ผมเป็นคนๆนึงที่ถือว่าโชคดี
ที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงแทบจะทั้งหมดของวงการดนตรี
ตั้งแต่การอัดลงเทป 4 แทรค จนพัฒนาไปเป็นเทปreel 16 แทรค
จนถึงเป็นระบบdigital ตั้งแต่ต้องฟังเพลงด้วยแผ่นเสียง
ต่อมาก็เป็นตลับเทปม้วนใหญ่คล้ายๆตลับเกมส์
จนพัฒนามาเป็นคลาสเซ็ทเทป จนถึงเป็นซีดี
ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง
ผลลัพท์ในการเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งจะเป็นผลบวกเสมอ เช่น ระบบเสียงดีขึ้น สะดวกในการฟังมากขึ้น อุปกรณ์หาง่ายและมีให้เลือกมากขึ้น
ทำให้ธุรกิจทางด้านบันเทิงมีความเจริญรุ่งเรือง
เราสามารถที่จะมีเครืองไม้เครื่องมือที่ทันสมัยทัดเทียมกับต่างประเทศได้ไม่ยากนัก
แต่เมื่อวันนึง
ใครก็ไม่รู้คิดค้นวิธีอัดบีบเพลงให้เล็กลงโดยสูญเสียคุณภาพไปบ้าง
แต่ก็สะดวกในการที่จะอัดเพลงหลายๆเพลง
ลงในซีดีหรือแฟลชไดรฟ์เพียงชิ้นเดียว
นับจากวันนั้นทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป
เกิดการละเมิดลิขสิทธ์เกิดขึ้นมากมายจนไม่สามารถแก้ไขได้
เพลงๆนึงจากเคยที่มีราคาประมาณ 30 บาท
(จากราคาซีดีสมัยนั้นคือประมาณ 300 บาทนะครับ)
เหลือเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งบาท(แผ่นผี)
พวกคนทำงานอย่างพวกผมบอกได้เลยว่าล่มสลายไปเกินครึ่ง
รายได้หายไปเกิน 70% ทำให้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนขั้นตอน
ระบบในการทำงานลงให้เล็กที่สุด ทำต้นทุนให้ถูกที่สุด
จากที่เคยไปใช้ห้องอัดที่ดีๆมีมาตราฐาน
ก็กลายเป็นต้องพยายามจบงานทุกอย่างให้ได้ภายในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว
บางคนอาจจะเถียงนะครับว่า
เทคโนโลยีสมัยนี้มันน่าจะเอื้ออำนวยในการทำแบบนั้นได้
ซึ่งผมก็ไม่เถียงนะครับ มันจบงานได้จริง
แต่ผมบอกได้เลยว่าคุณภาพที่ได้มันต่างกันมาก
แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะยังไงส่วนใหญ่ก็ฟังในรูปแบบMP3อยู่แล้ว
ดีไม่ดีอย่างไรก็คงไม่สำคัญอะไร(มั้ง) พวกผมทำได้ก็แค่เพียงปรับตัวให้อยู่รอดได้
ซึ่งคนทำเพลงดีๆทีผมรู้จักหลายสิบคนก็เปลี่ยนอาชีพไปทำมาหากินอย่างอื่นแล้ว
ใครที่่ยังพอปรับตัวได้ หรือมีทุนทรัพย์ส่วนตัวแข็งแรงก็สู้กันต่อไป
มาจนถึงยุคปัจจุบัน
การพัฒนาในทางเทคโนโลยีก็เป็นไปอย่างก้าวกระโดด
การได้ฟังเพลงฟรีในทุกวันนี้แทบจะถือเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของคนทั่วๆไป
เคยได้ยินกับหูหลายครั้งที่ว่า จะไปหาซื้อทำไม มีให้โหลดเยอะแยะ
