ความคิดเห็นที่ 1 ปี 1966 1966 เริ่มต้นด้วยความสดใส Beatles แต่ละคนได้พักยาวกันคนละกว่า 3 เดือนก่อนจะมารวมพลกันอีกครั้งที่ Abbey Road Studio เพื่อบันทึกเสียงสำหรับอัลบั้มแผ่นที่ 7 ชุด Revolver Parlophone/EMI ไม่กล้าเข้ามาจุ้นจ้านกับพวกเขามาก เนื่องจากสัญญาที่เซ็นไว้ตั้งแต่ปี 1962 ใกล้จะหมดอายุ Beatles ใช้เวลาสบายๆใน studio กว่า 2 เดือนรวบรวมพลังความคิดสร้างสรรค์ รังสรรค์ผลงานระดับ masterpiece ซึ่งหลุดพ้นจากความสมบูรณ์แบบของดนตรีในชุด Rubber Soul เข้าสู่อาณาจักรใหม่แห่งสำเนียงของเพลง pop ซึ่งยังไม่มีผู้ใดเหยียบย่ำเข้ามาก่อน Revolver คือก้าวกระโดดทางดนตรีที่สำคัญในด้านเนื้อหาและเทคนิค บทเพลงส่วนใหญ่มีเนื้อหาที่ฉีกไปจากแนว boy-girl relationship ของดนตรีในยุคแรกในขณะที่ขอบข่ายแห่งเสียงดนตรีไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่เสียงเบส, กลองและกีตาร์อีกต่อไป Revolver คือความพยายามในการดึงเอาเทคโนโลยีที่มีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ยในยุคนั้นมาใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด Revolver ขึ้นต้นด้วยเรื่องราวที่เป็น materialism แต่ลงท้ายกลับพูดถึงการเดินทางของจิตวิญญาณสู่มิติอันน่าพิศวง เนื้อหาของเพลงไม่ได้ต่อเนื่องกันในแบบของ concept album แต่มีลักษณะของการเล่าเรื่องราวจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่งที่มีสาระค่อนข้างหลากหลาย คือมีตั้งแต่ protest song อย่าง Taxman, เรื่องราวของ lonely people ใน Eleanor Rigby, dream song ใน I’m Only Sleeping, children song ใน Yellow Submarine, เพลงที่พูดถึงความตายใน She Said She Said, communication breakdown ใน And Your Bird Can Sing และ I Want To Tell You, เรื่องราวของหมอเทวดาใน Dr.Robert และ drug song อย่าง Tomorrow Never Knows เนื้อหาของเพลงเขียนได้สั้น รวบรัด และสละสลวย โดยที่ลักษณะของการเรียงเพลง มีส่วนช่วยเสริมให้เพลงแต่ละเพลงมีความโดดเด่นยิ่งขึ้น จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:41:41 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ทางด้านเทคนิค ชุดนี้มีพัฒนาการใหม่ๆที่น่าสนใจอยู่ 4 จุดคือ 1) การนำระบบ ADT (Artificial Double Tracking) มาลดความยุ่งยากตรงขึ้นตอนการบันทึกเสียงแบบ double tracking ของเสียงร้องและเสียงดนตรี ADT เป็นระบบที่คิดค้นขึ้นโดย Ken Townsend, engineer ประจำห้องอัดเสียง Abbey Road ตามข้อเสนอแนะของพวก Beatles ที่ต้องการลดงาน manual work ให้เหลือน้อยที่สุด 2) การแปลงเสียงร้องโดยผ่านสัญญาณเสียงเข้าไปในสนามไฟฟ้าของลำโพงหมุนในตู้ Leslie speaker ซึ่งปกติจะพ่วงอยู่กับ Hammond organ เพื่อให้ได้เสียงร้องที่แตกต่างออกไป 3) การนำ tape loops มาช่วยในการบันทึกเสียง tape loops คือการบันทึกสัญญาณเสียงซ้ำๆลงบนแถบเทป ซึ่งปกติจะทำไม่ได้เนื่องจาก”หัวล้าง”ในเครื่องบันทึกเสียงจะจัดการลบสัญญาณเก่าบนเนื้อเทปออกไปทุกครั้งที่มีการบันทึกสัญญาณเสียงใหม่เข้าไป แต่ถ้าถอดหัวล้างนี้ทิ้งเสีย การบันทึกสัญญาณซ้ำๆลงบนเนื้อเทปก็จะกลายเป็นเรื่องกล้วยๆขึ้นมาในทันใด 4) การนำ backward recording มาสร้างทำนองแปลกๆ โดยการเล่นเทปย้อนหลังกับทิศทางที่เสียงถูกบันทึกลงไปในครั้งแรก ตัวอย่างของเพลงในชุด Revolver ที่มีการนำเทคนิคใหม่ๆทั้ง 4 วิธีมาใช้อย่างกว้างขวางคือ Tomorrow Never Knows และ Rain แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 47 00:13:23 จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:42:01 ]

