ความคิดเห็นที่ 7
อีกเกร็ดที่เป็นประเด็นหลักในคราวนี้ก็คือ ภาพเหมือนสีน้ำมันภาพ "รส " ที่อาจารย์ชิดเชื้อเขียนในภาพยนตร์ มีต้นแบบมาจากจิตรกรรมสีน้ำมันชื่อดังของศิลปินบรมครู จักรพันธุ์ โปษยกฤต ในสมัยที่ศิลปินแห่งชาติท่านนี้ยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลย
แต่อย่าเข้าใจผิดคิดว่า ชิดเชื้อ คือ จักรพันธุ์ ในชีวิตจริง (ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นคนเขียนภาพรส เพื่อเข้าฉากใน ความรักครั้งสุดท้าย ครั้งแรก) เป็นที่รู้กันในแวดวงละแวกหน้าพระลานว่า "ชิดเชื้อ" ตัวจริงในชีวิตของ
สุวรรณี คือ "พนม สุวรรณนารถ" ศิลปินหัวก้าวหน้าผู้ถนัดงานแนวนามธรรม
จักรพันธุ์ โปษยกฤต เขียนภาพเหมือนของ สุวรรณี ไม่ต่ำกว่า 3 ภาพ แต่มีอยู่ 2 ภาพที่ดังที่สุด คอศิลปะได้เห็นบ่อยที่สุด ทั้งจากงานจริงและที่ตีพิมพ์ในหนังสือต่างๆ มากมาย
ภาพแรกชื่อว่า ภาพเหมือน (สุวรรณี สุคนธา) ได้รางวัลเหรียญเงิน สาขาจิตรกรรม จากการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 17 ในปี 2510 ภาพนี้ อาจารย์จักรพันธุ์ จงใจเลือกเอาท่านั่งเท้าคางที่สุวรรณีชอบนั่งจนติดนิสัย
จักรพันธุ์เล่าในหนังสืองานศพของ สุวรรณี สุคนธ์เที่ยง ในปี 2527 ว่า
"ถึงแม้อาจารย์จะดูกระฉับกระเฉง ร่าเริง ระคนแหววอยู่เสมอ แต่ลึกลงไปแล้ว ดูจะหมองหม่นว้าเหว่รัดทดหรืออย่างไร หรืออ้างว้างไม่เห็นหนทางที่จะพึ่งพิงใคร ตัวอาจารย์เองคงจะทราบดีกว่าใครๆ ข้าพเจ้าได้เขียนรูปอาจารย์เมื่อ พ.ศ.2509 เป็นรูปนั่งเท้าคางมองเหม่ออยู่คนเดียว สวมเสื้อแขนกุดสีเขียวมะกอกคร่ำ
สุวรรณี ผู้นี้เป็นทั้งอาจารย์ที่เคยสอน วิชาวิจัยศิลปไทยให้แก่จักรพันธุ์ เมื่อสมัยที่เขาเรียนอยู่คณะจิตรกรรม ชั้นปีที่ 3 และเป็นคนชักชวนให้เขียนหนังสือในนามปากกา ศศิวิมล ลงตีพิมพ์ในนิตยสาร ลลนา ที่สุวรรณีนั่งแท่นเป็นบรรณาธิการ หลังจากลาออกจากการสอนในมหาวิทยาลัย
ในภาพเขียนนี้ สุวรรณีนั่งอยู่ในชุดโต๊ะและเก้าอี้ไม้แบบพนักพิงสูง เป็นบรรยากาศใน ร้าน(ไอ้)เนี้ยว ของชาวหน้าพระลาน (ชื่อตามป้ายร้านคือ พงเต้ง) ร้านอาหารและเครื่องดื่มมึนเมาที่สุวรรณีและพรรคพวกมักไปพบปะสังสรรค์กันเกือบทุกเย็น บ่อยครั้งที่ร้านเนี้ยวจะเป็นฉากหนึ่งในนิยายหลายเรื่องของสุวรรณี รวมทั้ง ความรักครั้งสุดท้าย
