ครั้งแรกกับเรดิโอเฮด ณ แดนซากุระ (Radiohead live in Osaka)

    เรื่องเริ่มต้น เมื่อถึงคราวไปเยี่ยมน้องชายที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ช่วงวันที่ตั้งใจจะไป มีที่ตรงกับการทัวร์ของเรดิโอเฮด ที่โอซาก้า วันที่ 14-15 เมษายน 2547 น้องชายตั้งใจจะไปดูอยู่แล้ว ฉันเองก็อยากดูคอนเสิร์ตของเรดิโอเฮดสักครั้งหนึ่ง
    ตกลงใจจองวันที่ 15 เมษายน แต่ก็มีปัญหาเกิดขึ้นจึงต้องไปจองเพิ่มวันที่ 14 เมษายน และฉันกับน้องชายก็มีกำหนดการไปดูคอนเสิร์ตเรดิโอเฮดกันในวันที่ 14 เมษายน ค่าตั๋วที่จ่ายไปทุกที่ราคาเท่ากันหมด 7500 เยนต่อคน (เงินไทยประมาณ 2700 บาท)

    ถึงวันคอนเสิร์ต เราต้องนั่งรถไฟใต้ดินจาก Umeda ไปลงที่ Nakafuto โดยที่ต้องมีการเปลี่ยนรถไฟ 2 ครั้ง ค่าเดินทางเฉพาะขาเดียวราคา 310 เยน หลังจากลงที่ Nakafuto เราก็เดินตามฝูงชนที่คงตั้งใจมาดูเรดิโอเฮดเหมือนกันไปยัง Intex Osaka ทางเข้ามีลักษณะเป็นเหมือนหัวลำโพง พอเดินเข้าไป ทางด้านขวามีซุ้มขายพวก โปสเตอร์ เสื้อ ของที่ระลึกต่างๆ โดยจะมีตัวอย่างกับราคาติดบอกไว้ให้ ราคาก็ถือว่าแพงใช้ได้ อย่าง โปสเตอร์ก็ 1000 เยน คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 370 บาทได้
    ฉันกับน้องชายเดินดูของในซุ้ม น้องบอกว่าเอาไว้ดูคอนเสิร์ตเสร็จค่อยออกมาซื้อละกัน เวลาเข้าไปดูมันเบียดถือของไปจะลำบากหลังจากนั้นเราก็เดินไปหาซื้อฮ็อทด็อกทานกันหิว แล้วก็เตรียมไปเข้าแถวเพื่อเข้าสู่พื้นที่คอนเสิร์ต

    คอนเสิร์ตจัดในอาคารมีลักษณะคล้ายโรงยิม พื้นไม้ เขาแบ่งพื้นที่ที่ดูออกเป็น 4 ส่วน A-R กับ A-L คือส่วนหน้า ด้านขวาและซ้าย B-R กับ B-L คือส่วนหลังด้านขวาและซ้าย บัตรที่ซื้อมาราคาเท่ากัน ก็แล้วแต่ว่าจะได้ตรงบล็อกไหน สำหรับเราสองคนได้ตรงส่วน B-L เขาจะแบ่งแต่บล็อกโดยมีรั้วเหล็กกั้นไว้ ตรงกลางสถานที่จะมีส่วนที่เป็นเจ้าหน้าที่คุมเสียงอยู่ ฉันกับน้องชายเดินเข้าไปตรงบล็อก B-Lได้อยู่ตรงประมาณแถวที่สามจากรั้วเหล็ก เราเข้ามายืนตอนเวลาประมาณ 18.00 น. ซึ่งตามหน้าบัตร คอนเสิร์ทจะเริ่มเวลา 19.00 ทุกคนก็ยืนรอกันไป โดยมีเสียงเพลงที่เป็นคนละแนวกับเรดิโอเฮด คลอไปด้วย ช่วงที่รอเนี่ยก็พอจะเอากล้องออกมาถ่ายเวทีได้ แต่ภาพที่ออกมาก็ไม่ค่อยชัด ยืนรอกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง 19.00 น. ก็เริ่มมีหวังว่าจะออกมาแล้ว ผ่านไปนิดเดียว เสียงกลองก็ดังขึ้น พร้อมกับพวกที่ยืนแถวหลังพวกเราก็ดันกันขึ้นมา จนฉันกับน้องชายย้ายไปเกือบชิดรั้วที่กั้นบล็อกเราไว้
    มีคนอืกแค่แถวเดียวบังเราอยู่ แต่โชคดีที่ฉันได้อยู่ตรงตำแหน่งระหว่างหัวคน เลยมองเห็นเวทีได้ตรงๆ ไม่ต้องพยายามชะเง้อมอง