ความคิดเห็นที่ 3 บุคคลที่อยู่เบื้องหลังความก้าวหน้า ทางเสียงสังเคราะห์ของอัลบั้มชุดนี้คือ George Martin, producer และ Geoff Emerick, sound engineer Martin คือตัวจักรสำคัญที่ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ในการแสวงหาเสียงแปลกๆ ใหม่ๆ เขาเป็นผู้ที่สร้างเสียงดนตรีให้เป็นรูปธรรมจากแนวความคิดที่เป็นนามธรรมของ Beatles ตัวอย่างเช่น ในเพลง Tomorrow Never Knows John บอก Martin ว่าเขาอยากได้เสียงที่ฟังดูเหมือนตนเองกำลังยืนแหกปากตะโกนร้องอยู่บนยอดภูเขาสูงโดยมีพระจำนวน 4000 รูป ยืนอยู่รอบๆหุบเขาเป็น back up เท่านี้ละครับ Martin จัดการแปลงเสียงของ John ผ่านลำโพง Leslie แล้วใช้ tape loops สร้างเสียง backing vocal ที่ฟังดูใกล้เคียงกับสิ่งที่ John จินตนาการเอาไว้ในตอนต้น, Geoff Emerick ได้รับการ promote ให้ขึ้นมานั่งแทนที่ Norman Smith เนื่องจากประสบการณ์ในฐานะ second engineer กับผลงานในอดีตของ Beatles ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 1963 ด้วยวัยเพียง 20 เศษๆ Geoff กำลังอยู่ในช่วงแห่งการแสวงหาและเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับงานประเภท “ลองของ” เพื่อชิงความเป็นเจ้ายุทธจักรแห่งเทคนิคทางด้านงานบันทึกเสียง จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:42:21 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แนวดนตรีในชุด Revolver มีความหลากหลายไม่แพ้เรื่องของเนื้อร้อง คือนอกจากจะมีเพลง rock ธรรมดาแบบ Day Tripper ในชุด Rubber Soul (เช่น Paperback Writer) และดนตรีในแบบ chamber music อย่าง Yesterday แล้ว(เช่น Eleanor Rigby และ For No One), ยังมีเพลงในแบบ Motown sound ที่เน้นทีมเครื่องเป่าอย่าง Got To Get You Into My Life, เพลงแนว Indian Music ใน Love You To และ psychedelic rock อย่าง Tomorrow Never Knows เพลง love ballad ธรรมดาๆอย่าง Here, There And Everywhere ก็สามารถทำได้ดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จุดนี้แสดงให้เห็นถึงความเติบใหญ่ทางดนตรีของสมาชิกแต่ละคน ที่พัฒนาเลยหน้าวัยวุฒิที่เปลี่ยนแปลงไป จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:42:40 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เนื่องจาก Beatles ใช้เวลานานกว่า 2 เดือนหรือประมาณ 33 session ในการทำอัลบั้มชุดนี้ หากนำรายละเอียดทั้งหมดของการบันทึกเสียงในแต่ละวันมาลงอาจจะทำให้ท่านผู้อ่านเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาเสียก่อน ฉบับนี้เลยขอลงขั้นตอนการทำงานอย่างย่นย่อ โดยจะพยายามให้ท่านผู้อ่านได้ feel ของการทำงานของพวก Beatles ในอัลบั้มชุดนี้ให้มากที่สุด (หมายเหตุ : อยากให้ท่านผู้อ่านลองเปรียบเทียบเพลง 3 เพลงแรกของ session Revolver กับเพลง 3 เพลงหลังของ session Rubber Soul เพื่อดูพัฒนาการทางด้านดนตรีของ Beatles ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาอันสั้นเพียงแค่ 6 เดือน) จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:42:58 ]

ความคิดเห็นที่ 6 6 เมษายน อัด Tomorrow Never Knows 3 take 7 เมษายน แปลงเสียงร้องของ John ผ่านตู้ลำโพง Leslie แล้วผสม tape loops และ ADT เข้าไปในเพลงเสร็จแล้วอัด Get To Get You Into My Life 5 take (และอีก 3 take ในวันที่ 8 เมษา, ส่วนเสียงจาก horn session ถูก overdubb ลงไปในวันที่ 18 พฤษภา) 11 เมษายน ทำ Love You To 6 take 13 เมษายน อัด Paperback Writer 2 take 14 เมษายน อัด Rain 5 take โดยนำเทคนิคสารพัดเข้ามาช่วย 17 เมษายน ทำ Doctor Robert 7 take 20 เมษายน อัด And Your Bird Can Sing 2 take (และอีก 11 take ในวันที่ 26 เมษา) แล้วซ้อมเพลง Taxman สำหรับบันทึกเสียงในวันรุ่งขึ้น 21 เมษายน อัด Taxman 11 take 27 เมษายน ทำ I’m Only Sleeping 11 take (แล้ว overdubb อีก 3 ครั้งในวันที่ 29 เมษาและ 5, 6 พฤษภา) 28 เมษายน อัด Eleanor Rigby 14 take แล้วถ่ายใส่ take ที่ 15 เพื่อ overdubb เสียงร้องของ Paul, John และ George 9 พฤษภา อัด For No One 10 take (แต่ overdubb เสียง French horn ในวันที่ 19 พฤษภา) จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:43:23 ]

