ทำไมญี่ปุ่นจึงมีความเสมอภาคมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในโลก?
จริงๆ แล้วญี่ปุ่นเคยเป็นสังคมมีความเหลื่อมล้ำสูงมาก ความเสมอภาคด้านรายได้เพิ่งเกิดขึ้นสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สองนี้เอง แล้วเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ผลงานวิจัยเรื่อง "วิวัฒนาการการกระจุกตัวด้านรายได้ที่ญี่ปุ่น ค.ศ.1886-2002 ศึกษาจากสถิติภาษีรายได้" โดย ชิอากิ โมริกุชิ และ เอมมานูแอล แซส
เมื่อปี ค.ศ.2006 ได้ให้คำตอบกับคำถามนี้ที่น่าสนใจมาก
นักวิจัยทั้งสองได้คำนวณการกระจุกตัวด้านรายได้ของคนรวยสุดร้อยละ 1 ที่ญี่ปุ่น โดยใช้ข้อมูลสถิติภาษีรายได้ที่สรรพากรญี่ปุ่น ตีพิมพ์เป็นรายปีมาตั้งแต่ ค.ศ.1887 เมื่อเริ่มเก็บภาษีรายได้เป็นครั้งแรกทั่วประเทศ
แผนภาพนี้แสดงข้อค้นพบที่สำคัญของเขา ซึ่งสรุปได้ดังต่อไปนี้
1.ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง คนรวยสุดร้อยละ 1 ของประเทศ คือเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ ผู้ถือหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เรียกว่าไซบัทซึ และผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ประมาณ 100,000 ครอบครัว (ภาษีรายได้ในระยะแรก เก็บเป็นรายครอบครัว)
2.รายได้ส่วนใหญ่ของคนกลุ่มนี้มาจากที่เรียกว่า Capital income หรือรายได้จากทุนรวมกัน ได้แก่ กำไร เงินปันผลจากหุ้น ค่าเช่าและดอกเบี้ย สำหรับเงินเดือนคิดเป็นส่วนน้อยของรายได้ทั้งหมด
3.ทั้งกลุ่มร้อยละ 1 นี้ มีส่วนแบ่งในรายได้ทั้งหมดของประเทศระหว่าง ร้อยละ 14 ถึงร้อยละ 20 ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อเทียบกับสหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ก็ไม่ต่างกันมากนัก ที่ญี่ปุ่นอาจจะสูงกว่าบ้างด้วยซ้ำ
4.เริ่มจากราวๆ ปี ค.ศ.1938 ส่วนแบ่งรายได้จากทุนของคนรวยสุดร้อยละ 1 นี้เริ่มหดตัวลง ครั้นถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง คงเหลือเฉพาะกำไรและเงินเดือนบ้าง (โรงงานยังผลิตอาวุธและอุปทานต่างๆ เพื่อการสงคราม)
5.หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนแบ่งของรายได้จากเงินปันผล ค่าเช่า ดอกเบี้ย หดตัวลงอย่างมาก (ดูแผนภาพ) ส่วนแบ่งของกำไร ฟื้นตัวขึ้นมาอีกต้นทศวรรษ 1950 แต่หลังจากนั้นทุกๆ รายการ ในกลุ่มรายได้จากทุนไม่ได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกเลย สัดส่วนของรายได้จากเงินเดือน
ได้เพิ่มขึ้นมาทดแทนรายได้จากทุนที่หดหายไป ทั้งนี้ อุตสาหกรรมได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
6.รายได้จากค่าจ้างและเงินเดือนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีความเสมอภาคสูง คือ ระดับการกระจุกตัวในกลุ่มคนมีเงินเดือนสูงสุดร้อยละ 1 และร้อยละ 5 ของทั้งหมดค่อนข้างต่ำ และต่ำกว่าที่สหรัฐในช่วงระยะเดียวกัน
