ความคิดเห็นที่ 1 ปาดรอชมครับ จากคุณ : กะหล่ำปลีลวกกินกับขนมจีนน้ำยา เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 07:35:38

ความคิดเห็นที่ 2 Blood Brothers: at Phoenix Theatre เรื่องนี้เป็นหนึ่งใน musicals ที่เล่นมายาวนานที่สุดเรื่องหนึ่งเลยที่เดียว (ตั้งแต่ปี 1983) เป็นเรื่องราวของฝาแฝด มิกกี้ กับ เอ็ดดี้ ที่ถูกแยกกันตั้งแต่เกิด  ถูกเลี้ยงดูด้วยสถานะภาพที่แตกต่างกัน เอ็ดดี้ถูกยกให้กับเจ้านายของคุณแม่ในเรื่อง ซึ่งต้องการมีลูกแต่ไม่สามารถตั้งท้องเองได้ มีฐานะร่ำรวย  ในขณะที่มิกกี้อยู่กับแม่  ทั้งสองเติบโตมาโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีพี่น้องฝาแฟด   และตกหลุ่มรักกับผู้หญิงคนเดียวกัน   เรื่องนี้เป็น musical เรื่องแรกที่ได้ดู  และไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะไม่ค่อยรู้จักเรื่องนี้เท่าไหร่  โรงที่เล่นก็ไม่ใหญ่โตนัก  โปรดักชั่นก็ไม่ได้อลังการณ์มากมาย นักแสดงเข็นโต๊ะ ลากเก้าอี้ประกอบเข้าฉากกันเองอย่างเป็นธรรมชาติ   สิ่งที่ประทับใจคือ นักแสดงที่เล่นเป็นฝาแฝด ต้องแสดงตั้งแต่เป็นเด็ก จนโตเป็นผู้ใหญ่  ซึ่งแสดงออกถึงอากับกริยาของเด็กได้อย่างไม่ขัดเขิน  มิกกี้ก็จะดื้อ ๆ ซน ๆ หน่อย ส่วนเอ็ดดี้ก็จะดูเป็นคุณหนู ที่อยู่ในกฎระเบียบ เหตุการณ์ในเรื่องเกิดขึ้นที่ Liverpool ดังนั้นตัวละครก็จะพูดด้วยสำเนียงที่เรียกว่า Scouse accent ถ้านึกไม่ออกก็ลองหา clip ที่ Steven Gerrard สัมภาษณ์มาดูกันนะครับ สำเนียงอย่างนั้นเลย จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 08:26:54

ความคิดเห็นที่ 3 นักแสดงร้อง และเล่นได้ดีมาก ๆ บทจะตลกก็ขำจนน้ำตาไหล  บทจะเศร้าก็เศร้าน้ำตาไหลอีกเหมือนกัน  บทคุณแม่ในเรื่องเคยเล่นโดย Melanie Chisholm (Spice Girls: Mel C) มาแล้ว ใน clip นี้  มิกกี้กับเอดดี้เจอกัน ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นพี่น้อง แต่ถูกชะตากันมากจนตัดสินใจเป็นเพื่อน/พี่น้อง ร่วมสาบาน (blood brothers) กัน จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 08:48:11

ความคิดเห็นที่ 4 สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือช่วง 5 นาทีสุดท้ายของละคร ที่พี่น้องฝาแฝดเสียชีวิต (อันนี้ไม่ถือว่าสปอยล์นะครับ เพราะในละครก็จะบอกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ว่าฝาแฝดตาย)  เป็นอะไรที่สุดยอดมาก จขกท และฝรั่งข้าง ๆ ร้องให้สะอื้นกันอย่างไม่อายกันเลย T-T   clip ข้างล่าง สัมภาษณ์ producer Willy Russell  และมีฉากจบด้วยนิดหน่อย จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 09:10:47

ความคิดเห็นที่ 5 มารอชมค่ะ จากคุณ : จางซังซิล เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 11:12:55

ความคิดเห็นที่ 6 ติดตามค่ะ เพราะอีกหนึ่งความฝันในชีวิตคือการไปชมละครเวทีที่ West End สักครั้งค่ะ จากคุณ : musicisland เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 11:40:56

ความคิดเห็นที่ 7 อยากดูทุกเรื่องที่ลิสต์มาเลยครับ จากคุณ : กะหล่ำปลีลวกกินกับขนมจีนน้ำยา เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 12:34:45