ความคิดเห็นที่ 7 26 พฤษภา อัด Yellow submarine 5 take แล้ว overdubb พวก sound effect ต่างๆในวันที่ 1 มิถุนา 2 มิถุนา ทำ I Want To Tell You 5 take สำหรับ overdubb ในวันรุ่งขึ้น 8 มิถุนายน อัด Good Day Sunshine 3 take สำหรับ overdubb เสียง solo piano ของ George Martin ในวันรุ่งขึ้น 14 มิถุนา ทำ Here, There And Everywhere 4 take และทำซ้ำอีก 9 take ในวันที่ 16 เพื่อ overdubb ในวันที่ 17 21 มิถุนา อัด She Said, She Said 4 take จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:43:42 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ปกอัลบั้มชุด Revolver มีส่วนคล้ายคลึงกับชุด Rubber Soul ตรงที่มีแค่ชื่อ title album แต่ไม่มีชื่อ recording artist  กำกับ Pete Shotton เพื่อนสนิทของ John และ Paul เล่าให้ฟังว่าเขาทั้งสามช่วยกันตัด  รูปของ Beatles จากกองหนังสือพิมพ์ และแม็กกาซีนแล้วนำมาปะรวมๆกัน จากนั้นภาพดังกล่าวถูกส่งไปวางซ้อนบนรูปวาดที่เป็นภาพหน้าของสมาชิก Beatles แต่ละคนซึ่งเขียนโดย Klaus Voorman เพื่อนสนิทของ Beatles ตั้งแต่สมัยอยู่ Hamburg   ช่วงปี 1970 ตอนที่ Paul ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่าเขาขอลาออก จากการเป็นสมาชิกวง Beatles มีข่าวลือว่าผู้ที่จะเข้ามาเล่นเบสแทน Paul คือ Klaus Voorman คนนี้นี่เอง ช่างภาพที่เป็นเจ้าของผลงานภาพปกด้านหลังของชุด Revolver มีนามกรว่านาย Roger Whitaker  Whitaker เป็นคนถ่ายภาพปกอัลบั้ม Yesterday..and Today ซึ่งเป็นอัลบั้มรวมเพลงที่ Capitol คัดออกจากชุด Help! Rubber Soul และ Revolver ที่ออกในอังกฤษ เช่น Act Naturally/ Yesterday/ Drive My Car/ Nowhere Man/ I’m Only Sleeping/ Doctor Robert ปกที่ Wkitaker ถ่ายไว้มีอยู่ 2 version รายละเอียดจะนำมาพูดถึงอีกทีในฉบับหน้า แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 47 00:14:21 จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:44:09 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ก่อนที่จะเป็น Revolver, Beatles เคยคิดใช้ชื่อเชยๆต่อไปนี้เป็น title ของอัลบั้มชุดที่ 7 ของพวกเขา : Beatles On Safari/ Abracadabra/ Bubble and Squeak/ Free Wheelin’ Beatles และ Magic Circles ซึ่งเคยตกรอบมาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อคราวตั้งชื่อ album ชุด Rubber Soul     Revolver ออกวางจำหน่ายในอังกฤษ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 1966 ชุดนี้ติดอันดับ 1 อยู่นาน 7 สัปดาห์ ก่อนหน้านี้ประมาณ 2 เดือน single แผ่นที่ 12, Paperback Writer/Rain ถูกนำออกวางจำหน่ายในวันที่ 10 มิถุนา และติดอันดับ 1 ในอังกฤษนาน 2 สัปดาห์     แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 47 23:45:33 จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:44:33 ]

ความคิดเห็นที่ 10 Paperback Writer Paul ได้ idea ของเพลง Paperback Writer จากการไปช่วยเพื่อนแต่งร้านขายหนังสือชื่อ Indica Bookshop ในช่วงที่ Brian Epstein ให้ Beatles พักยาวกันคนละ 3 เดือน ก่อนที่จะเริ่มงานบันทึกเสียงสำหรับชุด Revolver หนังสือบางเล่มอ้างว่า John มีส่วนดลใจให้ Paul เขียนเพลงนี้เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยเขียนหนังสือออกมาแล้วถึง 2 เล่ม เสียง Bass ใน Paperback Writer เป็นเสียงใหม่ที่ดุเดือดกว่าที่เคยเป็นมาจนทาง EMI เป็นห่วงว่าเวลานำไปเปิดดังๆเข็มแผ่นเสียงอาจจะสั่นสะเทือนมากเกินไป จนกระเด็นจากร่อง Geoff Emerick อธิบายว่าเขาใช้ลำโพง 2 ตัวในการบันทึกเสียง bass ของ Paul โดยลำโพงแรกจะทำหน้าที่เสมือนเป็น mike ให้กับลำโพงตัวที่สองนอกจากนี้ Paul ยังหันมาใช้ bass ยี่ห้อ Rickenbacker ซึ่งให้เสียงที่อ้วนกว่า Hofner Bass ตัวเก่าของเขา     John เรียก Paperback Writer ของ Paul ว่าเป็น son of Day Tripper เขากับ George ขอยืมทำนองของเพลงกล่อมเด็กฝรั่งเศสที่ชื่อ Frere Jacques มาร้องเป็น background ของเพลงนี้  Beatles ว่าจ้างผู้กำกับ Michael Linsey – Hogg ซึ่งเป็นเจ้าของรายการทีวีชื่อดัง Ready, Steady, Go! ในอังกฤษมาทำ video clips  ให้กับ Paperback Writer และ Rain ภายหลัง Hogg ได้ร่วมงานกับ Beatles อีกครั้ง 2 ครั้งใน project promotion clips ของ Hey Jude/Revolution และหนังเรื่องที่ 3 ของ Beatles “Get Back” หรือ “Let It Be” ที่พวกเรารู้จักกันดี แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 47 23:46:06 จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:45:09 ]