    เพลงแรกที่เล่นคือ There There ด้วยเสียงกลองที่มาตีนำ ทำให้หัวใจ(มั่นใจว่าทุกดวง)ในHall ต้องเต้นตามพร้อมการปล่อยอารมณ์ไป กับความมันส์ของบทเพลง ต่อเนื่องด้วย 2+2=5 , lucky, myxomatosis, where i end and you begin, backdrifts สำหรับเพลงนี้ทอม ร้องไปได้สักพัก ก็บอกว่า ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังเล่นไร(ห่วย)อยู่ (-ucking up) ก็เลยเลิกเล่น แล้วขึ้นเพลงต่อไป ซึ่งเรียกความรู้สึกขนลุกซุ่ได้ด้วยเสียงกีต้าร์ตอนต้นของ fake plastic trees เพลงนี้เป็นอีกหนึ่งเพลงโปรดของฉัน ฟังในคอนเสิร์ทแล้วขนลุกตลอด ประมาณการเล่น
    แสงสี เสียง เรียกอารมณ์ให้คล้อยตามไปด้วยจริงๆ แล้วก็ต่อด้วย  paranoid android, sail to the moon ,talk show host เพลงประกอบหนังเรื่องโปรด William Shakespere's Romeo and Juliet ของ Baz Lurrman ,airbag, karma police เพลงสุดฮิต คนร้องตามกันได้ใน Hall ต่อเนื่องด้วยเพลง sit down. stand up, scatterbrain, แล้วก็ขึ้นมาด้วยเสียงวิทยุรายการญี่ปุ่นก่อน แล้วเข้าสู่เพลง national anthem ต่อด้วย exit music เพลงนี้จะเหมือนเล่นดนตรีโผล่มาทีละคน เจ๋งมาก และ idioteque

    หลังจากนั้นเวทีก็ดับไฟ แต่อารมณ์คนดูรู้ว่ามันต้องไม่จบแค่นี้ ทุกคนใน Hall ก็ร่วมกันปรบมือ ไปเรื่อยๆ เพื่อเรียกให้ออกมาอีก (ซึ่งฉันคิดว่ามันไม่น่าจะใช่อังกอร์นะ ประมาณว่า มันต้องไม่จบไปแค่นี้สิ น่าจะยาวกว่านี้) สักพัก ทั้งวงก็ออกมาพร้อมกับ the gloaming , no surprises (อีกเพลงที่คนดูร้องตามได้), a wolf at the door, street spirit แล้วก็หยุดไปอีกรอบ งานนี้ต้องปรบมือยาวกว่าตอนแรกจนทาง วง ออกมากับอีก 2 เพลงสุดท้าย i might be wrong และ  everything in its right place จบโดยที่เสียงดนตรียังดังอยู่ พร้อมนักดนตรีเดินหายเข้าไปหลังเวทีทีละคน และแสงหลังเวทีก็ไล่จนอ่านได้คำว่า Forever ใน Hall ก็เปิดไฟและทุกคนที่มาดูก็รู้ว่า คราวนี้จบจริงๆแล้ว ทั้งที่ไม่อยากให้จบเลย