ความคิดเห็นที่ 9 Chicago the Musical: Garrick Theatre หลายท่านคงจะเคยดูเวอร์ชั่นภาพยนต์ ที่เล่นไว้โดย Catherine Zeta-Jones, Renee Zellweger กับ  Richard Gere นะครับ  เป็นเรื่องราวล้อเลียน เสียดสีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงปี 1920s ของบรรดานักโทษหญิงหน้าหนึ่ง ที่พยายามแย่งชิงความสนใจของสื่อมาที่ตัวเอง ด้วยหวังว่าสื่อจะมีอิทธิพลสามารถกดดันกระบวนการตัดสินคดีความในชั้นศาลได้ ตามที่ชื่อเรื่องบอกไว้  เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ Chicago เมื่อ รอกซี่ ฮาร์ต (บทที่แสดงไว้โดย เรเน่ ในเวอร์ชั่นหนัง) ยิงชู้รักของเธอจนเสียชีวิต โดยอ้างว่าเป็นขโมย และลวนลามเธอ รอกซี่เลยถูกส่งไปขังที่ Cook County Jail เป็นที่ที่ เวลม่า เคลลี่  นักโทษหญิงชื่อดังอีกคนหนึ่งถูกขังไว้ก่อนหน้า (แสดงโดย เคทธอรีน ในหนัง) ทั้งสองได้รับการช่วยเหลือจากทนายหน้าเลือด บิลลี่ ฟลินท์ (ริชาร๋ด เกียร์) ด้วยการพยายามสร้างข่าว ดึงสื่อมาให้ความสนใจเพื่อกดดันกระบวนการศาล  นักโทษทั้งสองเลยพยายามแย่งกันชิงความเด่นดังในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ Chicago มีต้นกำเนิดที่ Broadway แล้วก็มาแสดงใน West End จุดเด่นคงอยุ่ที่วีธีเล่าเรื่องแบบ vaudeville (อันนี้ไม่รู้ภาษาไทยเรียกว่าอะไร อากู๋แปลให้ว่าการแสดงสลับฉาก เพราะตัวเอกทั้งสองในเรื่องเป็นนักแสดง vaudeville มาก่อน) การออกแบบท่าเต้น   และการแต่งตัวของนักแสดงที่คุมโทนไว้เหมือนอยู่ในโชว์อยู่ตลอดเวลา (sexy มากด้วย)  วงออเคสตร้าที่เล่นก็ไม่ได้อยู่ใต้เวที หรือหลบอยู่ข้าง ๆ เหมือนเรื่องอื่น  แต่อยู่บนเวที และเป็นส่วนหนึ่งของโชว์ไปด้วย  มีบางหลายฉากที่นักแสดงพูดคุยกับคอนดักเตอร์ และนักดนตรี ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนดูการแสดงที่อยู่ใน musical อีกที (งงไหมครับ 555) ก่อนไปดูก็ตั้งความหวังไว้ว่า  คงจะ sexyมาก ดราม่ามาก ก็สมอย่างที่คาดหวัง  แต่ที่เกินความคาดหวังคือตลกมากด้วยเหมือนกัน  มีมุกตลกแทรกอยู่ในการแสดงอยู่ตลอด  ทำให้โทนของเรื่องออกไปทาง comedy มากกว่า drama ซึ่งก็ลงตัวดี จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 20:19:53

ความคิดเห็นที่ 10 อันนี้เพลง All That Jazz แต่เป็นเวอร์ชั่นที่แสดงใน strictly come dancing นะครับ จะเห็นว่ามีเหล่า professional dancers ออกมาเต้น jive ในช่วงท้าย ๆ ด้วย จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 20:34:03

ความคิดเห็นที่ 11 ยังตามอยู่นะครับ จากคุณ : กะหล่ำปลีลวกกินกับขนมจีนน้ำยา เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 55 18:41:17

ความคิดเห็นที่ 12 มารอชม..มาฟังเรื่องเล่า..เช่นกันค่ะ จากคุณ : สิงฝ้าย เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 55 20:12:37

