ความคิดเห็นที่ 1 มันเป็นอัลบั้มที่ทำใจลำบากว่าจะฟังด้วยความรู้สึกอย่างไรดี ไม่อยากเอาไปเปรียบเทียบแต่ก็ต้องเทียบเพราะเวอร์ชั่นเก่าๆมันฝังหัวอยู่แล้ว ผมขอย้อนอดีตให้น้องๆเข้าใจนิดนึง ว่าทำไมต้อง naked Let It Be เริ่มต้นโครงการเมื่อต้นปี 1969 หลังจากที่พวกเขาพึ่งเสร็จสิ้นการบันทึกเสียงอันหฤโหดแต่ไม่หฤหรรษ์นักสำหรับ white album ไม่นาน พอลรู้ว่าเขาต้องมีโปรเจ็คอะไรสักอย่างให้วงทำ ไม่งั้นรอยร้าวที่มีก็อาจจะขยายขึ้นจนกลายเป็นจุดจบของวงได้ แผนตอนแรกที่วางไว้คือพวกเขาจะจัดคอนเสิร์ทพิเศษขึ้นที่ไหนสักแห่ง และจะมีการซ้อมดนตรีเพื่อการแสดงครั้งนี้ โดยจะมีการถ่ายทำภาพยนตร์ระหว่างการซ้อมนี้ไว้ด้วย พวกเขาเปลี่ยนบรรยากาศมาซ้อมและถ่ายหนังกันที่ Twickenham Studio โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 2-16 มกราคม และต่อมาก็ย้ายมาบันทึกเสียงที่ Apple Studio ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม จนสิ้นเดือน วันที่ 30 พวกเขาเล่นคอนเสิร์ทบนหลังคาอันลือลั่น... จากคุณ : winston - [ 29 พ.ย. 46 23:48:28 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คอนเซ็พของเซสชั่นนี้คือจะเป็นการบันทึกเสียงสดๆเหมือนในยุคแรกๆของพวกเขา ไม่มีการอัดทับ เล่นผิดก็เล่นใหม่ จอร์จ มาร์ตินแทบจะไม่มีบทบาทอะไรนัก Glyn Johns เป็นวิศวกรคุมเสียงมากกว่าโปรดิวเซอร์ ต่อมาพวกเต่าทองโยนเทปทั้งหมดให้เขาทำเป็นอัลบั้มออกมา ซึ่งกลีนก็ทำออกมาสองมิกซ์ บีเทิลส์ปฏิเสธงานของเขาทั้งสองครั้ง จนพวกเต่าทองหันไปทำ Abbey Road กับ George Martin ในช่วงกลางปี 1969 และออกอัลบั้มมาเรียบร้อย โปรเจ็ค Let It Be ถูกเรียกขึ้นมาปัดฝุ่นอีกครั้ง เมื่อถึงเวลาที่ภาพยนตร์กึ่งสารคดีที่ถ่ายทำจาก session กำลังจะออกฉาย มันต้องการ soundtrack จอห์นเรียกตัว Phil Spector เข้ามาจัดการทำอะไรก็ได้ให้มันออกมาเป็นอัลบั้ม ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่า พอลและจอร์จ มาร์ติน ไม่ทราบเรื่องนี้ และขนาดนั้นสี่เต่าทองก็ใกล้สลายวงรอมร่อ จากคุณ : winston - [ 29 พ.ย. 46 23:53:18 ]

