Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
"คนทำเพลง คนแต่ง โปรดิวเซอร์ ไม่ได้อะไรเลย" ไม่เกี่ยวกับเรืองยูทูปเท่าไรแต่อยากให้ลงอ่านดูค่ะ ติดต่อทีมงาน

ไปอ่านเจอมา อ่านแล้วก็ได้รู้อีกมุมมองนึงของคนทำเพลง
เลยอยากให้ลองอ่านกันดูนะคะ
(ยาวมาก แต่เชื่อวาถ้าได้ลองอ่านจะเข้าใจคนที่ทำเพลงกันมากขึ้นค่ะ)





บันทึก  04.20 10/08/55
by Ope Pisitsungkakarn

ผมเป็นคนๆนึงที่ถือว่าโชคดี 
ที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงแทบจะทั้งหมดของวงการดนตรี
ตั้งแต่การอัดลงเทป 4 แทรค จนพัฒนาไปเป็นเทปreel 16 แทรค 
จนถึงเป็นระบบdigital ตั้งแต่ต้องฟังเพลงด้วยแผ่นเสียง 
ต่อมาก็เป็นตลับเทปม้วนใหญ่คล้ายๆตลับเกมส์
จนพัฒนามาเป็นคลาสเซ็ทเทป จนถึงเป็นซีดี

ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง 
ผลลัพท์ในการเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งจะเป็นผลบวกเสมอ เช่น ระบบเสียงดีขึ้น สะดวกในการฟังมากขึ้น อุปกรณ์หาง่ายและมีให้เลือกมากขึ้น 
ทำให้ธุรกิจทางด้านบันเทิงมีความเจริญรุ่งเรือง
เราสามารถที่จะมีเครืองไม้เครื่องมือที่ทันสมัยทัดเทียมกับต่างประเทศได้ไม่ยากนัก
 
แต่เมื่อวันนึง 
ใครก็ไม่รู้คิดค้นวิธีอัดบีบเพลงให้เล็กลงโดยสูญเสียคุณภาพไปบ้าง
แต่ก็สะดวกในการที่จะอัดเพลงหลายๆเพลง
ลงในซีดีหรือแฟลชไดรฟ์เพียงชิ้นเดียว

นับจากวันนั้นทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป 
เกิดการละเมิดลิขสิทธ์เกิดขึ้นมากมายจนไม่สามารถแก้ไขได้
เพลงๆนึงจากเคยที่มีราคาประมาณ 30 บาท
(จากราคาซีดีสมัยนั้นคือประมาณ 300 บาทนะครับ) 
เหลือเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งบาท(แผ่นผี) 

พวกคนทำงานอย่างพวกผมบอกได้เลยว่าล่มสลายไปเกินครึ่ง
รายได้หายไปเกิน 70% ทำให้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนขั้นตอน 
ระบบในการทำงานลงให้เล็กที่สุด ทำต้นทุนให้ถูกที่สุด 

จากที่เคยไปใช้ห้องอัดที่ดีๆมีมาตราฐาน 
ก็กลายเป็นต้องพยายามจบงานทุกอย่างให้ได้ภายในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว
 บางคนอาจจะเถียงนะครับว่า 
เทคโนโลยีสมัยนี้มันน่าจะเอื้ออำนวยในการทำแบบนั้นได้ 
ซึ่งผมก็ไม่เถียงนะครับ มันจบงานได้จริง
 แต่ผมบอกได้เลยว่าคุณภาพที่ได้มันต่างกันมาก 

แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะยังไงส่วนใหญ่ก็ฟังในรูปแบบMP3อยู่แล้ว 
ดีไม่ดีอย่างไรก็คงไม่สำคัญอะไร(มั้ง)  พวกผมทำได้ก็แค่เพียงปรับตัวให้อยู่รอดได้
ซึ่งคนทำเพลงดีๆทีผมรู้จักหลายสิบคนก็เปลี่ยนอาชีพไปทำมาหากินอย่างอื่นแล้ว
 ใครที่่ยังพอปรับตัวได้ หรือมีทุนทรัพย์ส่วนตัวแข็งแรงก็สู้กันต่อไป
 