ความคิดเห็นที่ 13 ขออภัยที่หายไปนานนะครับ  มาต่อกันเลยละกัน Legally Blonde the musical: at Savoy Theatre เรื่องนี้ตรงข้ามกับ Chicago ตรงที่เป็นหนังมาก่อน แล้วด้วยความโด่งดังและความสำเร็จของตัวหนัง ที่เล่นโดย Reese Witherspoon ก็เลยถูกนำมาสร้างเป็นละครเพลง เปิดตัวที่ Broadway เมื่อประมาณปี 2007 และที่ West End ในปี 2010 เนื่องเรื่องก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากหนังเลยครับ เป็นเรื่องราวของ Elle Woods หญิงสาวผู้สดใสที่ถูกแฟนทิ้ง ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการความจริงจังในชีวิต  เธอจึงตัดสินใจเข้าเรียนที่ Harvard Law School เพื่อพิสูจน์รักแท้ โดยแสดงให้แฟนเก่าของเธอเห็นว่าเธอก็สามารถทำอะไรที่จริงจังอย่างการเรียนกฎหมายได้ โทนของละครก็สนุกสนาน ดูสบาย แบบเดียวกับในหนัง ซึ่งตอนเปิดตัวที่ West End ก็ได้รางวัลไปหลายอยู่ ทั้ง Best new musical และ Best Actress ส่วนตัวก็ไม่ได้ประทับใจอะไรมากมายกับเรื่องนี้นะครับ ถือว่าดูได้สนุก ๆ เพลิน ๆ คงอาจจะเป็นเพราะดูหนังมาก่อนแล้ว เลยทำให้บางฉากขาดความ suprise ไป และหลาย ๆ เพลงฟังดูเจี๊ยวจ๊าวไปหน่อย  (ก็คงเหมาะกับสาว ๆ วัยรุ่น 555) แต่เพื่อนบางคนที่ไปดูก็ชอบกันนะครับ   คลิปข้างล่างเป็นการแสดงในงานประกาศรางวัล Olivier Awards (ประมาณ Tony Awards ของ US) เมื่อปีที่แล้ว เป็นฉากใกล้จะจบ ตอนนี้ Elle ท้อใจและกำลังจะเลิกเป็นทนาย แต่เพื่อนที่เคยเป็นคู่อริกัน (Vivienne) มาให้กำลังใจ และชวนให้ Elle กลับไปว่าความอีกครั้ง จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 17:14:27

ความคิดเห็นที่ 14 อีกคลิปเป็น medley ที่แสดงในงาน children in need ซึ่งเป็นงานระดมทุนเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ของที่อังกฤษเขาน่ะครับ (จะเห็นได้ว่าเจี๊ยวจ๊าวกันขนาดไหน  โดยเฉพาะเพลงแรก "Omigod You Guys" 555)   ในคลิปรู้สึกว่าจะเป็น original cast นะครับ ใครที่เป็นแฟนวง boy brand ชื่อดัง "Blue" คงจะจำคนที่เล่นเป็น Warner แฟนของ Elle Woods ได้นะครับ (Duncan James นั่นเอง) จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 17:29:01