ถามว่าผมเข้าใจมั้ย ผมเข้าใจนะครับ อยากฟังเพลงไรก็เข้าเวปsearchหาได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที สะดวกจะตาย แถมไม่เสียตังค์ซักบาท
แถมยังสามารถจัดแคตตาล๊อคเพลงได้ตามที่ชอบ writeลงcdแผ่นเดียว
เปิดฟังได้ตั้งแต่กรุงเทพยันเชียงใหม่โดยไม่ซ้ำกันซักเพลง
เป็นการเข้าสู่ยุคแห่งการละเมิดลิขสิทธิ์แบบสุดโต่ง
ประชาชนเกินครึ่งประเทศต้องการฟังเพลงฟรี
ถามอีกว่าผมเข้าใจมั้ย ผมก็เข้าใจครับ
หลายๆคนก็บอกว่า ถึงขายซีดีไม่ได้ ขายdownloadไม่ได้
ก็ยังขายโชว์ได้นี่นา ถูกครับ การได้มีงานโชว์ตัว
หรือคอนเสริตคือรายได้หลักสุดท้ายของคนที่เป็นศิลปิน
แต่พวกที่ทำงานอย่างพวกผมล่ะครับ ได้ไปแสดงอะไรกับเค้าทีไหนล่ะ
จริงอยู่ที่่อาจจะมีรายได้จากลิขสิทธิ์เพลงที่เอาไปโชว์กลับมาอยู่บ้าง
แต่บอกได้เลยว่าหลักร้อยต้นๆต่อหนึ่งโชว์ครับ
(ต้องหลายเพลงด้วยนะครับ)
ส่วนรายได้จากการดาวน์โหลด ซีดี หรือ
ส่วนแบ่งจากรายได้อื่นๆนี่เลิกรอไปนานแล้วครับ
พวกผมเรียกกันว่าค่าขนมครับ นานๆมาที ทีละขำๆครับ
ทีนี้อยากให้ลองหลับตาแล้วนึกภาพตามนะครับ การทำอัลบั้มๆนึง
ตั้งแต่เริ่มขึ้นงานครั้งแรกโดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 9 - 12 เดือน
ถ้าเป็นอัลบั้มที่ติดขัดหน่อยอาจใช้เวลาถึง 2 ปีหรือกว่านั้น
(ใครไม่เชื่อสามารถเช็คในไทม์ไลน์ของผมได้เลยว่าอัลบั้มๆนึงที่ผมทำใช้เวลา
นานขนาดไหน) ค่าใช้จ่ายในการทำอัลบั้ม ไม่ว่าจะเป็น ค่าห้องอัด ค่าจ้างนัก
ดนตรีมาอัดงานให้ ค่าmixเสียง ค่านักร้อง ค่่าคนทำเพลง เขียนเพลง และอีก
สารพัด อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีห้าแสนบาท นี่ยังไม่เกี่ยวกับค่าทำMV ค่าโฆษณา
อะไรเลยนะครับ ที่นี้ลองนึกดูต่อนะครับ สมมุติว่าผมทำอัลบั้มๆนึง
โดยมีงบหกแสนบาท หกแสนบาทนี้จะต้องถูกแจกจ่ายไปตามบุคลากรต่างๆที่อยู่ในขั้นตอนการผลิตต่างๆอย่างที่บอกไว้ข้างต้น
ผมเป็นโปรดิ๊วเซอร์ก็อาจจะได้เยอะหน่อย บวกค่าทำเพลงไปด้วย(ถ้ามี)
ก็น่าจะถึงตัวซัก 6-7 หมื่นบาท และโชคดีที่ผมมีห้องอัดอยู่ที่บ้านอยู่แล้ว
เลยค่าห้องอัดต่างหากอีกประมาณแสนนึง มากสุดก็ไม่เกินแสนห้า
แต่โปรดิ๊วเซอร์หลายคนก็ไม่ได้มีห้องอัดเหมือนผมก็รับแต่ค่าโปรดิ๊วเท่านั้น
รวมแล้วทั้งโปรเจ็คน่าจะถึงตัวผมประมาณแสนห้าถึงสองแสน
ถ้าโชคดีอัลบั้มนี้ไม่มีปัญหา ก็น่าจะเสร็จภายในเก้าเดือน (270วัน)
ลองหารดูนะครับ ถ้าได้สองแสน หารด้วย 270 ก็ตกวันละประมาณ 740 บา
ท ถ้า แสนห้าก็ตกวันละ 555.55 บาท (เลขสวยมาก)