เมื่อเป็นภาพยนตร์ท่านมุ้ยยกกองไปถ่ายถึงที่จริง สุวรรณี มักจะเรียกขาน ร้านเนี้ยว ในหนังสือของเธอว่า ร้านตรงข้ามประตูวิเศษฯ เป็นประตูวิเศษไชยศรี ทางเข้าหลักของพระบรมมหาราชวัง ที่อยู่ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยศิลปากรนั่นเอง
อีก 2 ปีต่อมา จักรพันธุ์ส่งภาพสีน้ำมันอีกภาพเข้าประกวดในการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 19 ปี 2512 ได้รางวัลเหรียญเงินอีกเช่นเคย มีชื่อภาพว่า กลุ่ม ภาพของสุวรรณีอยู่ตรงกึ่งกลางภาพ เธออยู่ในท่าประจำตัวอีกครั้ง แต่คราวนี้ รายล้อมไปด้วยคนสนิทที่ใกล้ชิดเธอ ผู้ชายที่ยืนอยู่คือ เต๋อ ชาญณรงค์ ดิษฐานนท์ อาจารย์และนักเขียนภาพประกอบให้กับ ลลนา ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเพาะช่าง
ผู้หญิงสวยที่นั่งหันหน้าหาคนดูคือ ตุ๊กแก ภรรยาของประติมากร แหลมสิงห์ ดิษฐพันธ์ ปัจจุบันแหลมสิงห์เป็นเจ้าของโรงหล่อ เคยเป็นนายกสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยศิลปากร ในภาพนี้แหลมสิงห์อยู่ทางด้านขวาบน
ผู้หญิงอีกคนที่นอนฟุบอยู่กับโต๊ะคือ สุนันท์ คชะภูติ แม่ของ โม่งเม้ง ดีไซเนอร์ที่ยังเวียนว่ายอยู่แวดวงแฟชั่นปัจจุบัน
แพ็ท ต้นแบบของตัวละคร พัท คือชายหนุ่มที่นั่งใกล้กับสุวรรณีมากที่สุด แพ็ทหรือ น้าแพ็ท ของรุ่นน้องๆ เป็นนักวาดภาพเหมือน ภาพล้อและการ์ตูน ที่เก่งกาจ เชี่ยวชาญและวาดได้สวยอย่างหาใครมาเทียบได้ลำบาก
เขาคือกำลังสำคัญคนหนึ่งในการผลิต ลลนา ทั้งทำภาพประกอบและทำอาร์ตเวิร์คหนังสือ
แพ็ทคือสามีใหม่ในชีวิตจริงของ สุวรรณี สุคนธ์เที่ยง (ถ้าอยากรู้ว่า แพ็ท จะหน้าคล้าย สรพงษ์ ชาตรี, เต๋อ เรวัติ พุทธินันท์, โจ นูโว และ สราวุฒิ มาตรทอง ขนาดไหน ก็ลองไปแอบดู (น้า)แพ็ท ได้ที่ร้านอาหารเรือธง)
ส่วนผู้ชายหน้าแดงก่ำ มือขวาถือแก้วเหล้า มือซ้ายคีบบุหรี่คือ สาโรช จารักษ์ ประติมากรและอดีตผู้อำนวยการสร้างพระพุทธมณฑล ประจำอยู่ในกรมศิลปากรผู้ล่วงลับไปแล้ว
ภาพนี้จิตรกรนำเอาเฟอร์นิเจอร์ในร้านเนี้ยวมาจัดวางในบรรยากาศที่ดูแปลกตา ทั้งเหงาลึกลับ แต่ละคนต่างมีบุคลิกที่ต่างกัน ทั้งท่าทางและสีสันที่ปรากฏออกมาแบบเกินจริง
ครั้งล่าสุดของ ความรักครั้งสุดท้าย
ภาพยนตร์ ความรักครั้งสุดท้าย ที่ท่านมุ้ยทำเป็นครั้งที่ 2 ในปี 2546 นี้ ห่างจากครั้งแรก 28 ปี ท่านมุ้ยตัดสินใจไม่ทำเป็นภาพยนตร์ย้อนยุค ท่านได้ดัดแปลงให้เป็นเหตุการณ์ในยุคปัจจุบัน โดยคงโครงสร้างหลักไว้
แต่พยายามรักษารายละเอียดบางอย่างเอาไว้
เหม่เหม ศิริประภา ชุมสาย ณ อยุธยา แสดงเป็น รส,