ความคิดเห็นที่ 11 Rain John บอกว่าเนื้อหาหลักของ Rain อยู่ตรงประโยคสุดท้ายที่ว่า can you hear me that when it rains & shine/it’s just a state of mind/can you hear me? ถ้าเป็นไทยคงแปลได้สั้นๆว่า “สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ” ครับ Rain เป็นตัวอย่างของเพลงที่ได้รับการ treatment จากสารพัดเทคนิคที่ Beatles/Martin/Emerick ช่วยกันคิดค้นขึ้นคือมีตั้งแต่ limiters/compressors/jangle boxes/ADT/Leslie speaker แต่ที่เด่นที่สุดคือเทคนิคของ tapes playing backward และ vari-speed recording Martin เล่าว่าเขาให้ John ฟังเสียงร้องของตนผ่านกรรมวิธีของ backward playback หลังจากนั้นทุกคนในวงก็เริ่มทำทุกอย่างย้อนหลังหมด George เล่น backward guitar solo, Ringo เล่น backward cymbal (ใน Strawberry Fields) เสียงของ John ในตอนท้ายของเพลง Rain ที่ฟังไม่ค่อยได้ศัพท์ว่า – Sharethsmnowths meaness – คือ ตัวอย่างของ backward recording Geoff Emerick เล่าว่าพวกเทคนิคต่างๆบางครั้งช่วยให้ texture และความลึกของเสียงดีขึ้น อย่างเช่นในเพลง Rain เขาให้ Beatles เล่น rhythm track ค่อนข้างเร็ว แต่พอเวลา playback เขาจะลด speed ให้ช้าลงทำให้ texture ของเสียงฟังดูแปลกออกไป Rain คือผลงานที่ Ringo ภูมิใจมากที่สุดในชีวิตการเป็นมือกลองให้กับวงดนตรีชื่อก้องโลกวงนี้ จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:46:49 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อัลบั้มชุด Revolver TAXMAN (Harrison – Lennon) Let me tell you how it will be There's one for you, nineteen for me 'cause I'm the taxman, yeah, I'm the taxman Should five percent appear too small Be thankful I don't take it all 'cause I'm the taxman, yeah, I'm the taxman If you drive a car, I'll tax the street If you try to sit, I'll tax your seat If you get too cold, I'll tax the heat If you take a walk, I'll tax your feet Taxman 'Cause I'm the taxman, Yeah, I'm the taxman Don't ask me what I want it for (ha ha Mr. Wilson) If you don't want to pay some more (ha ha Mr. Heath) 'cause I'm the taxman, yeah, I'm the taxman Now my advice for those who die Declare the pennies on your eyes 'cause I'm the taxman, yeah, I'm the taxman And you're working for no one but me จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:47:39 ]

ความคิดเห็นที่ 13 George เคยเขียนถากถางรัฐบาลอังกฤษมาก่อนในเพลง Think For Yourself ใน Taxman George เขียนเสียดสีพวก “ลูกอีช่างเก็บ” ได้ดีเป็นพิเศษโดยเฉพาะตรงเนื้อร้องท่อนที่ 3 ตั้งแต่ If you drive a car และท่อนจบตั้งแต่ now my advice for those who die ที่แสดงให้เห็นถึงกลเม็ดและลวดลายในการจัดเก็บภาษีของคุณสรรพากรที่เรียกเก็บได้ทุกที่และทุกท่า โดยไม่เลือกว่าจะเป็นคนเป็นหรือคนตาย John เล่าว่าเขามีส่วนช่วยเขียนเนื้อร้องบางประโยคใน Taxman ตามที่ George ขอมาแต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นประโยคไหน Mr.Wilson และ Mr.Heath ที่ George พูดถึงในเพลงความจริงคืออดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ 2 ท่าน, Harold Wilson และ Edward Heath นั่นเอง Paul ช่วย George เล่นกีตาร์ solo ท่อนกลางซึ่งฟังดูคล้ายกับดนตรีของอินเดีย กีตาร์ solo ท่อนนี้ถูกนำไป edit ใหม่แล้ว mix ลงไปตรงช่วงท้ายของเพลง Taxman ในวันที่ 21 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการอัดเสียงสำหรับอัลบั้ม Revolver จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:47:59 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ELEANOR RIGBY (McCartney) Ah, look at all the lonely people Ah, look at all the lonely people Eleanor Rigby, picks up the rice in the church where a wedding has been Lives in a dream Waits at the window, wearing the face that she keeps in a jar by the door Who is it for All the lonely people Where do they all come from? All the lonely people Where do they all belong? Father McKenzie, writing the words of a sermon that no one will hear No one comes near Look at him working, darning his socks in the night when there's nobody there What does he care All the lonely people Where do they all come from? All the lonely people Where do they all belong? Ah, look at all the lonely people Ah, look at all the lonely people Eleanor Rigby, died in the church and was buried along with her name Nobody came Father McKenzie, wiping the dirt from his hands as he walks from the grave No one was saved จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:48:28 ]

ความคิดเห็นที่ 15 “โลกนี้ไฉนจึงเต็มไปด้วยคนอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว พวกเขามาจากที่ไหนกันถึงได้มีมากมายขนาดนี้” ว่าแล้ว Paul ก็เลยหยิบยกเรื่องราวของ lonely people มาเขียนถึงโดยใช้ตัวละคร 2 คนคือ Eleanor Rigby และ Father McKenzie เป็นตัวดำเนินเรื่อง คุณ Eleanor แกเป็นคนทำความสะอาด, หน้าที่หลักของแกคือคอยเก็บกวาดเมล็ดข้าวที่เขาโปรยอวยพรให้กับคู่บ่าวสาวในงานแต่งงาน ที่ทั้งชีวิตของแกไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัส Father McKenzie เป็นนักบุญที่โลกลืม แกเขียนบทสวดที่แกเก็บไว้อ่านเองคนเดียว ในยามค่ำคืนคุณจะเห็นแกนั่งชุนถุงเท้าอยู่อย่างเดียวดายใต้เงาจันทร์ Father McKenzie พบคุณ Eleanor ครั้งสุดท้ายในงานศพของคุณ Eleanor ที่แกเป็นคนทำพิธีสวดให้ มีเสียงล่องลอยมาในอากาศว่า no one was saved จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:48:46 ]

