ ดูๆ ไปบางคนอาจนึกถึงวง The Supreme ของไดอาน่า รอสส์ได้เหมือนกัน แต่มาดอนนาบอก ช้าก่อน ฉายานี้มีหลายคน! ฮิฮิ แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 55 13:16:37 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 13:13:15

ความคิดเห็นที่ 38 All the Man That I Need มีเพลงเร็วแล้วก็ต้องมีเพลงช้าแบบบัลลาด ตามสูตรอีกเหมือนกัน ขึ้นอันดับหนึ่งตามคาดเหมือนเดิม แต่เหมือนหลายๆ คน เรามักชอบเธอร้องเพลงช้าๆ มากกว่า เพราะเธอได้ใช้ศักยภาพด้านเสียงของเธออย่างเต็มที่ จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 13:21:12

ความคิดเห็นที่ 39 ซิงเกิลที่ 3 ถึง 6 แม้ไม่ได้ขึ้นอันดับหนึ่ง แต่ผมหามาให้ฟัง เพราะถือว่า เป็นผลงานในช่วงขาขึ้นของเธอ ผมชอบผลงานของเธอใน 3 อัลบั้มแรกจนถึงงานซาวด์แทร็คเดอะบอดี้การ์ด เพลง Miracle พูดถึงหญิงสาวที่เธอจะไปเอาเด็กออก แล้วภายหลังเธอรู้สึกผิด ทีมงานช่างกล้า นำเพลงแบบนี้ตัดเป็นซิงเกิลแฮะ ไปได้แค่อันดับ 9 บิลบอร์ดมั้งเพลงนี้ แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 55 19:15:44 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 55 13:42:21 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 55 13:38:48 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 13:35:25

ความคิดเห็นที่ 40 เพลง My Name Is Not Susan มีหลายเวอร์ชั่นสารพัดรีมิกซ์ แต่เวอร์ชั่นนี้มี MV ดูเวอร์ชั่นเพลงหลักนี้ดีกว่า มาดูกันว่า ทำไมเธอว่า ชั้นไม่ได้ชื่อซูซาน งานชุดนี้นิตยสาร โรลลิ่ง สโตน ชมว่าดนตรีเธอมีบีทหลากหลายแนวดี ซึ่งก็จริงครับ อย่างเพลงนี้ก็แตกต่างจากงานก่อนๆ ของเธอ ที่เป็นอาร์แอนด์บี สูตรสำเร็จเกินไป แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 55 00:06:21 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 13:45:56

ความคิดเห็นที่ 41 I Belong To You ผมหา MV ไม่ได้ แต่เพลงนี้ผมว่าไพเราะดีครับ จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 13:54:52

ความคิดเห็นที่ 42 We Didn't Know ตัวเพลงงั้นๆ สมแล้วที่เป็นซิงเกิลสุดท้าย ทีมงานใช้สูตรเดิมกันเลยทีเดียว ทำให้เหมาะจะเป็นเพลงร้องคู่ซะ คราวก่อนดูเอทกับคุณแม่ แต่ทีเด็ดคราวนี้อยู่ที่ร้องคู่กับ Stevie Wonder! จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 14:03:08

ความคิดเห็นที่ 43 หลังจากอัลบั้มที่ 3 ในปี 1990 วิทนี่ย์พักงานสตูดิโอของเธอยาวเลยครับ ไปทำอีกทีปี 1998 โน่นอ่ะ ช่วงทศวรรษที่ 90 เธอไปแสดงหนัง และทำเพลงซาวด์แทร็ค 3 เรื่อง พรุ่งนี้เรามาพูดถึงช่วงสูงสุดในอาชีพเธอกันกับ -The Bodyguard (1992) ***** -Waiting to Exhale (1995) -The Preacher's Wife (1996) จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 14:12:43