 มาจนถึงยุคปัจจุบัน 
การพัฒนาในทางเทคโนโลยีก็เป็นไปอย่างก้าวกระโดด 

การได้ฟังเพลงฟรีในทุกวันนี้แทบจะถือเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของคนทั่วๆไป
 เคยได้ยินกับหูหลายครั้งที่ว่า จะไปหาซื้อทำไม มีให้โหลดเยอะแยะ 
ถามว่าผมเข้าใจมั้ย ผมเข้าใจนะครับ อยากฟังเพลงไรก็เข้าเวปsearchหาได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที สะดวกจะตาย แถมไม่เสียตังค์ซักบาท
แถมยังสามารถจัดแคตตาล๊อคเพลงได้ตามที่ชอบ writeลงcdแผ่นเดียว
เปิดฟังได้ตั้งแต่กรุงเทพยันเชียงใหม่โดยไม่ซ้ำกันซักเพลง 

เป็นการเข้าสู่ยุคแห่งการละเมิดลิขสิทธิ์แบบสุดโต่ง 
ประชาชนเกินครึ่งประเทศต้องการฟังเพลงฟรี

 ถามอีกว่าผมเข้าใจมั้ย ผมก็เข้าใจครับ 
หลายๆคนก็บอกว่า ถึงขายซีดีไม่ได้ ขายdownloadไม่ได้

 ก็ยังขายโชว์ได้นี่นา ถูกครับ การได้มีงานโชว์ตัว
 หรือคอนเสริตคือรายได้หลักสุดท้ายของคนที่เป็นศิลปิน 
แต่พวกที่ทำงานอย่างพวกผมล่ะครับ ได้ไปแสดงอะไรกับเค้าทีไหนล่ะ 
จริงอยู่ที่่อาจจะมีรายได้จากลิขสิทธิ์เพลงที่เอาไปโชว์กลับมาอยู่บ้าง

 แต่บอกได้เลยว่าหลักร้อยต้นๆต่อหนึ่งโชว์ครับ
(ต้องหลายเพลงด้วยนะครับ)
 ส่วนรายได้จากการดาวน์โหลด ซีดี หรือ 
ส่วนแบ่งจากรายได้อื่นๆนี่เลิกรอไปนานแล้วครับ 
พวกผมเรียกกันว่าค่าขนมครับ นานๆมาที ทีละขำๆครับ

 
ทีนี้อยากให้ลองหลับตาแล้วนึกภาพตามนะครับ การทำอัลบั้มๆนึง 
ตั้งแต่เริ่มขึ้นงานครั้งแรกโดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 9 - 12 เดือน 

ถ้าเป็นอัลบั้มที่ติดขัดหน่อยอาจใช้เวลาถึง 2 ปีหรือกว่านั้น
 (ใครไม่เชื่อสามารถเช็คในไทม์ไลน์ของผมได้เลยว่าอัลบั้มๆนึงที่ผมทำใช้เวลา
นานขนาดไหน) ค่าใช้จ่ายในการทำอัลบั้ม ไม่ว่าจะเป็น ค่าห้องอัด ค่าจ้างนัก
ดนตรีมาอัดงานให้ ค่าmixเสียง ค่านักร้อง ค่่าคนทำเพลง เขียนเพลง และอีก
สารพัด อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีห้าแสนบาท นี่ยังไม่เกี่ยวกับค่าทำMV ค่าโฆษณา

 อะไรเลยนะครับ ที่นี้ลองนึกดูต่อนะครับ สมมุติว่าผมทำอัลบั้มๆนึง
 โดยมีงบหกแสนบาท หกแสนบาทนี้จะต้องถูกแจกจ่ายไปตามบุคลากรต่างๆที่อยู่ในขั้นตอนการผลิตต่างๆอย่างที่บอกไว้ข้างต้น 

ผมเป็นโปรดิ๊วเซอร์ก็อาจจะได้เยอะหน่อย บวกค่าทำเพลงไปด้วย(ถ้ามี)
ก็น่าจะถึงตัวซัก 6-7 หมื่นบาท และโชคดีที่ผมมีห้องอัดอยู่ที่บ้านอยู่แล้ว
 เลยค่าห้องอัดต่างหากอีกประมาณแสนนึง มากสุดก็ไม่เกินแสนห้า
 แต่โปรดิ๊วเซอร์หลายคนก็ไม่ได้มีห้องอัดเหมือนผมก็รับแต่ค่าโปรดิ๊วเท่านั้น 
  รวมแล้วทั้งโปรเจ็คน่าจะถึงตัวผมประมาณแสนห้าถึงสองแสน 
ถ้าโชคดีอัลบั้มนี้ไม่มีปัญหา ก็น่าจะเสร็จภายในเก้าเดือน (270วัน) 
ลองหารดูนะครับ ถ้าได้สองแสน หารด้วย 270 ก็ตกวันละประมาณ 740 บา
ท ถ้า แสนห้าก็ตกวันละ 555.55 บาท (เลขสวยมาก) 
แต่ถ้าโชคร้ายอัลบั้มนี้ผมใช้เวลาไป18เดือนล่ะ (540วัน)
 ไปหารกันเอาเองนะครับก็มากกว่าแรงงานขั้นต่ำของนายกไม่ถึงร้อยอ่ะครับ 5555