ความคิดเห็นที่ 15 Les Miserables: at the Queen's Theatre โอ้....เรื่องนี้ไม่รู้จะเริ่มยังไงดีเลยครับ  เป็นเรื่องที่ชอบที่สุดในทุกเรื่องที่ดูมาเลยทีเดียว (จขกท ร้องให้ทุกประมาณ 25 นาที ทั้งสองรอบ 555)  หลาย ๆ ท่านคงได้ยินกิตติศักดิ์ของเรื่องนี้มาไม่มากก็น้อยนะครับ  ละครเพลงเรื่องนี้มีที่มาจาก บทประพันธ์ชื่อเดียวกันของนักเขียนชาวฝรั่งเศส Victor Hugo (ผู้เขียน The Hunchback of Notre-Dame) หลาย ๆ คนมีปัญหากับการอ่านชื่อเรื่องมากครับ (แม้กระทั่งฝรั่งเองก็ตาม 555) เอาเป็นว่าอ่านแบบชาวบ้าน ๆ ได้ว่า เล มิสเซอร์     หราบ หรือชื่อเล่นว่า เล มิส ก็ละกันนะครับ เล มิส ถือว่าเป็นละครเพลงที่เล่นมายาวนานที่สุดใน West End ตั้งแต่ปี 1985 (ละครไม่เพลงที่ยาวนานที่สุดคือ The Mousetrap ประมาณหกสิบกว่าปี) โดย the RSC (Royal Shakespeare Company) ภายใต้การนำของ Sir Cameron Mackintosh (คู่ซี้ของอีกเซ่อร์ Sir Andrew Lloyd Webber) ซึ่งเมื่อครั้ง เล มิส เปิดตัวใหม่ ๆ ก็ถูกนักวิจารณ์สับแหลก เนื่องจากเนื้อหาที่หนัก  และรูปแบบที่คล้ายกับ opera คือไม่มีบทพูดที่เป็นคำพูดธรรมดาเลย  ทั้ง dialogue และ monologue เป็นการร้องผ่านบทเพลงทั้งหมด  ซึ่งไม่ได้รับความนิยมมากนักในสมัยนั้น  แต่อย่างไรก็ตามผู้ชมกลับ ให้การตอบรับเป็นอย่างดีตรงกันข้ามกับนักวิจารณ์อย่างสิ้นเชิง ทำให้เรื่องนี้แสดงอย่างต่อเนื่องมายาวนานกว่า 25 ปี   เพลงดัง ๆ จากเรื่องนี้ก็มีมากมายครับ ทั้ง "One day more", "On my own" (เพลงนี้เคยฟังครั้งแรกใน series Glee ตอน Rachel ใช้ audition เข้า glee club), หรือสุดยอดของยอดสุดอย่าง "Bring him home"  แต่ที่ทุกคนรู้จักดีก็คงเป็น "I dreamed a dream" ที่ดังไปทั่วโลกพร้อม ๆ กับป้า Susan Boyle นั่นเอง คลิปนี้เป็น trailer ของ 2010 cast: the Queen's theatre ครับ แก้ไขเมื่อ 04 มี.ค. 55 00:33:05 แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 55 20:57:01 จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 20:47:21