ความคิดเห็นที่ 44 ในปี 1992 เกิดเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตของวิทนี่ย์ พร้อมๆ ไปกับการเริ่มต้นเรื่องที่แย่ที่สุดอีกเรื่องนึงของวิทนี่ย์ไปพร้อมๆ กัน เอาเรื่องที่แย่ที่สุดก่อน วิทนี่ย์ตัดสินใจเข้าพิธีแต่งงานกับบ็อบบี้ บราวน์ในเดือนกรกฏาคม ภายหลังจากที่เธอและเขาพบกันครั้งแรกในงานประกาศผลรางวัล Soul Train Music Award เมื่อ 3 ปีก่อน มีบทความให้ข้อมูลและวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ที่มีเบื้องหลังของคนทั้งคู่ เปิดเผยว่า วิทนี่ย์ต้องการจะปิดบังเรื่องเลสเบี้ยนกับผู้ช่วยสาวของเธอ แล้วใช้การแต่งงานกับบ็อบบี้ รวมถึงมีบุตรสาวกับเขาด้วย 1 คน เพื่อเป็นฉากบังหน้าต่อสังคมอเมริกัน ที่ต้องการเห็นชีวิตครอบครัวนักร้องสาวผู้โด่งดัง เดินไปตามครรลองสังคมอเมริกันทั่วไป โดยวิทนี่ย์พยายามให้สัมภาษณ์สื่อฯถึงความสุขสมหวังและความสัมพันธ์ที่ดีของเธอและบ็อบบี้ แต่ขณะที่ตัวบ็อบบี้เองกลับให้สัมภาษณ์ในทางตรงกันข้ามว่า การแตงงานของเขาและเธอคือความผิดพลาดในชีวิตของคนทั้งคู่ เพราะเขาทั้งสองเข้ากันไม่ได้ และมีกระแสข่าวแพลมๆ ออกมาจากบ็อบบี้เองด้วยว่า เขาเปิดเผยความสัมพันธ์ไม่ธรมดาของภรรยาตนเองกับผู้ช่วยสาวของเธอ (อันนี้ไม่รู้จริง ไม่จริงประการใดแน่?) แต่เรื่องที่แย่กว่านั้นคือ บ็อบบี้นำเอากัญชาเข้ามาในชีวิตก่อนที่ทั้งคู่จะหย่าขาดจากกันในภายหลัง รวมถึงวิทนี่ย์ก็ใช่ย่อย นำเอาโคเคนมาเสริมในชีวิตช่วงที่ยังอยู่กับบ็อบบี้เข้าไปด้วยอีก เอวัง จึงปรากฏอย่างที่เราทราบในปัจจุบัน - -" แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 55 12:24:49 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 55 12:22:43

ความคิดเห็นที่ 45 เอาเรื่องที่ดีที่สุดในปี 1992 ของเธอบ้าง (ชีวิตส่วนตัวเธอจะเป็นอย่างไร ก็เรื่องของเธอครับ ขอให้มันเป็นอุทาหรณ์ให้ศิลปินรุ่นหลังได้ก็เท่านั้น เรามองด้านดีถึงดีมากในตัววิทนี่ย์ดีกว่า) เธอร่วมแสดงในหนังเรื่องเดอะ บอดี้ การ์ด กับพระเอกหนุ่มเควิน คอสเนอร์ แม้ว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการแสดงของเธอในภาพยนตร์จะไม่ค่อยน่าพอใจนัก แต่สิ่งที่ดีที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้กลับตกอยู่กับ The Bodyguard: Original Soundtrack Album งานซาวแทร็คออกมาในเดือนพฤศจิกายนของปี 1992 พร้อมๆ กับสร้างสถานภาพนักร้องสาวผู้โด่งดังและรุ่มรวยด้วยน้ำเสียงอันทรงพลัง และงดงามที่สุดในโลกดนตรีในช่วงนั้น บทเพลง I Will Always Love You ที่ Dolly Parton เคยแต่งและร้องไว้อย่างเงียบเชียบ กลับมาโด่งดังแบบถล่มทลายทุกชาร์ทบนโลกใบนี้ (พูดซะเว่อร์เลยผม เอาตามความรู้สึก ฮิฮิ) รวมถึงเสียงวิจารณ์ที่ชื่นชมว่า เพลงนี้กลายเป็น signature song ของวิทนี่ย์ ฮุสตันไปในบัดดล (ปล. ลองฟังเวอร์ชั่นในหนังก่อนครับ) แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 55 17:38:20 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 55 13:24:27 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 55 12:38:42

ความคิดเห็นที่ 46 I Will Always Love You ซิงเกิลขึ้นอันดับหนึ่งของบิลบอร์ดชาร์ท แป๊บเดียวเองครับ แค่ 14 สัปดาห์เอง! (แป่วว..) ไม่รวมใน R & B ชาร์ทอีก 11 สัปดาห์ ตัวซาวด์แทร็คอัลบั้ม เดอะบอดี้การ์ด ขึ้นถึงอันดับหนึ่งของอัลบั้มขายดีบนบิลบอร์ดชาร์ทด้วย แถมค้างอยู่ในชาร์ทอีก 20 สัปดาห์ติดต่อกัน ทุบทำลายทุกสถิติโลกที่เคยทำมาก่อนหน้านั้น (ปล. ทีนี้ลองฟังเวอร์ชั่น MV เต็มๆ เพลงบ้างครับ) แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 55 14:04:13 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 55 13:15:06 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 55 12:50:04

