|
"อาโปเจียตูร่า" คือการประดับประดาทางดนตรี มาจากคำอิตาเลียนว่า appoggiare แปลว่า "ต้องการโน้ตอื่น" ซึ่งเป็นโน้ตเสียงใกล้ตัว ที่มาเพิ่มให้เกิดความไพเราะขึ้น ซึ่งก็คือตัวโน้ตซึ่งมาตั้งค้างอยู่เหนือหรือใต้ตัวโน้ต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคอร์ดเฉพาะ 1 ขั้น เพื่อให้คอร์ดนั้นกระด้างขึ้น ซึ่งดร.มาร์ติน กูห์น นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยบริทิช โคลัมเบีย ซึ่งศึกษาเรื่องดังกล่าวระบุว่า มันจะช่วยให้เกิดความเครียดทางจิตใจแก่ผู้ฟัง และเมื่อโน้ตตัวดังกล่าวกลับมาสู่ในระดับปกติ ความตึงเครียดก็จะคลี่คลายลง และทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีขึ้น "ความชิล" ของเพลงส่วนใหญ่ มักเกิดจากการ "บิด" โน้ตก่อนเข้าโน้ตจริง และเมื่อ "อาโปเจียตูร่า" เกิดขึ้นสลับกันไปในท่อนอื่นๆของเพลง มันก็จะก่อให้เกิดความตึงเครียดขึ้นเป็นวงจรอย่างต่อเนื่องแก่ผู้ฟัง และแม้แต่สร้างปฏิกิริยาตอบโต้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งผู้ฟังน้ำตาไหล ดร.มาร์ติน กูห์นยังกล่าวว่า เพลง "Someone Like You" ซึ่งอะเดล แต่งร่วมกับแดน วิลสัน เต็มไปด้วยเทคนิคทางดนตรีที่คล้ายคลึงกับ "อาโปเจียตูร่า" จำนวนมาก และในระหว่างท่อนคอรัส อะเดลได้เปลี่ยนระดับความสูงต่ำของเสียงร้องลงเล็กน้อย ก่อนที่จะขึ้นท่อนเพลงใหม่ ซึ่งถือเป็นการสร้าง "ความโลดโผน" ทางดนตรีในระดับย่อมๆ แก่ผู้ฟัง เพื่อเป็นการศึกษาเกี่ยวกับสูตรการแต่งเพลงเพื่อ "เรียกน้ำตา" ดร.กูห์น ยังยกเอาท่อนหนึ่งของเพลง "Trio for Piano" ของ "เฟลิกซ์ เมนเดลโซห์น" นักเปียโน นักคีตกวี และผู้อำนวยเพลงชาวเยอรมัน และเพลง "Adagio for Strings" ของ "แซมมวล บาร์เบอร์" นักแต่งเพลงชาวอเมริกัน ที่สร้างอารมณ์ความรู้สึกร่วมให้แก่ผู้ฟัง และทำการวัดผลปฏิกิริยาด้านจิตวิทยาในผู้ฟัง ผลการศึกษาพบว่า ทั้งสองเพลงมีสิ่งที่เหมือนกันคือการสร้างอารมณ์ "ขนลุก" ให้แก่ผู้ฟัง และมีโครงสร้างที่เหมือนกันถึง 4 จุด เพลงเริ่มจากเสียงดนตรีที่อ่อนหวาน ก่อนที่จะหนักในทันทีทันใด ทั้งสองเพลงยังมีช่วงของเพลงที่เกิดเสียงแบบใหม่ขึ้นอย่างทันทีในระหว่างเพลงอีกด้วย ซึ่งคล้ายกับ "อาโปเจียตูร่า" อย่างยิ่ง เช่นเดียวกับเพลง "Someone Like You" ซึ่งเริ่มต้นด้วยท่อนที่นุ่มนวลอ่อนหวาน ขณะที่อะเดลยังคงรักษาระดับโน้ตให้อยู่ภายในช่วงความถี่ของเสียงให้อยู่ในระดับแคบๆ ในเนื้อเพลงท่อนหนึ่ง ที่แสดงความโหยหา ทว่าแฝงไว้ด้วยความพยายามข่มอารมณ์ ที่ร้องว่า "I heard that you′re settled down, that you found a girl and you′re married now" ทำให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์อ่อนไหวและตกอยู่ในภาวะเศร้าโศก ขณะที่ในท่อนคอรัส เสียงของอะเดลกลับเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งออคเทฟ และเปล่งเสียงโน้ตโดยใช้ระดับเสียงที่ดังขึ้น ทว่าเกิดความกลมกลืน ยิ่งเป็นตัวขับให้เนื้อเพลงมีความเร้าอารมณ์ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในท่อน "Sometimes it lasts in love, but sometimes it hurts instead"
จากคุณ |
:
beninnq
|
เขียนเมื่อ |
:
16 ก.พ. 55 11:20:13
|
|
|
|
|