ความคิดเห็นที่ 16 -เนื่อเรื่องที่จะเล่ามี spoil นะครับ- เนื่องจากเลมิส มีตัวละครที่เยอะมาก และชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศส ดังนั้นถ้าใครจะไปดูแนะนำให้อ่านเนื้อเรื่องไปก่อนก็ดีนะ ครับ เพราะบทร้องจะฟังยากและบางเพลงก็เร้วเร็ว  หากกลัว spoil ก็ข้ามไปได้นะครับ แต่รับรองว่าแม้จะ spoil ก็ไม่ได้ทำ   ให้อรรถรสในการชมลดลงแต่อย่างใด  จขกท ยืนยันได้จากการดู DVD หลายรอบก่อนที่จะไปดูที่โรงอีกสองรอบครับ :) องค์แรก เรื่องราวเกิดขึ้นที่ฝรั่งเศสในสมัยช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เนื่องเรื่องดำเนินไปกับช่วงชีวิตของ Jean Valjean นักโทษหมาย เลข 24601 ที่ถูกปล่อยตัวออกมาหลังจากติดคุก 19 ปี เนื่องจากไปขโมยขนมปังเพื่อช่วยชีวิตน้องสาวของเขาที่กำลังจะ อดตาย  ก่อนที่จะปล่อยตัวนั้นผู้คุม Javert ได้ให้ประวัติอาชญากรติดตัว Jean Valjean ไปตลอด  ทำให้เขาถูก เหยียดหยามและไม่สามารถทำงานที่มีเกียรติได้  ด้วยความกดดันทำให้ Jean Valjean คิดจะขโมยอีกครั้ง คราวนี้เขา ขโมยเครื่องเงินจากบาทหลวงที่ให้ความช่วยเหลือเขา  แต่เมื่อถูกจับได้บาทหลวงก็กลับให้การช่วยเหลืออีกโดยบอกกับ ตำรวจว่าเป็นคนมอบเครื่องเงินนั้นให้แก่ Jean Valjean เอง  และบอกกับ Jean Valjean ว่าเมื่อได้รับการช่วยเหลือแล้ว ก็ ให้กลับใจใหม่ ช่วยเหลือคนอื่น และเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีอีกครั้ง  Jean Valjean จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อและประวัติตัวเอง หนีจากทะเบียนอาชญากรไปสร้างชีวิตใหม่โดยไม่ให้มีใครรับรู้ถึงอดีตของเขา แปดปีต่อมาเขาได้เป็นเจ้าของโรงงาน และนายกเทศมนตรีของเมือง วันหนึ่ง  Fantine หนึ่งในลูกจ้างของเขาถูกกลุ่ม ลูกจ้างด้วยกันเรียกร้องให้ไล่เธอออก เนื่องจากพบว่ามีลูกนอกสมรสซ่อนไว้ที่บ้าน แต่เนื่องจาก Jean Valjean ยุ่งมาก ก็เลยไม่ได้ให้ความใส่ใจ  ในที่สุด Fantine ก็ต้องออกจากงาน และไปขายตัวเพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูก คืนหนึ่ง Fantine มี ปากเสียงกับลูกค้า และกำลังจะถูกจับไปขังคุกโดย Javert ขณะนั้นเอง Jean Valjean ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีก็มาเห็น พอดี และพบว่า Fantine ป่วยมากเลยขอร้อง Javert ให้ปล่อย Fantine ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลก่อน  ขณะที่ Javert กำลังคุยกับ Jean Valjean อยู่นั้นก็เกิดอุบัติเหตุเกวียนบรรทุกสินค้าล้มทับชาวบ้านคนหนึ่ง เมื่อ  Jean Valjean เห็นเข้าก็รีบเข้าไปยกเกวียนออกช่วยคนนั้นออกมาได้  เมื่อ Javert เห็นดังนั้นก็นึกถึงนักโทษหลบหนีหมายเลข 24601 เพราะเป็นคนที่มีพละกำลังมากเหมือนนายกเทศมนตรี แต่  Javert ก็บอกกับนายกเทศมนตรีว่าจับนักโทษ คนนั้นได้แล้ว และกำลังจะตัดสินโทษในศาลเร็ว ๆ นี้  เวลาผ่านไป Jean Valjean ไม่สามารถที่จะยอมให้ผู้บริสุทธิ์ติดคุก แทนเขาได้  จึงไปสารภาพต่อศาลว่าตัวเองคือ Jean Valjean นักโทษหมายเลข 24601  แล้วก็หนีไปหา Fantine ที่รพ.  