ความคิดเห็นที่ 47 เนื่องจากอัลบั้มซาวด์แทร็ค The Bodyguard: Original Soundtrack Album นี้ของเธอมีเพลงดีๆ ทุกเพลงที่เธอร้องไว้ครึ่งอัลบั้ม (อีกครึ่งอัลบั้มเป็นศิลปินคนอื่นๆ) สมราคาของมันจริงๆ ผมพยายามจะหาลิงค์และข้อมูลเอามาพูดถึงทุกเพลงที่เธอร้องนะครับ แต่ขอเป็นพรุ่งนี้แล้วกัน ขอตัวไปกินข้าวก่อน - -" แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 55 20:40:41 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 55 12:53:45

ความคิดเห็นที่ 48 ข้อมูลแน่นมากๆ ขอบคุณที่มาแชร์เรื่องดีๆครับ จากคุณ : Shotaro เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 55 22:53:04

ความคิดเห็นที่ 49 หลงรักเธอเพราะ The bodyguard นี่แหละ.. ... ขอบคุณสำหรับ กระทู้นี้ครับ จากคุณ : Dante's cove เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 55 23:06:04

ความคิดเห็นที่ 50 I'm Every Woman เป็นซิงเกิลที่ 2 ในอัลบั้มเดอะบอดี้การ์ดซาวดแทร็คที่ถูกตัดออกมา แต่งโดย Nickolas Ashford และ Valerie Simpson เพลงนี้เป็นเพลงของ Chaka Khan ร้องไว้ในอัลบั้มแรกของเธอ Chaka ในปี 1978 เรียกว่าเป็นเพลงดังในอดีตที่ทีมงานเอามาคัฟเวอรืแล้วให้วิทนี่ย์ร้องใหม่ แม้อันดับในบิลบอร์ดชาร์ทจะไปแค่อันดับ 4 แต่ชาร์ทเพลงเต้นรำก็ยังขึ้นอันดับ 1 อยู่ดี ใน MV เพลงนี้สังเกตว่า จะถ่ายให้เห็นเฉพาะใบหน้าและร่างท่อนบนของเธอ ทั้งนี้เพราะ ในช่วงนั้นเธอกำลังตั้งครรภ์ลูกสาวของเธออยู่พอดีครับ เราจึงไม่ได้เห็นเธอเต้นเองในเพลงนี้ จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 55 11:21:33

ความคิดเห็นที่ 51 ดูเธอดูเอทเพลงนี้กับเจ้าของต้นฉบับดั้งเดิม ชากา คาน Whitney Houston & Chaka Khan - I'm Every Woman - Live แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 55 11:28:18 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 55 11:26:54

ความคิดเห็นที่ 52 I Have Nothing เป็นซิงเกิลที่ 3 ที่ถูดตัดตามออกมา แต่งโดยคนดังอย่าง David Foster และ Linda Thompson หลายคนชอบเพลงนี้ เป็นเพลงช้าที่ไพเราะมากเพลงนึง กับคอนเส็ปคำร้องที่ว่า "หากฉันไม่มีคุณอยู่เคียงข้าง ฉันก็เหมือนไม่มีอะไรเลย" อะไรประมาณนั้น ซิงเกิลขึ้นไปได้ถึงอันดับ 4 เท่านั้น ช่วงนั้นเพลงฮิตๆ และบัลลาดไพเราะคงจะเยอะ น่าจะขึ้นอันดับหนึ่งได้นะ ^^" แต่ก็ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ทเพลง Adult Contemp. ได้ ต้นปีถัดไป เพลงนี้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงเพลงในงานออสก้าร์ประเภท  Academy Award for Best Original Song ปี 1993 ด้วยแต่ไม่ได้รางวัลครับ จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 55 11:41:29

ความคิดเห็นที่ 53 ดูเวอร์ชั่นแสดงสดของ I have nothing ที่ South Africa ในปี 1994 มั่ง เพลงนี้ผมชอบเลยจัดให้ 2 เวอร์ชั่นเช่นกัน จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 55 11:46:24