ความคิดเห็นที่ 16 Paul เล่าว่าเขาได้ idea ของเนื้อร้องท่อนแรกจากข่าวในหนังสือพิมพ์ เดิมทีตัวละครฝ่ายหญิงของ Paul มีชื่อว่า Miss Daisy Hawkins แต่ชื่อนี้ฟังดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ วันหนึ่งขณะที่ยืนรอรับแฟนสาวใน Bristol Paul เหลือบไปเห็นร้านขายของที่มีชื่อว่า “Rigby” เข้า เลยขอยืมมาใช้เป็นนามสกุลของคุณ Eleanor ซึ่ง Paul ได้ชื่อต้นนี้มาจากชื่อของคุณ Eleanor Bron, หนึ่งในนักแสดงที่ Paul ร่วมงานด้วยตอนถ่ายทำหนังเรื่อง Help! ส่วนชื่อ Father McKenzie Paul ใช้วิธีเปิดหาเอาจากในสมุดโทรศัพท์ โดยหาชื่อที่ฟังดูคล้ายๆกับ Father McCartney ที่ Paul เกือบจะเลือกมาใช้เป็นชื่อตัวละครฝ่ายชายในตอนแรก แต่ดีที่พรรคพวกช่วยกันทักท้วงขึ้นมาเสียก่อน จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:49:10 ]

ความคิดเห็นที่ 17 John เล่าว่าเขาช่วย Paul เขียนเนื้อร้องใน Eleanor Rigby เกือบ 70% แต่ Paul บอกว่า John ช่วยเขียนเนื้อร้องไม่เกินครึ่งบรรทัด (ใน In My Life Paul บอกว่าเขาเป็นคนช่วยแต่งทำนองของเพลงทั้งหมด แต่ John ยืนยันเสียงแข็งว่า Paul ช่วยแต่งทำนองเฉพาะท่อนแยก เอาเป็นว่าเจ๊ากันไปพอดี) Pete Shotton เล่าว่าเขาบังเอิญอยู่ในเหตุการณ์ตอนที่ Paul เขียน Eleanor Rigby วันนั้น John ชวนเพื่อนๆไปทานข้าวเย็นที่บ้าน หลังจากนั้น Paul ร้องและเล่น 2 ท่อนแรกของ Eleanor Rigby ให้ทุกคนฟังและเปิดโอกาสให้ทุกคนช่วยกันออกความคิดเห็น เพราะเขาไม่มี idea ว่าเพลงควรจะจบอย่างไร Ringo เสนอให้ Father McCartney “darning his sock in the light”, ตัว Pete เองเสนอให้ Paul ใช้ชื่ออื่นแทน Father McCartney และเห็นว่าตอนจบควรจะให้ lonely people ทั้ง 2 มาพบกันในงานศพแต่ John ไม่เห็นด้วย Pete เสริมว่านั่นแหละคือ สิ่งที่ John contribute ให้ในคืนนั้นเพราะภายหลัง Paul เห็นด้วยกับ idea ของเขา จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:49:29 ]

ความคิดเห็นที่ 18 Paul ได้ idea ของการใช้ string quartet ในเพลงจากการฟังผลงานของคีตกวียุค baroque ชื่อ Vivaldi ซึ่ง Jane Asher เป็นคนแนะนำให้ Paul ใช้ piano ในการสื่อความหมายบอก George Martin ว่าเขาต้องการได้เสียงในแบบไหน Martin จัดการเกทับ Yesterday โดยว่าจ้างวง double string quartet มาเล่น back up ให้โดยมี Tony Gilbert ทำหน้าที่เล่น first violin, Sidney Sax/John Sharpe/Jurgen Hess เล่น violin, Stephen Shingles และ John Underwood เล่น viola, Derek Simpson และ Norman Jones เล่น cello เนื้อร้องของ Eleanor Rigby เขียนได้ดีกว่า Yesterday เพราะมีลักษณะของความเป็น “บทกลอน” แต่ Paul บอกว่าเขาร้องเพลงนี้ได้ดีไม่เท่ากับที่เคยทำใน Yesterday ในอังกฤษ Eleanor Rigby เป็น single แผ่นที่ 13 ของ Beatles ที่ติดอันดับ 1 อยู่นาน 4 สัปดาห์ ในอเมริกา Rigby ขึ้นอันดับสูงสุดได้แค่อันดับที่ 11 single หน้า B ของ Rigby คือเพลง Yellow Submarine จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:50:11 ]

ความคิดเห็นที่ 19 I’M ONLY SLEEPING (Lennon) When I wake up early in the morning, Lift my head, I'm still yawning When I'm in the middle of a dream Stay in bed, float up stream Please don't wake me, no don't shake me Leave me where I am I'm only sleeping Everybody seems to think I'm lazy I don't mind, I think they're crazy Running everywhere at such a speed Till they find, there's no need Please don't spoil my day I'm miles away And after all I'm only sleeping Keeping an eye on the world going by my window Taking my time Lying there and staring at the ceiling Waiting for a sleepy feeling จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:50:42 ]