ความคิดเห็นที่ 3 สิ่งที่ฟิลทำลงไปคือการกระทำที่ขัดกับ concept เดิมที่ตั้งใจไว้อย่างสิ้นเชิง เขาทำทุกวิถีทางที่จะให้อัลบั้มมันออกมาดีในสไตล์ของเขา มิกซ์ใหม่ ตัดต่อ ปรับสปีด เพิ่มเสียงร้องประสาน ใส่เครื่องสาย ใส่เอ็คโค่ แต่ไม่ใช่ประเคนลงไปทั้งหมดในทุกเพลงนะจ้ะ แต่การตัดต่อเอาบทสนทนาแทรกลงไปนั้น ไม่ใช่ไอเดียของฟิล มันเป็นสิ่งที่ตั้งใจกันไว้แต่แรกแล้ว แต่การตัดต่อใส่ลงไปของฟิลที่ทำไว้ใน Let It Be LP นั้นดูได้อารมณ์ขัน และถูกกาละเทศะกว่าที่ จอห์นส์ทำนัก จากคุณ : winston - [ 29 พ.ย. 46 23:58:13 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผลงานชิ้นเอกของฟิลมีดังนี้ 1.การยืดความยาว I Me Mine ที่มีแค่นาทีกว่าๆเป็นสองนาทีกว่าๆด้วยการตัดต่ออันแสนแนบเนียน รวมทั้งใส่เครื่องสายเข้าหลอกล่ออีกนิดหน่อย 2.ลดสปีด Across The Universe ใส่เครื่องสายและเสียงร้องประสานหมู่อันโหยหวน 3.ฟางเส้นสุดท้ายสำหรับแมคคาร์ทนี่ย์...แต่งตัวให้กับ The Long And Winding Road ด้วยเสียงประสานและเครื่องสายเช่นกัน (โปรดสังเกตว่าเขาทำเช่นเดียวกับ 3. แต่ผลที่ได้ต่างกัน) โดยไม่ได้ขออนุญาตผู้ประพันธ์แต่อย่างใด 4.ตัดต่อเสียงพูดของพอลและจอห์นไปไว้ต่อท้าย Get Back ทำให้คนฟังไพล่คิดว่านั้นเป็นเวอร์ชั่นจาก Rooftop 5.ตัดเสียง 'All I Want Is You' ในตอนต้นเพลง Dig A Pony ออก จากคุณ : winston - [ 30 พ.ย. 46 00:02:35 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คนที่เป็นเดือดเป็นแค้นมาตลอด 30 ปีที่ผ่านมาที่สุดก็คงต้องเป็น พอล แมคคาร์ทนี่ย์ และใน Anthology เราก็คงได้ฟังเวอร์ชั่นดิบๆของหลายเพลงก่อนที่จะมาผ่านมือของฟิลกันไปแล้ว มันทำให้คนสงสัยว่าแล้วไยต้องมา naked กันอีกเล่า? ในความเห็นของผม ใน Anthology นั้นมันออกจะดิบมากแทบจะไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งเลย แต่ใน naked นี้คือการนำเอาวัตถุดิบทั้งหมดมานั่งฟัง นั่งคัดเลือกเทคต่างๆที่ดีที่สุด มิกซ์ใหม่ พยายามเลี่ยงการโอเวอร์ดับ และใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน"สร้าง"อัลบั้มที่ดีที่สุดออกมาจากวัตถุดิบนั้น ดังนั้นถ้าจะวิจารณ์งาน naked นี้ ก็อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการวิจารณ์งานของวิศวกรบันทึกเสียงที่กุมบังเหียนโปรดิวเซอร์ทั้งสามคนนี้เอง ชื่ออะไรบ้างนะ... จากคุณ : winston - [ 30 พ.ย. 46 00:07:24 ]

ความคิดเห็นที่ 6 แต่ผมออกจะสงสารฟิลอยู่ ถ้าเราจะเอา naked ไปเปรียบกับเวอร์ชั่นของเขาโดยตรงเลย เพราะ 1.Let It Be ยังไม่ได้ผ่านการรีมาสเตอร์เลย เวอร์ชั่นที่เราได้ฟังทางซีดีทุกวันนี้ เป็นเวอร์ชั่นที่ทำมาสเตอร์ไว้ตั้งแต่รุ่งอรุณของยุคดิจิทัล 1987 นู่น 2.Naked ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในการมิกซ์เสียงของปี 2002 ซึ่งถือว่าเอาเปรียบมาก ถ้าแน่จริงน่าจะขุดคอนโซลเดิมที่ Abbey Road ออกมาทำแบบยุคนั้นสิ (ใน Anthology เป็นการผสมผสานระหว่างเครื่องมือเดิมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งผมว่าสุ้มเสียงออกมาน่าฟังกว่าใน Naked ที่มีหลายแทร็คออกมาแห้งแล้งมากๆ แม้จะคมชัดและทรงพลัง แต่มันไม่มีอารมณ์และความเป็นดนตรีแบบเดิมๆเลย-หรือเป็นเพราะคนทำไม่มี"หู"ทางดนตรี?) แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 46 00:56:18 จากคุณ : winston - [ 30 พ.ย. 46 00:11:31 ]

