Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กรุงเทพธุรกิจ - อนันต์ ลือประดิษฐ์ ชี้ MDNA ยังเฉียบคมในแบบ ‘มาดอนนา’ แม้เธอจะสูงวัยถึง 53 ในวันนี้ ติดต่อทีมงาน

โดย : อนันต์ ลือประดิษฐ์

หลังจากเจียดเวลาไปสนุกสนานกับงานสร้างภาพยนตร์ และห่างหายวงการเพลงไปราว 4 ปี นับจากอัลบั้มที่แล้ว (Hard Candy) ในที่สุด ราชินีเพลงป๊อปแดนซ์ มาดอนนา ก็เริ่มรู้สึกโหยหาถึงวงการเพลง เธอจึงวางแผนหวนคืนสตูดิโอ ตามด้วยการแสดงสดบนเวทีอีกครั้ง พร้อมกับเพื่อนๆ โปรดิวเซอร์มากหน้าหลายตา เพื่อเสริมทัพให้แก่อัลบั้ม MDNA ผลงานลำดับที่ 12 ของเธอ

ตามประสาศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยยอดขายรวมทั่วโลกกว่า 300 ล้านชุด กับอิทธิพลที่มีต่อทิศทางการสร้างสรรค์งานวัฒนธรรมร่วมสมัย การขยับตัวทำงานของ มาดอนนา ในแต่ละครั้ง ย่อมเป็นที่จับตา และมีส่วนสร้างสีสันให้แก่วงการเพลงไม่น้อย

ทั้งด้วยทรัพยากรที่มีให้เลือกใช้อย่างเต็มที่ การระดมคนดนตรีฝีมือดี เรื่อยไปจนถึงคอนเซ็พท์ในการทำงาน ที่ไม่จำกัดวงเพียงเรื่องของเสียงเพลงเท่านั้น แต่ยังมีอานุภาพครอบคลุมสื่อมัลติมีเดีย การแสดง และการโชว์บนเวที

แม้ชื่อของ MDNA จะชวนให้นึกถึงยาอี จนกลายเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบ แต่อีกนัยหนึ่งมันยังบ่งบอกถึงตัวตนของเธอเช่นกัน ดังข้อมูลระบุว่า เอ็ม.ไอ.เอ. ศิลปินสาวชาวอังกฤษเชื้อสายอินเดีย ซึ่งร่วมงานในอัลบั้มนี้ เป็นคนต้นคิดชื่อนี้ ด้วยมุ่งหมายถึง “ดีเอ็นเอ” ของ มาดอนนา เป็นสำคัญ

ความน่าสนใจอีกประการหนึ่ง งานนี้ยังนับเป็นครั้งแรกที่ มาดอนนา ย้ายออกจากร่มเงาของ “วอร์เนอร์” ที่สังกัดมาตั้งแต่ปี 1982 มาอยู่กับค่ายอินเตอร์สโคพ โดยมีทีมโปรดักชั่นเดิมๆ ที่เคยร่วมงานกันมานาน อย่าง วิลเลียม ออร์บิท เรื่อยไปจนถึงทีมงานเขียนเพลงใหม่ อย่าง มาร์ติน โซลเวจ ซึ่งมีฐานที่ตั้งในลอนดอน หรือจะเป็นดีเจและมือมิกซ์ในสไตล์เทคเฮาส์ ชาวอิตาเลียน อย่าง เบนนี เบนาสซี ที่แรกเริ่มเดิมทีอาจจะมีปัญหาในเรื่องการสื่อสารภาษาอังกฤษอยู่บ้าง แต่ทุกอย่างก็ลงตัวอย่างน่าทึ่งในเวลาต่อมา

ขณะเดียวกัน มาดอนนา ยังชักชวนนักร้องสาวที่มีบุคลิกภาพมาดมั่นมาเสริมพลัง “เกิร์ล พาวเวอร์” ไม่ว่าจะเป็น เอ็ม.ไอ.เอ หรือจะเป็น นิกกี มินาจ สาวอเมริกันเชื้อสายทริติแดด ที่มีส่วนเติมเสน่ห์เล็กๆ น้อยๆ เช่นเดียวกันกับการให้น้ำหนักในเรื่องของ ซาวด์ ดีไซน์ และ ซาวด์ โมดูล รวมถึงการใช้อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือในสตูดิโอ ที่เธอลงมือมาดูแลอย่างค่อนข้างพิถีพิถัน

มาดอนนา ปล่อยซิงเกิลแรก "Give Me All Your Luvin'" ในเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนจะตามด้วยอัลบั้มเต็มในเดือนถัดมา ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมาย อัลบั้มนี้สามารถขึ้นถึงอันดับ 1 ในหลายประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย, แคนาดา, อิตาลี, สเปน, อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา

โดยภาพรวม งานชุดนี้เจริญรอยตามแนวทางเพลงป๊อปแดนซ์ ที่มุ่งนำเสนอโลกฝันส่วนตัว เพศรส อันสนุกสนานเบิกบาน และเย้ายวนใจ บางเพลงออกโทนลุยบู๊ล้างผลาญ บางเพลงให้ความรู้สึกเหงาจับจิตราวกับลูกแมว ขณะที่หลายเพลงอิงกลิ่นอายไซคีเดลิค ชวนให้หลอนและเมา แต่หลายเพลงสังคราะห์เสียงกระเดียดไปทางตะวันออก ซึ่งอิงกับเทรนด์สมัยนิยม

ฟังแล้ว ไม่ถึงกับฉีกแหวกแนวตัวตนของ มาดอนนา ที่เราคุ้นเคยนัก อีกทั้งนักร้องสาววัยกว่า  50 คนนี้ก็ไม่ได้พาเราเดินทางไกลไปถึงดาวพลูโต  หากเรียกขานอย่างพอเหมาะพอดี ต้องบอกว่า นี่คืออีกอัลบั้มที่ยังรักษาคุณภาพงานเพลงป๊อปแดนซ์ไว้ได้

เปิดตัวอัลบั้มด้วย "Girl Gone Wild" เป็นป๊อปแดนซ์เทมโปกลางๆ ที่เสมือนการอุ่นเครื่อง ด้วยโมทิฟสวยๆ กับเนื้อหาร้อนแรงตามสไตล์ของมาดอนนา มีการใช้เทคนิคดิสตอร์ทชั่นเสียงร้องเพื่อสร้างพื้นผิวให้มีกิมมิคยิ่งขึ้น ก่อนจะต่อด้วย "Gang Bang" ในแบบฉบับของ วิลเลียม ออร์บิท ที่ค่อนข้างบู๊และออนโทนอารมณ์ดรามาติค

"I'm Addicted"  มาแบบเชยๆ แต่เท่ ด้วยซาวด์สังเคราะห์ของ เบนนี เบนาสซี  ที่ค่อยๆ พัฒนาธีมเพลงขึ้นบนจังหวะจะโคนที่ยั่วเย้า ขณะที่ "Turn Up the Radio"  พลิกสู่ความสละสลวย โดยมาดอนนา ทำงานนี้ร่วมกับ มาร์ติน โซลเวจ โปรดิวเซอร์ที่ถูกคอ ไม่เพียงเรื่องเพลง แต่ยังข้ามไปถึงไวน์และอาหารเลิศรส

"Give Me All Your Luvin'"  สมกับเป็นซิงเกิลแรกของอัลบั้ม เป็นจุดขายที่น่าจะโดนใจคนฟังวงกว้าง ตรงข้ามกับ "Some Girls" ที่มากับเสียงสังเคราะห์หลากหลาย ด้วยซาวด์ดีไซน์ที่น่าจะเหมาะกับการแสดงโชว์บนเวที  ส่วน "Superstar" เป็นเพลงป๊อปฟังสบาย ดูจะบ่งบอกถึงวัยที่ถดถอยของมาดอนนาอยู่บ้างกระมัง

จากนั้น นิกกี มินาจ กลับมาอีกครั้งใน "I Don't Give A" ด้วยลีลาเปรี้ยว เฉี่ยว ถึงใจ แล้วจึงดำดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของจิตใจ ใน "I'm a Sinner" บอกเล่าด้านมืดความเป็นคนบาปอย่างตรงไปตรงมา และท้าทายศาสนจักร

ซาวด์ของเพลงเปลี่ยนไปบ้าง จากการใช้แบนโจเป็นอินโทร.ในเพลง  "Love Spent" กับซินธิไซเซอร์ที่สร้างสีสันอันหวามไหวของเครื่องสายจำลอง และธีมเพลงเต้นรำเก่าๆ ที่มาดอนนาเคยใช้  ขณะที่ "Masterpiece" เป็นบัลลาดที่งดงามลงตัวอีกเพลงหนึ่ง มาดอนนา ยังถนัดในการถ่ายทอดเสียงร้องที่ไพเราะจับใจได้เช่นเคย

จนกระทั่งมาลงเอยใน "Falling Free" เป็นเพลงสุดท้ายของอัลบั้ม ที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะ จากการเลือกใช้เสียงสังเคราะห์อันบิดเบี้ยว เพื่อให้ประสบการณ์ใหม่ บนทำนองอันเรียบง่ายและสงบนิ่ง ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่แปลกและน่าสนใจในตัวเอง

กว่า 50 นาทีของอัลบั้ม MDNA แม้จะไม่แปลกแตกต่างจากผลงานเดิมเท่าใดนัก แต่อย่างน้อยๆ  มาดอนนา ก็ไม่ทำให้แฟนเพลงผิดหวังกับการกลับมาของเธอแต่อย่างใด

จากคุณ : mr.sac
เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 55 11:29:20




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com