ความคิดเห็นที่ 20 2 เพลงที่ผ่านไปเป็นเรื่องของ “us & them” แต่เพลงที่จะพูดถึงต่อไปนี้จะเป็นเรื่องของ “me” I’m Only Sleeping เป็นเรื่องของการค้นหาสัจธรรมภายในดวงจิตโดยใช้ยาเสพติดเป็นตัวนำร่อง John บอกว่ายาเสพติดไม่ได้ทำเขาเตลิดเปิดเปิงไปไหนเพราะเขายังสามารถรับรู้เหตุการณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายนอกได้อยู่ Keeping an eye on the world going by my window 2 ปีต่อมา John ทำเพลง I’m So Tired ในชุด White Album โดยแสดงให้เห็นถึงผลตรงข้ามของยาเสพติดที่บางครั้งทำให้คนเสพตาค้าง คือจะข่มตาอย่างไงก็ไม่ยอมหลับจนเขาต้องตะโกนออกมาว่า I’d give you everything I’ve got for a little piece of mind เสียงกีตาร์หาวนอนในเพลง I’m Only Sleeping เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ประโยชน์จากเทคนิคของ Backward recording วิธีการคือ George จะนึกทำนองขึ้นมาหลายๆแบบแล้วบันทึกใส่เทปเอาไว้เสร็จแล้วเขาจะใช้วิธี Play backward ให้ตัว note ออกมาสวนทางกับตอนที่อัด หลังจากนั้นเขาจะนั่งเลือกทำนองที่ฟังดูเข้าท่ามากที่สุด แล้วดึงมาใช้โดยก่อนอัดเขาจะต้องเขียนตัว note ทั้งหมดไว้เสียก่อนทั้ง note ทางตรงและ note backward George ใช้เวลาใน studio ระหว่าง 9 โมงเย็นถึงตี 3 ของวันใหม่ กว่าจะ overdubb ท่อน solo backward ท่อนนี้สำเร็จ จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:51:13 ]

ความคิดเห็นที่ 21 LOVE YOU TO (Harrison) Each day just goes so fast I turn around, it's past You don't get time to hang a sign on me Love me while you can Before I'm a dead old man A life time is so short A new one can't be bought But what you've got means such a lot to me Make love all day long Make love singing songs Make love all day long Make love singing songs There's people standing round Who'll screw you in the ground They'll fill you in with all their sins, you'll see I'll make love to you If you want me to จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:51:48 ]

ความคิดเห็นที่ 22 George เล่าว่าเสียง sitar ในเพลง Norwegian Wood เป็นแค่เรื่องอุบัติเหตุที่ทำให้เขาหืดขึ้นคอกว่าจะเล่นให้ได้จนเป็นที่พอใจของ John ใน Love You To เขาตั้งใจเขียนเพลงนี้สำหรับ sitar และกลอง tabla โดยเฉพาะเพื่อนของ George ที่ชื่อ Ayana Deva Angadi เป็นคนจัดหานักดนตรีจากสถาบัน Asian Music Circle ทางตอนเหนือของ London มาให้ Anil Bhagwat ได้รับ credit ในฐานะผู้เล่น tabla บนปกอัลบั้ม Revolver แต่จากหลักฐานทั้งหมดเท่าที่มี ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกรายชื่อ นักดนตรีที่เล่น sitar ในเพลงนี้เก็บไว้เลย Love You To เป็น love song ที่เน้นประเด็นของเรื่อง “time” (each day just goes so fast, a little time is so short ) หากนำ Taxman และ Love You To ไปเทียบกับเพลงยุคแรกของ George อย่าง Don’t Bother Me ในชุด With The Beatles และ I Need You ใน Help! ท่านผู้อ่านจะสังเกตเห็นถึงพัฒนาการในการเขียนเพลงทั้งในด้านของเนื้อหา และดนตรีของ George ได้อย่างเด่นชัด วันที่ George นำ Love You To เข้ามาเล่น studio เขาลืมตั้งชื่อ title ของเพลงไว้ล่วงหน้า เพื่อนๆเลยเรียกเพลงแขกของ George เพลงนี้ว่า Granny Smith ตามชื่อของ apple ยี่ห้อหนึ่งในประเทศอังกฤษ Love You To เป็นเพลงของ Beatles เพลงแรกที่ชื่อ title ไม่ปรากฏอยู่ในเนื้อร้อง จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:52:17 ]

ความคิดเห็นที่ 23 HERE, THERE AND EVERYWHERE (McCartney) To lead a better life I need my love to be here Here, making each day of the year Changing my life with a wave of her hand Nobody can deny that there's something there There, running my hands through her hair Both of us thinking how good it can be Someone is speaking, but she doesn't know he's there I want her everywhere And if she's beside me I know I need never care But to love her is to need her Everywhere, knowing that love is to share Each one believing that love never dies Watching her eyes and hoping I'm always there I want her everywhere And if she's beside me I know I need never care But to love her is to need her I will be there, and everywhere Here, there and everywhere จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:53:27 ]

ความคิดเห็นที่ 24 Love You To เป็นเรื่องราวของ Love experience ที่ไม่ถูกจำกัดโดย “กาลเวลา” Here, There And Everywhere เป็น love song ที่ไม่ผูกติดกับ “places” Here, There เป็น love ballad ง่ายๆที่ฟังดูคล้ายกับผลงานในยุคแรกๆ แต่เขียนได้สวยงามกว่ากันอย่างเทียบไม่ติด Paul เขียนเพลงนี้ที่ริมสระน้ำบ้านของ John โดยได้รับแรงดลใจจากเพลง God Only Knows ของ the Beach Boys และจาก Jane Asher Here, There เป็นเพลงหนึ่งในเพลงชั้นดีของ Beatles ในสายตาของ John (และของผม) จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:53:58 ]

ความคิดเห็นที่ 25 YELLOW SUBMARINE (McCartney – Lennon – Leitch) In the town where I was born Lived a man who sailed to sea And he told us of his life In the land of submarines So we sailed up to the sun Till we found a sea of green And we lived beneath the waves in our yellow submarine We all live in a yellow submarine Yellow submarine, yellow submarine We all live in a yellow submarine Yellow submarine, yellow submarine And our friends are all aboard Many more of them live next door And the band begins to play We all live in a yellow submarine Yellow submarine, yellow submarine We all live in a yellow submarine Yellow submarine, yellow submarine (Full speed ahead Mr. Boatswain, full speed ahead Full speed ahead it is, Sgt. Cut the cable, drop the cable Aye, Sir, aye Captain, captain) As we live a life of ease Every one of us has all we need Sky of blue and sea of green In our yellow submarine We all live in a yellow submarine Yellow submarine, yellow submarine We all live in a yellow submarine Yellow submarine, yellow submarine We all live in a yellow submarine Yellow submarine, yellow submarine จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:54:39 ]