ความคิดเห็นที่ 7 'Naked' ก็คือการเปลือยถอดอาภรณ์ที่ฟิล สเป็กเตอร์แต่งองค์ทรงเครื่องให้บทเพลงของพวกเขาออกนั่นเอง แต่มันไม่ใช่แค่นั้นแน่ๆ เรามาฟังกันเพลงต่อเพลงเลยดีกว่า ค่อยๆถอดทีละชิ้น...ละชิ้น.... Get Back เริ่มต้นอัลบั้ม naked จัดเป็นการเลือกเพลงที่ชาญฉลาด ฟังเพลงนี้เพลงเดียวก็เป็นตัวแทนของซาวนด์โดยรวมของแผ่นได้ เสียงร้องพุ่งดนตรีกระชับแน่น รู้สึกเหมือนพวกเขาเล่นในห้องที่มีการบุอย่างแน่นหนา ไม่มีเสียงสะท้อนเอาเสียเลย (เกิดจากการพยายาม remove เสียง hiss ต่างๆออกซะจนเหี้ยนเตียน โอเคคุณได้ความสะอาดมา แต่มันไม่เหลือบรรยากาศอะไรเลย) อะไรๆก็พอรับได้ แต่การจบแบบห้วนๆนี้ ผมว่าไร้รสนิยมเป็นบ้า เหตุผลของพวกเขา(เอ็นจิเนียร์) ที่ไม่ใส่ท่อน coda เอาไว้เหมือนใน single version ก็คือ "นั่นเป็นการตัดต่อ" แต่พอฟังไปเรื่อยๆคุณจะทราบว่าพวกนี้ double standard แค่ไหน (อาจจะ triple ด้วยซ้ำ) แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 46 01:03:59 แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 46 00:21:03 จากคุณ : winston - [ 30 พ.ย. 46 00:15:14 ]

ความคิดเห็นที่ 8 Dig A Pony แทบไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิมเลยมั้งหรือถ้ามีก็คงจะซ่อนไว้ลึกมาก แต่เสียงร้องและกีต้าร์ชัดเจนขึ้น ตามประสาการรีมาสเตอร์ มีการตัดเสียง 'all i want is you' ออกไปเหมือนกับที่ฟิลทำ เหตุผลที่เหล่าโปรดิวเซอร์ให้ในคราวนี้คือ "เห็นว่ามันเข้าท่าดี" จากคุณ : winston - [ 30 พ.ย. 46 00:17:51 ]

ความคิดเห็นที่ 9 For You Blue เพิ่งได้ดูพอลกับริงโก้เล่นเพลงนี้ใน concert for george ไป วินาทีที่พอลชี้นิ้วไปที่ริงโก้อย่างคนรู้กันนั้น แค่นั้นก็คุ้มค่าดีวีดีแผ่นนี้แล้วครับ สำหรับใน naked นี้ก็ไม่มีอะไรใหม่เลย ดนตรีคมกริบขึ้น แต่บรรยากาศรอบๆยังดูเป็นธรรมชาติมากกว่า get back จากคุณ : winston - [ 30 พ.ย. 46 00:24:05 ]

ความคิดเห็นที่ 10 The Long And Winding Road เป็นเพลงเดียวที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะมาจากคนละเทคกันเลย เทคนี้เป็นเทคสุดท้ายที่พวกเขาเล่นกัน อันเดียวกับที่อยู่ในภาพยนตร์ 'Let It Be' แม้หลายคนจะชอบ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นแค่การซ้อมที่เอาจริงเอาจังครั้งหนึ่งเท่านั้น ยังไม่น่าจะเป็น final version ได้ ผมยังชอบ เวอร์ชั่นโหยหวนของฟิลอยู่ครับ ไม่ว่าพอลจะเดียดฉันทน์มันแต่ไหน แต่ผมคิดว่านั่นเป็นงานของคนที่เข้าใจอารมณ์ของบทเพลงและดนตรีอย่างแท้จริงครับ จากคุณ : winston - [ 30 พ.ย. 46 00:30:11 ]