สราวุฒิ มาตรทอง รับบทเป็น พัท และ กมล ศิริธรานนท์ แสดงเป็น ชิดเชื้อ
ฉากที่ ชิดเชื้อ เขียนภาพ รส ยังคงไว้ คราวนี้ ประสพโชค ธนะเศรษฐวิไล ผู้ออกแบบงานสร้างที่เคยฝากฝีมือไว้ใน สุริโยไท กลับมาช่วยงานท่านมุ้ยอีกครั้ง
ประสพโชค ไปตามเพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่ที่วิทยาลัยช่างศิลปะจนถึงคณะจิตรกรรมฯ นั่นคือ พิชิต ตั้งเจริญ ซึ่งปัจจุบันเป็นศิลปินและอาจารย์ภาควิชาจิตรกรรม แห่งมหาวิทยาลัยศิลปากร มาควบคุมการเขียนภาพนี้เพื่อเข้าฉาก
ท่านมุ้ยทรงถ่ายภาพเหม่เหม ในท่านั่งเท้าคางตามแบบฉบับของสุวรรณี โดยมีภาพเขียนของจักรพันธุ์เป็นต้นแบบแห่งแรงบันดาลใจ แต่คราวนี้ไม่ใช่ ร้านเนี้ยว แต่เป็น มิ่งหลี ร้านอาหารเก่าแก่สมัยรัชกาลที่ 6 รุ่นเดียวกับร้านเนี้ยว
มิ่งหลีเป็นร้านอาหารจีนไหหลำที่อยู่ตึกแถวเดียวกันกับร้านเนี้ยว ร้านเนี้ยวอยู่หัวถนนหน้าพระลาน ส่วนมิ่งหลีอยู่อีกปีกหนึ่งที่ติดกับกำแพงมหาวิทยาลัยศิลปากร
ในทศวรรษ 2510 เป็นยุคที่สุวรรณีนั่งกินดื่มกับพรรคพวกที่ ร้านเนี้ยว ร้านนี้เป็นที่สำหรับอาจารย์และศิลปินรุ่นเล็ก
ส่วนที่มิ่งหลีนั้นเป็นแหล่งของพวกรุ่นใหญ่ อย่าง อาจารย์เขียน ยิ้มศิริ และราชบัณฑิตอย่าง เสฐียรโกเศศ, มานิจ ชุมสาย ณ อยุธยา พ่อของ ดร.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา (เหม่เหม เป็นหลานปู่ของท่านมานิจ)
ความรักครั้งสุดท้าย ครั้งนี้ย้ายฉากจากร้านหัวถนนมาสู่ มิ่งหลี
พิชิต ตั้งเจริญ รับสั่งจาก ท่านมุ้ย ผ่าน ท่านเบี้ยว ประสพโชค โดยมีภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ท่านเป็นแบบ ภาพนี้สันนิษฐานว่า ท่านมุ้ยคงจะนำเอาปัจจัยบางอย่างของภาพเขียน 2 ภาพมาผสมกัน
หนึ่งคือ ภาพเหมือน (สุวรรณี สุคนธา) ของจักรพันธุ์ที่กล่าวไปแล้ว ส่วนภาพที่สองคือ ภาพเหมือน (สุวรรณี) ที่เขียนขึ้นในปี 2499 โดยฝีมือของอาจารย์ทวี นันทขว้าง จิตรกรบรมครู อดีตสามีและพ่อของลูกๆ ทั้งสี่ของสุวรรณี
ภาพที่ ครูวี เขียนเป็นภาพภรรยาของท่านในเสื้อที่มีคอและกระดุมแบบจีน ภาพของรสที่ท่านมุ้ยจัดขึ้นมาให้เหม่เหมสวมบท แม้จะต่างกันในรายละเอียด แต่ก็เป็นเสื้อแบบจีนเช่นกัน
อาจารย์พิชิต เกณฑ์เอาศิษย์เอกที่กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 มาทำการขึ้นรูป ศิษย์ทั้งสองคือ มงคล แซ่หลี และ พรรษา พุทธรักษา อาจารย์เป็นผู้กำหนดทิศทาง แล้วมาแต่งแก้อารมณ์และบรรยากาศของภาพในขั้นสุดท้าย