ความคิดเห็นที่ 54 Run to You ซิงเกิลที่ 4 ตามมาติดๆ อย่างที่บอกงานชุดนี้อัดแน่นไปด้วย บทเพลงที่ไพเราะสมราคาอัลบั้มคลาสสิกงานหนึ่งของวงการเพลงป็อป แต่งโดย Jud Friedman และ Allan Rich อาจเป็นเพราะท่วงทำนองเพลงไม่ได้ลื่นไหลตามสูตรเพลงฮิต เลยติดชาร์ทบิลบอร์ดอันดับต่ำหน่อย 31 แต่ความจริงเพลงนี้ฟังดีๆ ผมว่าไพเราะมากเพลงหนึ่งนะครับ จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 55 11:55:19

ความคิดเห็นที่ 55 Queen of the Night ซิงเกิลที่ 5 เข้าไปแล้ว กลับมาแดนซ์ในเพลงเต้นรำอีกครั้ง ขึ้นไปได้แค่อันดับ 36 ในชาร์ทบิลบอร์ด แต่ก็ขึ้นถึงอันดับ 1 ในชาร์ทเพลงเต้นรำ ตอนผมดุเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ ก็ 20 ปีมาแล้ว ผมรู้สึกมันเหมือนฉากแปลกแยกจากฉากอื่นๆ ยังไงชอบกล ด้วยความที่ภาพชีวิตของวิทนี่ย์ในฐานะนางเอกของเรื่องเธอจะดูหวานๆ โรแมนติก แต่พอเข้าฉากนี้มันออกแนวสาวประเภทสองครับ ชอบกลๆ - -" และตามสูตรบีทในจังหวะเต้นรำ เพลงนี้มีหลายเวอร์ชั่นหลายรีมิกซ์ เอาเวอร์ชั่นในหนังดีกว่า จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 55 12:06:35

ความคิดเห็นที่ 56 Queen of the Night เวอร์ชั่นแสดงสด ตอนเริ่มเพลงจะเห็นเธอกับสามีจูบกันอย่างดูดดื่ม ไม่น่าเชื่อว่าเบื้องหลังชีวิตคู่ของคนทั้งสอง จะมีเรื่องราวให้พูดกันมากมาย ดูแล้วน่าจะเป็นคู่ชีวิตที่มีความสุขมาก แต่ก็นั่นแหละ มันอาจเป็นความตั้งใจของวิทนี่ย์ที่จะฉายภาพลักษณ์ต่อสาธารณชนให้เห็นเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 55 13:43:01 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 55 12:16:37

ความคิดเห็นที่ 57 ซิงเกิลจริงๆในอัลบั้มนี้มีถึง 7 เพลงครับ อีกสองเพลงร้องและบรรเลงโดยศิลปินรายอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิทนี่ย์ แต่ถูกรวบรวมมาประกอบฉากในภาพยนตร์ เดอะบอดี้การ์ด เช่นเดียวกับเพลงอื่นๆ ในอัลบั้มซาวแทร็คของภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมจึงขอข้ามไป มาต่อกันในภาพยนตร์อีก 2 เรื่องของเธอดีกว่าครับ ภายหลังภาพยนตร์ที่สร้างชื่อให้เธออย่างบอดี้การ์ด วิทนี่ย์ดูเธอจะติดใจกับการแสดงและทำเพลงประกอบหนังครับ แม้ว่าอีกสองเรื่องต่อมาของเธอ จะไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างแบบเรื่องแรก แต่วาระโอกาสที่เธอจากโลกนี้ไปแล้ว ผมก็อยากจะนำมาบันทึกไว้ในกระทู้นี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงเธอครับ เมื่อคืน(ตามเวลาในประเทศไทย)ก็เพิ่งมีงานศพของเธอไป เฮ้อ... ไม่เอาอ่ะ เลิกเศร้า เดือนวาเลนไทน์เราควรจดจำเพลงดีๆ ที่เธอเคยมอบความสุขให้เราครับ แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 55 10:49:25 แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 55 10:30:45 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 55 12:23:54