ความคิดเห็นที่ 11 Two Of Us นี่สิเยี่ยม พวกเขาสร้างชีวิตชีวาให้กับบทเพลงที่"เกือบดี"เพลงนี้ขึ้นมาได้โข และถ้าว่างลองคลิกไปดู video clip ใน beatles.com ด้วยสิครับ คุณจะรักเพลงนี้ขึ้นอีก สำหรับผม พอฟังเวอร์ชั่นนี้จบต้องบอกว่า Two Of Us ไม่ใช่เพลงที่"เกือบดี"อีกต่อไปแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 46 00:58:09 จากคุณ : winston - [ 30 พ.ย. 46 00:32:47 ]

ความคิดเห็นที่ 12 I've Got A Feeling เป็นอีกเพลงที่การมิกซ์ใหม่นี้เวิร์ค พวกเขานำ rooftop takes ทั้งสองมาตัดต่อกันอย่างไร้รอย เสียงร้องของพอลแหกปากได้อร่อยมากๆ... เปิดดังๆเลยสิครับ (ฟังจอห์นเล่นกีต้าร์เดี่ยวตอนเปลี่ยนท่อน แตว แตว แตว แตว แตว แล้วนึกถึงตอนคุณครูพรสอนในหนังทุกที) จากคุณ : winston - [ 30 พ.ย. 46 00:35:43 ]

ความคิดเห็นที่ 13 One After 909 เป็นอีกครั้งที่คนที่ยึดติดกับอดีตอย่างผมยอมรับท่อนจบแบบนี้ไม่ได้จริงๆ เทคนี้ไม่มีอะไรใหม่ มาจาก rooftop อันเดิม เสียงกลองหนักแน่นขึ้นกว่าเดิม เสียงร้องชัดจนน่ากลัว จากคุณ : winston - [ 30 พ.ย. 46 00:38:33 ]

ความคิดเห็นที่ 14 Don't Let Me Down อันนี้ฟังด้วยความสบายใจ ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร มาจากการตัดต่อ rooftop versions สองครั้งเข้าด้วยกัน (นัยว่าเพื่อหลบท่อนที่จอห์นดำน้ำเนื้อที่ท่านแต่งเอง ซึ่งความจริงผมว่าเป็นเสน่ห์ดีออก) ถ้าจะเทียบ(เอาจนได้)กับซิงเกิ้ลก็คงไม่เนี้ยบเท่า แต่ความสดกินขาด และอย่างว่า..มิสเตอร์ เลนนอน เพลงเดียวกัน ร้องกีทีก็ไม่มีเหมือนเดิม แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 46 01:05:21 แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 46 00:59:30 จากคุณ : winston - [ 30 พ.ย. 46 00:40:59 ]

ความคิดเห็นที่ 15 I Me Mine พวกเขาไม่อาจใช้เบสิกแทร็คในเพลงนี้ได้ เพราะมันมีแค่กีต้าร์กับกลองและเสียงร้องของจอร์จที่ร้องไกด์เฉยๆ ก็เลยต้องมาใช้เทคที่โอเวอร์ดับแล้วเหมือนของฟิล พวกเขาตัดต่อให้ยาวขึ้นเหมือนกัน แต่เห็นเค้าว่าคนละที่กันกะของฟิล ผมก็คร้านที่จะไปนั่งฟังเทียบ เพราะออกจะเฉยๆกับเพลงนี้อยู่แล้ว แต่การที่ไม่มีออเคสตร้าในเวอร์ชั่น nakedนี้ยังมองไม่ออกว่าจะเป็นข้อดีตรงไหน? จากคุณ : winston - [ 30 พ.ย. 46 00:45:58 ]