พิชิตเผยว่า เขาได้แก้จากภาพที่เจือสีเข้าไปในบรรยากาศค่อนข้างมากแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ จนภาพนี้มีบรรยากาศของแสงและแดดแบบเมืองไทยมากขึ้น ลดสีที่เจืออยู่ทั่วไปให้นุ่มนวลขึ้น พยายามเติมอารมณ์เหงาและบุคลิกของคนโรแมนติกแบบสุวรรณีเข้าไป
พิชิต บอกว่าเขาเขียนภาพ รส-เหม่เหม แต่กลับคิดถึง อาจารย์สุวรรณี พยายามเขียนบุคลิกของสุวรรณี เป็นภาพตัวตนของสุวรรณี ที่เขารู้จักและมีโอกาสพบและพูดคุยอยู่บ้าง ที่เขาจำได้แม่นคือ ครั้งที่เขายังเป็นนักเรียนช่างศิลป ชั้นปีที่ 2 เดินทางไปรับ ทุนน้ำพุ (ที่มอบให้นักเรียนช่างศิลป) จาก อาจารย์สุวรรณีที่กองบรรณาธิการลลนา
พิชิต เป็นคนแรกที่ได้ทุนนี้ ทุนที่ชื่อเดียวกับ น้ำพุ ลูกชายของสุวรรณี สุคนธ์เที่ยง น้ำพุ คือที่มาหนังสือ เรื่องของน้ำพุ ที่ต่อมากลายเป็นภาพยนตร์เรื่อง น้ำพุ โดย ยุทธนา มุกดาสนิท (ผู้ช่วยผู้กำกับใน ความรักครั้งสุดท้าย ครั้งแรก)
และชื่อ น้ำพุ นี้ก็เป็นชื่อของคนๆ เดียวกับเพื่อนร่วมรุ่นที่ช่างศิลปของ พิชิต และ ประสพโชค เป็นเพื่อนที่ต้องจากไปเสียก่อนเพราะยาเสพติด ในขณะที่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 เมื่อปี 2517
ในภาพยนตร์ ความรักครั้งสุดท้าย ชิดเชื้อเขียนภาพนี้ด้วยความคิดถึงรส แม่ม่ายสาวทรงเสน่ห์ เบื้องหลังของฝีแปรงแห่งความคิดถึงรสโดยชิดเชื้อ ยังมีฝีแปรงแห่งความคิดถึงของพิชิต แต่เป็นความคิดถึงที่ถอยหลังไปในราว 28 ปี เมื่อครั้งที่ได้พบอาจารย์สุวรรณี
ไม่น่าเชื่อว่า ภาพผู้หญิงเหงานั่งเท้าคางนี้ จะเป็นภาพเขียนที่มีมิติทางเวลาของชีวิตจริง นวนิยาย และ ภาพยนตร์ซ้อนกันอยู่หลายระดับ จาก จักรพันธุ์ ที่เขียนภาพ สุวรรณี
สมภพ สวมบท ชิดเชื้อ เขียนภาพ รส ที่เล่นโดย ภัทราวดี
มาถึง พิชิต ที่เขียนภาพให้ กมล นำไปสวมบทเป็น ชิดเชื้อ ที่เขียนภาพ รส ซึ่งมี เหม่เหม รับบทภาพผู้หญิงเหงานั่งเท้าคางชิ้นล่าสุดใน ความรักครั้งสุดท้าย ครั้งใหม่นี้
จิตรกรเขียนขึ้นด้วยความเคารพในฝีมือบรมครูทางจิตรกรรมของจักรพันธุ์ โปษยกฤต และด้วยความระลึกถึงอาจารย์คนหนึ่งที่เป็นแม่เพื่อน นามว่า สุวรรณี สุคนธ์เที่ยง นักเขียนและบรรณาธิการที่ใครหลายคนยังคงคิดถึง http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home/searchdata/news/http/www.bangkokbiznews.com/jud/sun/20030203/page1.html&Query=จักรพันธุ์%20+%20โปษยกฤต
จากคุณ :
ว่านน้ำ
- [
18 ม.ค. 47 14:04:51
]
|
|
|