ความคิดเห็นที่ 58 วันนี้ขออนุญาตไม่มีมุขแป่วว... และใส่เสื้อดำเพื่อไว้อาลัยและให้เกียรติเธอ 1 วันครับ Waiting to Exhale: Original Soundtrack Album อาจจะไม่โด่งดังเท่า The Bodyguard: Original Soundtrack Album แต่หากพูดถึงความน่าฟังของบทเพลง ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ตรงกันข้ามหากเป็นแฟนๆ ศิลปินแนวดิว่าด้วยแล้วต้องบอกว่า ชื่อชั้นของศิลปินที่ปรากฏอยู่ในซาวด์แทร็คชุดนี้ เรียกเสียงฮือฮาจากคอแฟนเพลงแนวนี้ได้แน่ๆ เพราะนอกจาก Whitney Houston แล้ว นักร้องอย่าง Toni Braxton, Aretha Franklin, Chaka Khan, Patti LaBelle และ Mary J. Blige เป็นต้น ล้วนมีชื่อชั้นเจ้าของเสียงขั้นเทพี(เทพ)ของวงการกันทั้งนั้น แต่กระทู้ตั้งขึ้นมาเพื่อการรำลึกถึงวิทนี่ย์ ดังนั้นผมจะนำเฉพาะบทเพลงที่วิทนี่ย์ร้องไว้มากล่าวถึงเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 55 13:09:57 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 55 10:44:18

ความคิดเห็นที่ 59 Exhale (Shoop Shoop) เป็นเพลงเปิดอัลบั้มที่ได้วิทนี่ย์มาร้องไว้ เนื่องจากอัลบั้มนี้จริงๆได้ Babyface ศิลปินในยุค 80-90 มารับทำดนตรีประกอบทั้งหมด อารมณ์เพลงจึงออกแนวเพลงร้องประกอบจังหวะ ไม่ค่อยมีดนตรีอลังก์ๆ เท่าไหร่ เบบี้เฟสให้สัมภาษณ์ถึงเพลงนี้ว่า "ในตอนแรกที่ผมเริ่มงานกับวิทนี่ย์ เธอบอกผมว่า ฉันไม่คุ้นกับจังหวะมันเลย (ฉันไม่รู้จะร้องมันอย่างไร) ก็จริงของเธอครับ เพราะเพลงนี้มันเริ่มจากผมทำจังหวะดนตรีขึ้นก่อนเลย แต่ผมก็รู้ว่า มันจะเป็นเพลงไม่มีเนื้อร้องไม่ได้ ผมจึงพยายามใส่เนื้อร้องให้มัน ก็เริ่มจากจังหวะพื้นฐานของมันก่อนนั่นแหละครับ Shoop Shoop.. แล้วต่อจากนั้นก็เป็นอย่างที่คุณได้ยิน" MV เพลงนี้กำกับโดยฝีมือนักแสดงผิวหมึก Forest Whittaker เบบี้เฟสมอบหมายให้วิทเทเกอร์ลองเอาไปทำ เขาถามวิทเทเกอร์ว่า คุณคิดว่าจะทำได้ไหม วิทเทเกอร์ตอบ อ๋อได้สิ  เพลงนี้ได้รับรางวัล Best R&B/Soul Single, Female award จากงานประกาศผล Soul Train Music Awards ครั้งที่ 10 ครับ แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 55 11:10:28 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 55 11:04:38

ความคิดเห็นที่ 60 Why Does It Hurt So Bad เป็นบัลลาดเพลงที่ 2 ในอัลบั้มที่วิทนี่ย์ร้องไว้ สังเกตว่า ด้วยบารมีและความโด่งดังของเธอในช่วงนั้น ทำให้เพลงจากนักร้องอย่าง Toni Braxton และ Mary J. Blige หรือแม้แต่ Aretha Franklin ก็ต้องจัดไปหลังๆ ต่อจากเพลงที่เธอร้อง มาฟังเธอร้องเพลงนี้ในโชว์ของเธอ สุดยอดครับ จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 55 11:18:16

ความคิดเห็นที่ 61 อย่างที่บอกไว้ในคห. ก่อนๆ ว่า บทเพลงจากดิว่าในตำนานและดิว่ารุ่นหลังๆ ทั้งหลายในอัลบั้มชุดนี้ คู่ควรอย่างยิ่งสำหรับคอเพลงแนวนี้ที่จะหามาฟัง ผมจะไม่เอาบทเพลงดีๆ อย่าง "Let It Flow" ที่ร้องโดย Toni Braxton, "It Hurts Like Hell" ร้องโดย Aretha Franklin, "Not Gon' Cry" ร้องโดย Mary J. Blige, "My Funny Valentine" โดย Chaka Khan และ "My Love, Sweet Love" ร้องโดย Patti LaBelle มาโพสต์ เนื่องจากผิดคอนเส็ปกระทู้ แต่อยากให้แฟนเพลงร้องหาฟังกันครับ Count on Me ร้องโดยวิทนี่ย์ดูเอทกับ CeCe Winans เป็นเพลงสุดท้ายปิดอัลบั้มนี้ (วิทนี่ย์ร้องไว้ทั้งหมด 3 เพลงครับ) จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 55 11:28:53