ความคิดเห็นที่ 26 Paul ตั้งใจเขียน Yellow Submarine ให้เป็นเพลงสำหรับเด็กๆแต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเพลงนี้เป็น war song เพราะเนื้อหาของเพลงบอกเป็นนัยว่าอีกหน่อยมนุษย์โลกทั้งหมด จะเหลือเฉพาะเท่าที่อาศัยอยู่ในเรือดำน้ำลำนี้เท่านั้น บางท่านตีความว่า Paul เขียนเพลงนี้ขณะเมายาเพราะเนื้อหาของเพลงเป็น fantasy แถมยังมีคำว่า sky of blue and sea of green ในเพลงอีกด้วย Paul อธิบายว่าเขาจะรู้สึกภูมิใจมากๆ หากเดินไปตามท้องถนนแล้วได้ยินเสียงเด็กๆ ฮัมทำนองเพลงซึ่งเขาเป็นผู้ประพันธ์ขึ้น John และ Donovan Leitch เทพบุตร hippy ในยุค sixties เจ้าของเพลง Catch the Wind/Universal Soldier/Colours และ Mellow Yellow มีส่วนช่วย Paul ในเรื่องเนื้อร้องคนละนิดคนละหน่อย เนื้อร้องของเพลง Yellow Submarine ไม่มีคำศัพท์ยากๆที่เด็กเล็กๆจะไม่เข้าใจ Overdubb ของ sound effect ต่างๆในเพลง Yellow Submarine ถูกบันทึกเสียงในวันที่ 1 มิถุนา Beatles ชักชวนเพื่อนๆหลายคนให้มาช่วยกันทำสารพัดเสียงในเพลงนี้ George Martin เล่าว่าเสียงทุกอย่างที่ได้ยินถูกสร้างขึ้นใน studio ตั้งแต่เสียงฟองอากาศที่ John ใช้หลอดดูดเป่าลมเข้าไปในถังน้ำ, เสียงลากโซ่, เสียงโต้ตอบระหว่างกัปตันและลูกทีมที่ใช้ hand mike เล็กๆของ John ต่อพ่วงกับ amp ยี่ห้อ Vox เพื่อทำเสียง all full steam ahead Mr. Captain รวมถึงเสียงแขกที่มาในงาน ซึ่งได้แก่ Brian Jones, Marianne Faithful แฟนของ Mick Jagger Pattie Boyd ภรรเมียของ George Neil Aspinall, Mal Evans, staff ของ Abbey Road John Skinner/Terry London ซึ่งช่วยกันทีเสียง “งานเลี้ยง” และช่วยกันร้อง chorus ตรงท่อนจบของเพลง มี overdubb ที่น่าสนใจอีกท่อนหนึ่งตรงก่อนที่กีตาร์จะขึ้น intro และ Ringo จะเริ่มร้องว่า In the town where I was born แต่น่าเสียดายที่ถูกลบทิ้งไปเสียก่อนตรงขึ้นตอนสุดท้ายของการ mix เสียง overdubb ที่ว่ามีความยาว 31 วินาทีเป็นเสียงพูดของ Ringo, John Paul และ George ที่ค่อยๆ fade up ว่า and we will march to free the day to see them gathered there, from Land O’Groats to John O’green, from Stepney to Utrecht, to see a yellow submarine โดยมี background เป็นเสียง marching feet ที่ถูกสร้างขึ้นโดยการนำถ่านหินก้อนเล็กๆมาใส่ใน cardboard แล้วกลิ้งไปกลิ้งมาให้ได้เสียงเหมือนทหารกำลังเดินขบวน John O’Green อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษเป็นแผ่นดินที่นิยมเรียกกันว่า Land’s End ส่วน John O’Groats อยู่ทางเหนือสุดของ Scotland ในอเมริกา single Yellow Submarine ขึ้นได้อันดับสูงสุดได้แค่อันดับสอง จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:55:23 ]

ความคิดเห็นที่ 27 SHE SAID SHE SAID (Lennon) She said I know what it's like to be dead I know what it is to be sad And she's making me feel like I've never been born I said who put all the things in your head Things that make me feel that I'm mad And you're making me feel like I've never been born She said you don't understand what I said I said no, no, no you're wrong When I was a boy, everything was right Everything was right I said even though you know what you know I know that I'm ready to leave 'Cause you're making me feel like I've never been born She said you don't understand what I said I said no, no, no you're wrong When I was a boy, everything was right Everything was right She said I know what it's like to be dead I know what it is to be sad I know that it's like to be dead จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:55:58 ]