Fantine ที่ป่วยหนักก็ได้ฝากฝังชีวิตของลูกสาว Cosette ไว้ให้ Jean Valjean ดูแล  จากนั้นก็เสียชีวิตลง Jean Valjean จึงไปไถ่ตัว  Cosette ออกมาจากสองสามี-ภรรยา เจ้าของโรงเตี้ยมหน้าเลือดตระกูล Thenardiers หลายปีผ่านไป ในปารีสก็กำลังเกิดการชุมนุมของเหล่านักศึกษาที่ต้องการการปฏิวัติเนื่องจากปัญหาความยากจนของ ประชาชน  ขณะนั้น Jean Valjean และ Cosette เดินทางมาในเมืองและกำลังถูกปล้น ได้รับการช่วยเหลือจาก Javert ซึ่ง จำ Jean Valjean ไม่ได้ Jean Valjean จึงรีบพา Cosette หนีไป ในขณะนั้นเอง Cosette ก็ได้พบกับ Marius นักศึกษา หนุ่มที่ร่วมในกลุ่มปฏิวัติ ทั้งสองตกหลุมรักกันแม้จะได้พบกันเพียงเสี้ยวนาที  Marius ได้ขอให้ Eponine เพื่อนสาวที่แอบ หลงรัก Marius อยู่ ให้ช่วยสืบหาว่า Cosette เป็นใคร  Eponine จึงได้พา Marius ไปพบ Cosette ที่บ้าน โดยที่เธอ จะช่วยดูต้นทางให้ ในขณะเดียวกันแกงค์มิจฉาชีพก็กำลังจะเข้าปล้นบ้านของ Cosette กับ Jean Valjean เมื่อ Eponine เห็นเข้าจึงได้ตะโกนส่งเสียงให้ผู้ร้ายหนีไป  ทำให้  Marius กับ Cosette ต้องแยกกันอีก  Jean Valjean ได้ยินเสียง ตะโกนจึงรีบวิ่งมาหา Cosette และเกรงว่าอันตรายจะเกิดกับเธอจึงตัดสินใจพา Cosette ย้ายหนีออกนอกประเทศในวันรุ่ง ขึ้น องค์แรกนี้จบลงด้วยเพลง one day more ที่บอกถึงภาระใหญ่ของแต่ละคนที่กำลังจะถึงในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันที่คณะ นักศึกษาจะก่อการปฏิวัติ  วันที่ Cosette และ Jean Valjean กำลังจะหนีออกนอกประเทศ วันที่เหล่ามิจฉาชีพจะฉวย โอกาสในช่วงความวุ่นวาย  วันที่ชาวบ้านรอคอยการปลดปล่อย วันที่ทหารตำรวจเตรียมรับการปฏิวัติของเหล่านัก ศึกษา  ซึ่งเป็นเพลงที่มีพลังปิดองค์หนึ่งลงได้อย่างอลังการณ์เลยทีเดียว One day more ในคลิปนี้มาจากคอนเสิร์ต 25 ปี ดาราดัง ๆ มากมาย ทั้ง Alfie Boe: Tenor ตัวพ่อ (Jean Valjean), Nick Jonas จาก Jonas brothers (Marius), Samantha Barks (Eponine), Norm Lewis (Javert), และ Ramin Karimloo (Enjolras หัวหน้านักเรียนปฎิวัติ) คนสุดท้ายนี้ แฟน ๆ Phantom 25 ปี คงจำกันได้นะครับ แก้ไขเมื่อ 04 มี.ค. 55 02:00:56 แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 55 22:50:04 จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 22:16:07