ความคิดเห็นที่ 62 The Preacher's Wife: Original Soundtrack Album เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องที่ 3 นี้ของวิทนี่ย์ สร้างประวัติศาสตร์ไว้ว่า เป็นอัลบั้ม Gospel ที่ขายได้มากที่สุดเท่าที่เพลงแนวนี้เคยทำกันมา แน่นอนว่า ความโด่งดังของวิทนี่ย์และหนังเรื่องนี้ช่วยส่งตัวอัลบั้มให้ขายดีเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าเมื่อเทียบกับอัลบั้มอื่นๆ ที่วิทนี่ย์มีส่วนทำด้วยไม่ได้เลย แต่นี่มันแนวเพลงร้องในโบสถ์คริสต์นะจ๊ะ แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 55 19:48:55 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 55 11:41:13

ความคิดเห็นที่ 63 I Believe In You And Me เพลงบัลลาดที่ถูกตัดเป็นซิงเกิล ขึ้นได้ถึงอันดับ 4 ในบิลบอร์ดชาร์ท จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 55 22:01:43

ความคิดเห็นที่ 64 Step by Step เพลงดั้งเดิมร้องไว้โดย Annie Lennox ขึ้นได้ถึงอันดับ 3 ในชาร์ทเพลงเต้นรำ จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 55 22:09:21

ความคิดเห็นที่ 65 Joy (with the Georgia Mass Choir) เพลงกอสเปลในหนัง แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 55 22:44:34 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 55 22:15:16

ความคิดเห็นที่ 66 Hold On, Help Is on the Way (with the Georgia Mass Choir) จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 55 22:18:12

ความคิดเห็นที่ 67 My Heart Is Calling ซิงเกิลเพลงที่ 3 จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 55 22:30:06

ความคิดเห็นที่ 68 พรุ่งนี้เริ่ม อัลบั้มสตูดิโอในปี 1998 ของวิทนี่ย์ ครับ จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 55 22:50:09

ความคิดเห็นที่ 69 อเดล ทำลายสถิติ วิทนีย์ ฮุสตัน นีลสัน ซาวด์สแกนระบุว่า อัลบั้ม 21 ของนักร้องสาวอังกฤษ อเดล ที่มีเพลงฮิตอย่าง Rolling in the Deep และ Someone Like You และมีอายุครบหนึ่งปี ได้ทำสถิติติดอันดับหนึ่งบนชาร์ตเพลงนาน 21 เอาชนะอัลบั้ม The Bodyguard ของ วิทนีย์ ฮุสตัน ที่เคยทำไว้ 20 สัปดาห์ นอกจากนี้ ยังขายไปแล้ว 730,000 ก็อปปี้ในอเมริกา และทางโคลัมเบีย เรคคอร์ด ได้ระบุว่าอัลบั้มดังกล่าวทำยอดขายไปได้แล้ว 18 ล้านก็อปปี้ทั่วโลกตั้งแต่วางแผงในเดือนกุมภาพันธ์ 2011 หลังจากการเสียชีวิตของ ฮุสตัน ตอนนี้ อัลบั้มทั้งเจ็ดของเธอได้กลับขึ้นสู่ชาร์ตเพลงอีกครั้ง โดยอัลบั้ม Whitney: The Greatest Hits ขึ้นสู่อันดับสอง ทำยอดขายไปได้ 175,000 ก็อปปี้ ส่วนอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อของเธอเอง ขายไปได้ 17,000 ก็อปปี้ ติดอยู่ในอันดับที่ 37 อย่างไรก็ตาม เพลงฮิตของ ฮุสตัน อย่าง I Will Always Love You ได้เพียงอันดับสองในชาร์ตเพลงบิลบอร์ดดิจิตอล ส่วน Rolling in the Deep และ Set Fire to the Rain ของอเดล อยู่ที่อันดับ 3 และ 4 ตามลำดับ http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/inter-entertain/20120224/438181/อเดล-ทำลายสถิติ-วิทนีย์-ฮุสตัน.html จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 55 15:29:11

ความคิดเห็นที่ 70 Adele - Someone Like You จากคุณ : Younger Pat เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 55 15:32:32