 
คนที่ชอบฟังเพลงส่วนใหญ่คงรู้นะครับว่าสมัยนี้การปล่อยเพลงจะเป็นแบบsingle คือปล่อยมาที่ละเพลง ซึ่งก็หมายถึงว่า ออกเพลงนึง
 พวกผมก็ได้เงินเพลงนึงเหมือนกัน 

เกิดงานไม่ประสพความสำเร็จก็อาจจะต้องหยุด เวลาที่เสียไปกับการเตรียมงาน ขึ้นงาน อัดเดโม่ และอีกมากมาย จะไปตามทวงใครก็ไม่ได้ ไม่เตรียมก็ไม่ได้  หลายครั้งที่พยายามรอบคอบแล้ว ไตร่ตรองดีแล้ว แต่ก็ไม่วายเกิดปัญหาอีก สุดท้ายก็เสียเปล่าไปทั้งเวลาและค่าน้ำ ค่าไฟ
 

ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าตอนนี้ห้องอัดดีๆ 
เครื่องไม้เครื่องมือดีๆมีมาตรฐานในระดับของห้องอัด
 ที่มีอยู่ในประเทศเรามีเหลือเพียงไม่กี่ที่เท่านั้น แล้วทีมีแทบจะทั้งหมดล้วนแล้วเกิดจากการใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวที่มีอยู่แล้วจากกิจการงานอื่นๆมาลงทุนด้วยใจรัก

จริงๆ ซึ่งการสร้างห้องอัดขนาดนั้นถึงแม้จะเป็นเพียงห้องขนาดไม่ใหญ่มากก็ยังต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาทในการสร้างขึ้นมา
 ผมท้าได้เลยว่า ใครทำห้องอัดขนาดนั้นในสมัยนี้แล้วกำไรนี่มาเตะตูดผมได้เลย  แต่อย่างน้อยผมคนนึงล่ะที่ยังใช้บริการห้องอัดเหล่านั้นอยู่ 
ถึงผมจะมีห้องอัดของตัวเองที่ลงทุนไปหลายล้านก็ตาม
 
อะไรที่ห้องอัดผมไม่สามารถรองรับได้ผมก็จะไม่ฝืน 
คำว่าคุณภาพก็ยังคงเป็นสิ่งผมให้ความสำคัญกับมันเสมอ 
ซึ่งหมายความว่าต้นทุนการผลิตของผมก็จะสูงตามขึ้นไปด้วยเป็นทวีคูณ 
แต่ก็ยังเชื่อว่ายังมีอีกหลายๆคนที่ทำเหมือนผม ทำทุกอย่างด้วยใจที่รักในเสียงดนตรี และยังคงมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นผลงานของตัวเองออกไปสู่คนฟัง

 
ที่เขียนมาทั้งหมดไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้นครับ 
แค่เป็นห่วงคนในอาชีพนี้ ในรุ่นต่อๆไปจากนี้
จะต้องเผชิญกับความโหดร้ายโดยบริสุทธิใจในรูปแบบไหนอีกบ้าง

 จนถึงทุกวันนี้ ไม่มีอะไรที่จะส่อเค้าเลยว่า อาชีพนี้จะดีขึ้น
 ไม่ต้องถึงกับรวยหรอกครับ แค่ไม่แย่ไปกว่านี้ก็ยังดี  
ทุกวันนี้ใครที่ถามผมว่าทำยังไงได้เป็นแบบพี่บ้าง ผมจะตอบเลยว่าทำอาชีพอื่นเถอะน้อง ใครมีลูกมีหลานก็ฝากเตือนไว้ด้วยเหมือนกันนะครับ 
 
 
 
ปล. ที่พิมพ์มาทั้งหมดนี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกรณีyoutubeนะครับ 
ผมแค่โปรดิ๊วเซอร์ตัวเล็กๆคนนึง คงไม่อาจจะฝืนกระแสสังคมได้  
อย่างมากก็เลิกออกไปปลูกผัก เลี้ยงไก่ ก็แค่นั้นครับ...

จากคุณ : YSHalling
เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 55 23:22:50




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com