ความเสมอภาคของรายได้จากเงินเดือนหรือค่าจ้างนี้เอง บวกกับนโยบายปฏิรูปต่างๆ (ดังจะกล่าวต่อไป) ทำให้ดัชนีค่าจีนี่ ที่แสดงระดับความเหลื่อมล้ำของรายได้ลดลง สำหรับญี่ปุ่นทั้งประเทศ ค่าจีนี่ของรายได้ก่อนนโยบายปฏิรูป เคยสูงถึง 0.573 เมื่อ ค.ศ.1937 ลดลงเหลือ 0.314 เมื่อ ค.ศ.1956 และคงอยู่ ณ ระดับนี้ในปี ค.ศ.1970 (ข้อมูลจากงานศึกษาของ Ryoshin Minami,2008)
จนญี่ปุ่นได้ชื่อว่า เป็นสังคมชนชั้นกลาง ที่มีความเท่าเทียมกันสูงเป็นที่สองของโลกรองจากเดนมาร์กเท่านั้น
งานศึกษาของโมริกุชิและแซส ยังได้วิเคราะห์ประวัติของเหตุการณ์และการปฏิรูปสำคัญที่ญี่ปุ่นแบ่งเป็น 2 ระยะ
การปฏิรูประยะแรกเกิดก่อนสงครามโลก ครั้งที่ 2 ในช่วงที่ญี่ปุ่นเริ่มทำสงครามมหาเอเชียบูรพา ราวๆ ปี ค.ศ.1938 รัฐบาลได้ปฏิรูปภาษี โดยจัดเก็บภาษีรายได้ในอัตราที่สูงขึ้นและแบบก้าวหน้า เพื่อหารายได้มาทำสงคราม นอกจากนั้นยังกำหนดเพดานการเพิ่มเงินเดือนและโบนัสของผู้บริหารระดับสูงของบริษัท และยังออกกฎหมายควบคุมค่าเช่าที่ดินหลังจากที่ชาวนาเช่ารวมตัวกันต่อต้านเจ้าของที่ดินที่ขึ้นค่าเช่าแบบโหดๆ
การปฏิรูประยะที่สอง เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้การริเริ่มของสหรัฐ ในช่วงที่เข้าครอบครองญี่ปุ่นอยู่
การปฏิรูปสำคัญในครั้งนี้ คือ การจัดสรรที่ดินให้กับชาวนาเช่า ทำให้กลายเป็นชาวนามีที่ของตนเอง จนปรากฏว่า สัดส่วนของชาวนาเช่าลดลงจากร้อยละ 46 ในปี ค.ศ.1941 เหลือเพียงร้อยละ 9 ในปี ค.ศ.1955
การยกเลิกกฎหมายมรดกที่ให้ลูกชายคนโตเท่านั้นเป็นผู้รับมรดก
การกำหนดอัตราก้าวหน้า สำหรับภาษีรายได้ ภาษีมรดก และภาษีของขวัญ
การสลายบริษัทผูกขาดขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ไชบัทซึ และยังยึดเอาหุ้นของผู้บริหารระดับสูง แจกให้กับพนักงาน
รัฐบาลยึดร้อยละ 7 ของทรัพย์สินของครอบครัวรวยสุด 5,000 ครอบครัวเป็นของรัฐ
รัฐบาลสหรัฐสนับสนุนให้คนงานโรงงานรวมตัวกันเป็นสหภาพ สหภาพและนายจ้างเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรง พวกเขาเรียกร้องจากนายจ้างให้ปรับระบบการจ้างและการกำหนดค่าตอบแทน ให้มีหลักเกณฑ์ด้านความเสมอภาค และ
ในท้ายที่สุดบริษัทขนาดใหญ่ ก็ต้องปรับตัว ทำให้เกิดระบบการจ้างงานที่ให้ความมั่นคงกับคนงาน ที่รู้จักกันว่า Life time employment และสหภาพคนงาน มีบทบาทในการกำหนดอัตราค่าจ้าง การขึ้นเงินเดือนร่วมกับฝ่ายจัดการ ทั้งมีบทบาทช่วยกำหนดเงินเดือนของคนงานผลิต และคนงานฝ่ายบริหารจัดการด้วย
ผลของการเปลี่ยนแปลงในระบบการจ้างงานเหล่านี้ ทำให้เงินเดือนและค่าจ้างของบรรดาคนงาน ซึ่งได้กลายเป็นกลุ่มแรงงานจำนวนมากที่สุด มีความเสมอภาคค่อนข้างสูง และนี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ญี่ปุ่นมีค่าจีนี่ด้านรายได้ต่ำ จนเมื่อเร็วๆ นี้
โดยสรุป เมื่อก่อนญี่ปุ่นก็มีความเหลื่อมล้ำสูงคงพอๆ กับไทยและมีความขัดแย้งภายในมาก แต่ขณะนี้คนญี่ปุ่นให้คุณค่ากับความเสมอภาค และสนับสนุนให้รัฐบาลรักษาความเสมอภาคไว้ด้วยนโยบายต่างๆ เพราะว่าพวกเขาเห็นประโยชน์ของระบบคุณค่านี้
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1335928627&grpid=03&catid=&subcatid=