ความคิดเห็นที่ 16 Across The Universe เป็นเวอร์ชั่นที่ 4 เข้าไปแล้วสำหรับเพลงนี้ อันนี้ naked จริงๆครับ สปีดดั้งเดิม ไม่ช้าหรือเร็ว ดนตรีมีแค่กีต้าร์ ทอม-ทอม และ แทมบูรา แนะนำให้ใส่หูฟังฟังนะครับ สำหรับมิกซ์นี้ ไอเดียในการวางตำแหน่ง stereo image และการใส่ reverb และ fade จัดว่าเข้าท่าครับ เอ แล้วอย่างนี้จะเรียก naked ได้ใหม? บอกแล้วว่ามันหลาย standard จริงๆ แต่สรุปแล้วเวอร์ชั่นนี้ออกมาน่าฟังนะครับ เพราะมากๆ... ผมชอบทุกเวอร์ชั่นของเพลงนี้ ยกเว้นใน Past Masters 2 จากคุณ : winston - [ 30 พ.ย. 46 00:49:29 ]

ความคิดเห็นที่ 17 Let It Be เป็นอีกเพลงที่มีการตัดต่อกันอุตลุต ไม่รู้เอามาจากไหนกันบ้าง ผมชอบเสียงร้องของพอลมาก โดยเฉพาะท้ายๆเพลง อารมณ์งี้สุดๆ เสียงประสานของจอร์จและจอห์นก็เนียนสวย คีย์บอร์ดของเพรสตันโดดเด่นกว่าทุกครั้ง พี่ walrus ชอบโซโล่กีต้าร์ของจอร์จในเวอร์ชั่นนี้ แต่ผมว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่ทำลายบทเพลงครับ โธ่ ฟังดูก็รู้ว่าจอร์จยังคลำหาโน้ตที่ถูกต้องไม่เจอ...ผมชอบในสองเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้มากกว่าครับ อย่างไรก็ตาม ลางเนื้อชอบลางยาขอรับ แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 46 01:19:58 จากคุณ : winston - [ 30 พ.ย. 46 00:52:20 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แผ่น Fly On The Wall ฟังไปรอบเดียว ไม่ขอวิจารณ์ แต่ยกคำพูดฝรั่งคนนึงมาว่า ถึงแม้มันจะเป็นของแถมแต่มันก็... It's a waste of plastic....!!! (มันคงไม่แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง อย่างน้อยก็ได้ฟัง Imagine ในปี 1969!) แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 46 01:17:54 จากคุณ : winston - [ 30 พ.ย. 46 00:53:34 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ให้ดาวเล่นๆสำหรับแต่ละแทร็ค ดาวชุดแรกเป็นของฟิล ชุดสองเป็นของ naked และชุดสาม(ถ้ามี) เป็นของมาร์ติน Get Back*****/****/****** Dig A Pony***/*** For You Blue***/***.5 The Long and Winding Road*****/**** Two Of Us***/**** I've Got A Feeling***/***.5 One After 909***/*** Don't Let Me Down -/****/****** I Me Mine***/**.5 Across The Universe****.5/*****/*** Let It Be*****/*****/****** แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 46 01:21:14 จากคุณ : winston - [ 30 พ.ย. 46 01:15:27 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ยอดเยี่ยมคับ .... แต่คงต้องไปลองหามาฟังก่อน จะได้ตัดสินใจได้ถูก ๆ คับ จากคุณ : กาดิ่ง - [ 30 พ.ย. 46 01:42:04 A:203.113.38.12 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 อย่างน้อย งานรีวิวผมก็มีเพื่อนละครับ จากคุณ : คาปูชิโน - [ 30 พ.ย. 46 09:32:09 ]