ความคิดเห็นที่ 17 ต่อกันด้วย One day more เวอร์ชั่น original cast จาก concert 25 ปีเหมือนกันนะครับ  แต่ละคนก็ระดับตำนานกันทั้งนั้น     ทั้ง Colm Wilkinson, Roger Allam, Michael Ball รู้สึก original Enjolras จะมาไม่ได้ Ramin เลยต้องออกมาแทน แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 55 22:54:02 จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 55 22:37:08

ความคิดเห็นที่ 18 องค์ที่สอง ฉากเปิดมาที่เหล่านักศึกษากำลังสร้างป้อมเพื่อเตรียมรับมือกับทหาร/ตำรวจ ที่จะเข้ามาปราบปราม Marius ฝาก Eponine ส่งจดหมายไปให้ Corsette แต่ Jean Valjean เป็นผู้รับจดหมาย เมื่อ Jean Valjean ได้อ่านแล้วก็พบว่า Corsette และ Marius มีความรักต่อกันอย่างลึกซึ้ง จึงตัดสินใจแอบเข้าร่วมคณะปฏิวัติ เพื่อช่วยเหลือ Marius ส่วน Eponine ก็กลับไปร่วมกับคณะนักศึกษาเช่นกัน แต่ในขณะที่เธอกำลังจะกลับไปก็ถูกยิง และเสียชีวิตในอ้อมแขนของ Marius ขณะเดียวกัน Javert ก็ได้ปลอมตัวเป็นสายลับในคณะปฏิวัติ แต่ในที่สุดก็ถูกจับได้ แต่ Jean Valjean ได้ขอ ตัว Javert ไว้ และปล่อยตัวไปในที่สุด  Javert สับสนในการตัดสินใจของ Jean Valjean มาก และทำใจไม่ได้ที่หลักการ ที่เขายึดถือมาตลอดชีวิต (คือทุกคนที่ทำผิดต้องถูกลงโทษโดยไม่มีการให้อภัย) ถูกพิสูจน์ว่าเป็นหลักการที่ผิด จึงตัดสิน ใจกระโดดน้ำตาย วันรุ่งขึ้นคณะนักศึกษาถูกสังหารทั้งหมด แต่ Jean Valjean รอดชีวิตและพบว่า Marius หมดสติแต่ยังไม่ตาย จึงพา หนีไปในท่อระบายน้ำ และช่วยรักษาตัว Jean Valjean ได้บอกความจริงกับ Marius ว่าเขาเป็นเป็นนักโทษที่หลบหนี และจำเป็นต้องกลับไปรับโทษ แต่ไม่ต้องการให้ Cosette รู้ความจริง  จึงตัดสินใจหนีไปมอบตัว  ในที่สุด Marius ก็รู้ว่า Jean Valjean เป็นผู้ช่วยชีวิตของเขาในช่วงปฏิวัติ จึงพา Cosette ออกไปตามหาตัว Jean Valjean ทั้งสามได้พบกัน ในช่วงสุดท้ายของชีวิต Jean Valjean และได้รับรู้ความจริงทั้งหมด ร่วมทั้งเรื่องแม่ของ Cosette ด้วย จากนั้น  Jean Valjean ก็จากไปอย่างสงบพร้อมกับวิญญาณของ Fantine, Eponine และผู้เสียชีวิตในการปฏิวัติ จบลงด้วยเพลง "Do You Hear The People Sing?" ร้องโดย full company ในองค์นี้ เพลงที่ทุกคนต่างตั้งตารอคอยฟังมากที่สุดก็คงเป็น "Bring Him Home" ซึ่งเป็นตอนที่ Jean Valjean อธิษฐาน     ต่อพระเจ้าให้ช่วยปกป้องรักษาชีวิตของ Marius เรียกว่าสะกดคนดูได้ทั้งโรงเลยทีเดียว ขออัญเชิญเวอร์ชั่น encore performace ที่ร้องโดย Jean Valjean ทั้ง 4 คน มานำเสนอนะครับ Colm Wilkinson, John Owen-Jones (มุมนี้แอบเหมือน Ricky Gervais เล็กน้อย), Simon Bowman และ Alfie Boe ตามลำดับ (จะเห็นได้ว่าทั้งสามคนแรกเคยได้รับบทเป็น phantom กันมาแล้วทั้งนั้น) จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 00:10:34