แต่ถ้าโชคร้ายอัลบั้มนี้ผมใช้เวลาไป18เดือนล่ะ (540วัน)
ไปหารกันเอาเองนะครับก็มากกว่าแรงงานขั้นต่ำของนายกไม่ถึงร้อยอ่ะครับ 5555
คนที่ชอบฟังเพลงส่วนใหญ่คงรู้นะครับว่าสมัยนี้การปล่อยเพลงจะเป็นแบบsingle คือปล่อยมาที่ละเพลง ซึ่งก็หมายถึงว่า ออกเพลงนึง
พวกผมก็ได้เงินเพลงนึงเหมือนกัน
เกิดงานไม่ประสพความสำเร็จก็อาจจะต้องหยุด เวลาที่เสียไปกับการเตรียมงาน ขึ้นงาน อัดเดโม่ และอีกมากมาย จะไปตามทวงใครก็ไม่ได้ ไม่เตรียมก็ไม่ได้ หลายครั้งที่พยายามรอบคอบแล้ว ไตร่ตรองดีแล้ว แต่ก็ไม่วายเกิดปัญหาอีก สุดท้ายก็เสียเปล่าไปทั้งเวลาและค่าน้ำ ค่าไฟ
ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าตอนนี้ห้องอัดดีๆ
เครื่องไม้เครื่องมือดีๆมีมาตรฐานในระดับของห้องอัด
ที่มีอยู่ในประเทศเรามีเหลือเพียงไม่กี่ที่เท่านั้น แล้วทีมีแทบจะทั้งหมดล้วนแล้วเกิดจากการใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวที่มีอยู่แล้วจากกิจการงานอื่นๆมาลงทุนด้วยใจรัก
จริงๆ ซึ่งการสร้างห้องอัดขนาดนั้นถึงแม้จะเป็นเพียงห้องขนาดไม่ใหญ่มากก็ยังต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาทในการสร้างขึ้นมา
ผมท้าได้เลยว่า ใครทำห้องอัดขนาดนั้นในสมัยนี้แล้วกำไรนี่มาเตะตูดผมได้เลย แต่อย่างน้อยผมคนนึงล่ะที่ยังใช้บริการห้องอัดเหล่านั้นอยู่
ถึงผมจะมีห้องอัดของตัวเองที่ลงทุนไปหลายล้านก็ตาม
อะไรที่ห้องอัดผมไม่สามารถรองรับได้ผมก็จะไม่ฝืน
คำว่าคุณภาพก็ยังคงเป็นสิ่งผมให้ความสำคัญกับมันเสมอ
ซึ่งหมายความว่าต้นทุนการผลิตของผมก็จะสูงตามขึ้นไปด้วยเป็นทวีคูณ
แต่ก็ยังเชื่อว่ายังมีอีกหลายๆคนที่ทำเหมือนผม ทำทุกอย่างด้วยใจที่รักในเสียงดนตรี และยังคงมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นผลงานของตัวเองออกไปสู่คนฟัง
ที่เขียนมาทั้งหมดไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้นครับ
แค่เป็นห่วงคนในอาชีพนี้ ในรุ่นต่อๆไปจากนี้
จะต้องเผชิญกับความโหดร้ายโดยบริสุทธิใจในรูปแบบไหนอีกบ้าง
จนถึงทุกวันนี้ ไม่มีอะไรที่จะส่อเค้าเลยว่า อาชีพนี้จะดีขึ้น
ไม่ต้องถึงกับรวยหรอกครับ แค่ไม่แย่ไปกว่านี้ก็ยังดี
ทุกวันนี้ใครที่ถามผมว่าทำยังไงได้เป็นแบบพี่บ้าง ผมจะตอบเลยว่าทำอาชีพอื่นเถอะน้อง ใครมีลูกมีหลานก็ฝากเตือนไว้ด้วยเหมือนกันนะครับ
ปล. ที่พิมพ์มาทั้งหมดนี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกรณีyoutubeนะครับ
ผมแค่โปรดิ๊วเซอร์ตัวเล็กๆคนนึง คงไม่อาจจะฝืนกระแสสังคมได้
อย่างมากก็เลิกออกไปปลูกผัก เลี้ยงไก่ ก็แค่นั้นครับ...