    เดินออกมาด้วยความรู้สึกว่า สุดยอด จริงๆ สำหรับฉันที่ไม่ได้เป็นแฟนเรดิโอเฮดแบบว่าถึงรากลึกอย่างน้องชาย แต่จากการที่ยืนดูกว่า 2 ชั่วโมงแบบเบียดๆ เรื่องกระโดดไม่ต้องพูดถึง ขยับตัวได้เพียงโยกหัว กับขย่มตัวไปตามจังหวะเพลง ได้มีเนื้อที่พอยกมือขึ้นมาปรบบ้างเป็นบางครั้ง แต่ตลอด 2 ชั่วโมง ที่ยืนดู ฟังเพลงนั้น มันแบบไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร เพลงที่เล่นขึ้นมาทุกเพลงเนี่ย รู้สึกว่าเพราะกว่าและเจ๋งกว่าที่ฟังในซีดี (คือในซีดีก็ดีอยู่แล้ว แต่ว่าฟังสดจากวงที่เล่นได้เจ๋งแบบนี้มันสุดยอดกว่าจริงๆ) ไม่เบื่อ ไม่เมื่อย ไม่เซ็ง ไม่อึดอัด มีแต่คำว่า สุดยอด ที่ให้กับวงนี้ เรดิโอเฮด
    ดูจบแล้วพอกลับมาเช็ค List เพลงที่ ateaseweb ถึงพึ่งรู้ว่าเล่นไป 22 เพลงครึ่ง (เพลง backdrifts เล่นไปได้นิดเดียว) ไม่น่าเชื่อว่า จะเล่นได้เยอะขนาดนี้ อาจเป็นเพราะว่าเขาไม่ค่อยพูดมาก ถ้าพูดก็ไม่กี่ประโยคน่ะ (มีพูดภาษาญี่ปุ่นบ้าง ประมาณ korewa korewa ที่แปลว่า อันนั้น อันโน้น ไม่รู้พี่แกพูดมาทำไม กับคำว่า Domo ที่แปลว่าขอบคุณมาก ย่อมาจาก Domo arigatogozaimasu และก็ที่ฟังออกอีกคำคือ chotto matte ที่แปลว่ารอสักครู่)

    หลังจบคอนเสิร์ตนี้ ทำให้จากที่ฟังเพลงเรดิโอเฮดได้พอประมาณเป็นอยากจะฟังทุกเพลงแบบตั้งใจฟังด้วย ชอบมากๆไปเลยสำหรับวงนี้และถ้ามีโอกาสอีกจะขอดูคอนเสิร์ตของพี่แกให้ได้สักอีกหลายๆครั้ง น่าเสียดายที่ไม่มีที่ท่าจะมาไทยเลย หลังจากมาเมื่อปี 1994 สมัยชุดแรก Pablo Honey ที่มี Moderndog เป็นวงเปิดให้ (ข้อมูลนี้ได้จากเพื่อนคนหนึ่งมา ไม่ได้ไปดูเอง) และน่าอิจฉาคนญี่ปุ่นน่ะ ที่เรดิโอเฮดถือว่ามาบ่อยและยังมีออกอัลบั้มต่างๆ ที่มีขายเฉพาะในญี่ปุ่นด้วยน่ะ สำหรับคนไทยคงต้องรอต่อไป เผื่อเขาจะมาแสดงให้ดูบ้าง

    หมายเหตุ หนึ่ง คนดูชาวญี่ปุ่น เวลาดูคอนเสิร์ต สุภาพพอประมาณเลยน่ะ คือว่าเพลงจะว่าไปก็มันส์มากๆ แต่ถ้าเบียดกันมากๆ ก็ไม่มีที่ให้กระโดด คนเขาก็ขยับหัว ขยับตัวเท่าที่ทำได้ แบบว่าไม่ได้จะกระโดด (วู้ ข้าเท่ คนอื่นเป็นไงช่างมัน) แล้วก็ไม่มีมาตีกัน หรืออะไรน่ะ คือทุกคนมาเพื่อดูวงดนตรีที่ตัวเองชื่นชอบเล่นคอนเสิร์ตจริงๆน่ะ ไม่ได้มาสร้างความเดือดร้อนให้คนดูคนอื่นๆ และก่อนแสดงเขาประกาศว่าห้ามสูบบุหรี่ ก็ไม่มีใครสูบจริงๆ ทั้งที่ประเทศนี้เป็นเจ้าแห่งการสูบบุหรี่อยู่แล้วน่ะ  
    หมายเหตุ สอง รายการเพลงได้จากเว็บนี้ http://www.ateaseweb.com/live/2004/20040414.php (ไม่ได้จำได้เองจ้ะ)

    แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 47 17:24:14

     
     

    จากคุณ : cottonbook - [ 19 เม.ย. 47 17:17:10 ]