ความคิดเห็นที่ 22 สรุป NAKED นี่เข้าอันดับที่ 5 ในอาทิตย์แรกของ billboard ไม่เลวเลยนะเนี่ย THE BILLBOARD 200 1. In the Zone, Britney Spears 2. Beg for Mercy, G-Unit 3. Blink-182, Blink-182 4. The Black Album, Jay-Z 5. Let It Be ... Naked, the Beatles Issue date: Dec. 6, 2003 จากคุณ : h - [ 30 พ.ย. 46 17:05:47 A:203.159.36.10 X:203.159.41.47, 203.159.18.86 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อ้าว อันดับ 5...... yeah!!!!!!! งั้นเพื่อนๆ ก็จะได้แผ่นเอื้ออาทรแผ่นจริงของผมไปยืมกันนะสิ (แล้วตูซื้อก่อนทำไมกันเนี่ย ทำไมไม่รอแผ่นจากคุณ sam!!!!) จากคุณ : คาปูชิโน - [ 30 พ.ย. 46 21:18:17 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ทำไมผมไปดูที่เวป billboard ไม่เหมือนของคุณ h ยังไงช่วยนำลิงค์มายืนยันด้วยนะครับ จากคุณ : คาปูชิโน - [ 30 พ.ย. 46 21:49:44 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...ในที่สุดก็มีคนเจอบิลบอร์ดแล้ว เรื่องนี้ผมคุยอยู่กับหมอวินอยู่แล้วแต่มันยังไม่ปรากฏใน Top 200 Albums เสียที แต่โผล่อยู่ในหน้า Home ด้านล่างๆที่มีรูปน้องหนูบริตนีย์ ผมเพิ่งดูเมื่อกี้นี้ (4 ทุ่มครึ่ง วันอาทิตย์) ก็ยังไม่เห็นอัพเดทของวันที่ 6 ธค. ออกมา เสียใจด้วยนะคุณคาปูฯ มันยังไม่เป็นทางการครับ แต่ขอเอาใจช่วย ท่าทางจะมีลุ้นซะด้วย จากคุณ : Sam - [ 30 พ.ย. 46 23:20:25 A:203.209.90.104 X: ]

ความคิดเห็นที่ 26 บอกแล้ว ซื้อเองง่ายกว่า 555 จากคุณ : คาปูชิโน - [ 1 ธ.ค. 46 09:59:38 ]

ความคิดเห็นที่ 27 รอหน่อยดิพี่คาปู ท่าจะเอาแบบเป็นทางการ ก็ต้องรอวันที่ 6 ธ.ค. อ่ะ แต่รับรองว่าได้ชัวร์ ๆ ว่าแต่ที่พี่ซื้อมาขอผมนะ ไหน ๆ ก็ไม่ชอบไ่ม่ใช่เหรอ ชุดนี้น่ะ จากคุณ : h - [ 1 ธ.ค. 46 10:01:38 A:203.144.241.41 X: ]

ความคิดเห็นที่ 28 เสียใจ...ขอให้แวนด้าดีก่าพี่หลอด ...ออกจะนิสัยดี น่ารัก จากคุณ : adืnav_ja - [ 1 ธ.ค. 46 10:52:29 A:203.154.97.196 X:10.1.11.27 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ให้ยืมก็พอครับ ไม่ชอบ แต่ก็ไม่ถึงกับเกลียดขนาดทิ้งน่ะ แค่ไว้บนหิ้งก็พอ จากคุณ : คาปูชิโน - [ 1 ธ.ค. 46 12:21:50 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณครับ สำหรับบทวิจารณ์ ทำให้ฟังแผ่นนี้เพราะขึ้นอีกเยอะเลย จากคุณ : fab4 - [ 1 ธ.ค. 46 20:55:09 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณครับ อ่านแล้วหูวัยรุ่นอย่างผมน่าจะชอบ คห ที่ 2 "..ขนาดนั้นสี่เต่าทองก็ใกล้สลายวงรอมร่อ" อะไรจะขไนหนาด 5555 จากคุณ : Vivid in Disguise - [ 2 ธ.ค. 46 11:45:46 ]

ความคิดเห็นที่ 32 อ่านละเอียดกว่าคนเขียนอีก(ว่ะ) จากคุณ : winston - [ 2 ธ.ค. 46 22:34:51 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ก็อยากจะปรู๊ฟให้ฟรีๆนี่หว่า จากคุณ : Vivid in Disguise - [ 3 ธ.ค. 46 12:19:30 ]