ความคิดเห็นที่ 19 จขกท ชื่นชอบ Alfie Boe มากขนาด จึงขอเชิญเรามาฟังความเทพของท่าน ด้วย high B-flat อันโดงดังในเพลง "Who am I ?" กันนะครับ จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 01:06:03

ความคิดเห็นที่ 20 ปิดท้ายด้วย "I dreamed a dream" ร้องโดยตัวแม่ Lea Salonga (เคยเล่นเป็นทั้ง Fantine และ Eponine ใน Broadway, ให้เสียงเจ้าหญิง Disney ทั้ง Jasmine และ Mulan) จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 01:16:10

ความคิดเห็นที่ 21 เย้ มาแล้ว..อิอิ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : สิงฝ้าย เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 18:57:57

ความคิดเห็นที่ 22 ว้าว  ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ  นี่ก็เกือบหากระทู้ตัวเองไม่เจอเหมือนกัน แต่ bookmark ไว้ละ :) จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 00:10:23

ความคิดเห็นที่ 23 The Wizard of Oz: The London Palladium เรื่องนี้เป็น revival production โดย Andrew Lloyd Webber จากภาพยนต์ และนิยายชื่อเดียวกัน  เนื่องจากเวอร์ชั่นหนังก็ดำเนินเรื่องด้วยเพลงเป็นหลักอยู่แล้ว ก็เลยเป็นที่คุ้ยเคยของแฟน ๆ เป็นอย่างดี  จำได้ว่าเคยดู BBC จัดรายการที่ชื่อว่า Over The Rainbow เป็น reality/talent show เพื่อค้นหา Dorothy คนใหม่ (ต้นฉบับในหนังคือ Judy Garland) ซึ่งผู้ชนะคือ Danielle Hope ก็ได้เซนต์สัญญาเป็น Dorothy 1 ปี ส่วนที่สองก็เป็น understudy ไป  และได้มาเล่นแทนหลัง Danielle หมดสัญญา  ซึ่งก็เปลี่ยนตัว the Wizard of Oz ด้วยเช่นกัน เรื่องราวคร่าว ๆ ก็เกี่ยวกับแม่หนูชาวไร่ Dorothy ณ Kansas ถูกทอร์นาโดพัดไปตกอยู่ในเมือง Oz  แล้วก็ได้พบกับ แม่มดใจดีซึ่งแนะนำว่าผู้ที่จะสามารถช่วยให้เธอกลับบ้านได้มีเพียงผู้เดียวคือ พ่อมดแห่ง Oz ดังนั้น Dorothy ก็เลยออกเดินทาง (ตาม yellow brick road) ไปพบพ่อมด  ระหว่างทางก็พบกับหุ่นไล่กาไร้สมอง  มนุษย์กระป๋องไร้หัวใจ และ สิงโตขี้ขลาดไร้ความกล้าหาญ  ทั้งสี่เลยร่วมเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากพ่อมดด้วยกัน ระหว่างเดินทางก็ถูกขัดขวางจากแม่มดชั่วร้ายอยู่ตลอด  เพราะก่อนหน้านั้นบ้านของ Dorothy ถูกพัดไปทับน้องสาวของแม่มดตาย และรองเท้าวิเศษของแม่มดที่ตายก็มาอยู่กับ Dorothy แม่มดชั่วร้ายจึงต้องการรองเท้านั้นคืน  ที่เหลือคงทราบกันอยู่แล้ว  เล่าแค่นี้ละกันนะครับ 555 จขกท ไปดูมาสองรอบเนื่องจากรอบแรกที่ไปดูไฟฟ้าขัดข้องเพราะหิมะตก เลยทำให้เอฟเฟกต์/ฉากหลาย ๆ อย่างไม่สมบูรณ์  ปกติ yellow brick road จะหมุนและยกเอียงตัวได้  เกาะกลางเวทีจะสามารถโผล่ขึ้นลงในการปรากฎตัวของหุ่นไล่กา คนกระป๋อง และสิงโต ฉากแม่มดตายแม่มดจะละลายหายไปได้ แต่รอบนั้นไม่มี (แม่มดเลยต้องเดินออกจากฉากเอง คนดูก็ปรบมือให้กำลังใจ 555) บอลลูนที่จะพากลับ Kansas ก็ไม่ยอมลงมา (พ่อมดเลยต้องออกแรงดึงลงมา คนดูก็ปรบมือให้กำลังใจอีกครั้ง 555) ซึ่งก่อนแสดง Michael Crawford (เล่นเป็น the wizard) ก็ออกมาชี้แจงและขออภัยล่วงหน้า  (Michael เคยเล่นเป็น phantom คนแรกเลย) ส่วนตัวแล้วชอบเรื่องนี้มากเหมือนกัน  เนื้อหาก็ไม่หนักมากเข้าใจง่าย เดินเรื่องได้สนุกตื่นเต้นตลอด โปรดักชั่นอลังการเหมาะกับเด็ก ๆ มาก ซึ่งตอนที่ไปดูรอบ matinee วันอาทิตย์ ก็พบผู้ปกครองและบุตรหลานเต็มไปหมด  ช่วง intermission ก็มีคุณตาท่านนึงได้คุยกันบอกว่ามาดูหลายรอบแล้ว  พาหลาน ๆ มาดูทั้งนั้น  ว่าแล้วคุณตาก็พาเราคุยเรื่อง le mis 555 นอกจากโปรดักชั่นใหญ่โต  ทอร์นาโดพัดบ้านกระจุย  หิมะตกใส่คนดู  แม่มดและลิงบินเฉียดหัวไปมาแล้ว  สิ่งที่คุ้มค่าน่าประทับใจอีกอยากคือการได้ไปดู Michael Crawford ตัวเป็น ๆ และน้องหมา Toto ที่น่ารักมากและไม่หลุดคิวเลย จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 00:31:25

ความคิดเห็นที่ 24 มาฟังหนู Dorothy (Danielle Hope) ร้องเพลงกัน "Over the rainbow" น้องหมา Toto ออกมาตอนสุดท้ายด้วย แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 00:45:07 จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 00:43:45

ความคิดเห็นที่ 25 อัญเชิญคุณปู่ Michael Crawford มาให้ชมกัน :)  ตอนนี้ professor Marvel เล่าให้ Dorothy ฟังถึงความมหัศจรรย์ของโลกกว้าง "Wonders of the World'' เพลงนี้แต่งขึ้นมาใหม่สำหรับ musical โดย Andrew Lloyd Webber กับ Tim Rice ครับ จขกท เห็นว่า เสียงของ Michael ฟังดูมีอำนาจ (ลองหา Bring me the Broomstick มาฟังกันดูนะครับ) สมแล้วที่เป็น original phantom แต่พ่อมดคนใหม่ (Russell Grant) ดูก็องแก็งมาก จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 01:02:26

ความคิดเห็นที่ 26 แถมท้าย :) Dorothy พบกับ แม่มดใจดี Glinda และเหล่า Munchkins ครับ แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 02:32:43 จากคุณ : ระเบิดธาตุทั้ง 7 เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 01:10:48

ความคิดเห็นที่ 27 มาตามกระทู้ด้วยคนค่ะ. จากคุณ : chantibha เขียนเมื่อ : 7 มี.ค. 55 09:40:31

ความคิดเห็นที่ 28 แอบย่องมาชมเงียบ ๆ ครับ จากคุณ : กะหล่ำปลีลวกกินกับขนมจีนน้ำยา เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 55 00:21:24