ความคิดเห็นที่ 28 John ได้ idea ของ She Said She Said จากคำพูดประโยคหนึ่งของ Peter Fonda ที่พูดถึงประสบการณ์ในการเสพยาว่า “I know what it’s like to be dead” ระหว่างที่ John นั่งล้อมวงถุนยาร่วมกับเพื่อนๆจากวง The Byrds ช่วงที่ Beatles ไปทัวร์อเมริกาครั้งที่ 2 ในเดือน สิงหาคม 1965 She Said, She Said เป็นบทสนทนาของ John กับสาวมีอายุท่านหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นแม่หรือป้าของ John หรือเป็นสาวแก่ที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เนื้อหาของเพลงมุ่งประเด็นไปที่ความล้มเหลวของความพยายามทำความเข้าใจ ซึ่งกันและกันของคู่สนทนาทั้งสอง John เล่าให้ฟังว่าหลังจากเขาคิดทำนอง และเนื้อร้องของเพลงไปได้ 2 ท่อน เขาหยุดพักชั่วขณะและตัดสินใจว่า idea อะไรก็ตามที่เข้ามาในหัวสมองก่อน จะถูกนำมาใช้เป็นท่อนแยกของเพลงทันที เรื่องนี้สามารถนำไปอธิบายเหตุผลที่ว่าทำไม beat ของเพลงตรงท่อนแยกถึงได้แตกต่างจากท่อนอื่นๆ จนฟังดูเหมือนกับว่าไม่ได้อยู่ในเพลงเดียวกัน เนื้อร้องของเพลง She Said มีลักษณะของคำกลอนแบบ oral poetry John บอกว่าในแง่ดนตรีเพลงนี้ฟังดูวนไปเวียนมาในตัว แต่ท่อน guitar riff ทำได้สวยงาม ฉบับหน้าพบกับเนื้อหาสาระของเพลงในหน้าที่ 2 ของอัลบั้มชุด Revolver พร้อมกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตของการเป็น Beatles ในครึ่งหลังของปี 1966 จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:56:36 ]

ความคิดเห็นที่ 29 GOOD DAY SUNSHINE (McCartney) Good day sunshine Good day sunshine Good day sunshine I need to laugh, and when the sun is out I've got something I can laugh about I feel good, in a special way I'm in love and it's a sunny day Good day sunshine Good day sunshine Good day sunshine We take a walk, the sun is shining down Burns my feet as they touch the ground Good day sunshine Good day sunshine Good day sunshine Then we lie beneath a shady tree I love her and she's loving me She feels good, she know she's looking fine I'm so proud to know that she is mine Good day sunshine Good day sunshine Good day sunshine Good day sunshine Good day sunshine Good day sunshine Good day sunshine Good day sunshine จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:57:55 ]

ความคิดเห็นที่ 30 Paul ขึ้นต้นหน้าสองของ Revolver โดยนำเอาเรื่องราวของ love experience ไปเปรียบเทียบกับ sunny days ในบ้านเรา sunny days ไม่ค่อยมีความหมายเท่าไรโดยเฉพาะในเดือนเมษา แต่ในอังกฤษ sunny days คือสุดยอดปรารถนา เพราะที่นั่นอากาศเปลี่ยนแปลงได้มากจนบางครั้งมีทีเดียวถึง 4 ฤดูในหนึ่งวัน Good Day Sunshine เป็นเพลงที่ใช้เวลาในการบันทึกเสียงสั้นที่สุด คือ ทำกันเพียงแค่ 3 take หลังจากนั้นพวกเขานำ take แรกมา overdubb เสียง solo piano ท่อนกลางของ George Martin Paul เล่าว่าเขาเขียนเพลงนี้ที่บ้านของ John ในวันที่ฟ้าแจ้งโดยได้รับอิทธิพลจากเพลงของคณะ the Lovin’ Spoonful, hippy group ชื่อดังจาก New York ของ John Sebastian Leonard Bernstein คีตกวีร่วมสมัยที่พึ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่นานมานี้ กล่าวชม Good Day Sunshine ไว้ในหนังสารคดี CBS news documentary ของปี 1967 ว่า “เป็นเพลง pop ที่มีโครงสร้างดนตรีที่น่าสนใจมาก” จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:58:28 ]

ความคิดเห็นที่ 31 AND YOUR BIRD CAN SING (Lennon) You say you've got everything you want And your bird can sing But you don't get me you don't get me You say you've seen the seven wonders And you bird is green But you can't see me you can't see me When your prized possessions start to weigh you down Look in my direction I'll be round, I'll be round When your bird is broken will it bring you down You may be awoken I'll be round, I'll be round You tell me that you've heard every sound there is And your bird can swing But you can't hear me You can't hear me จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:59:00 ]

ความคิดเห็นที่ 32 And Your Bird Can Sing พูดถึงความล้มเหลวทางการสื่อสารโดยสังเกตจากคำว่า you don’t get me/you can’t see me/you can’t hear me ในเนื้อร้องท่อนที่ 1,2 และ 5 ผู้ประพันธ์เพลงนี้คือ John ได้เสนอวิธีการแก้ปัญหาไว้ในเนื้อร้องท่อน 3 และ 4 โดยขอให้ลดทิฐิ, self interest และ possession John เรียก And Your Bird Can Sing ของเขาว่า another horror, another throwaway แต่ George Harrison กลับชอบเพลงนี้มากเพราะเขาได้เล่น solo คู่กับ John (หรือ Paul) จริงๆเป็นครั้งแรก (solo ใน I Feel Fine และ The Night Before ถือเป็น solo คู่หลอกๆ) Joe Walsh มือกีตาร์ของวง James Gang และ the Eagles พยายามแกะท่อน solo ของเพลงนี้จนสำเร็จโดยใช้วิธีดีดสายคู่ก่อนที่ Ringo จะเปิดเผยให้ทราบในภายหลังว่าความจริง George ไม่ได้เล่น solo ท่อนนี้เพียงคนเดียว จากคุณ : winston - [ 25 ก.ค. 47 23:59:43 ]

ความคิดเห็นที่ 33 FOR NO ONE (McCartney) You day breaks, your mind aches You find that all her words of kindness linger on When she no longer needs you She wakes up, she makes up She takes her time and doesn't feel she has to hurry She no longer needs you And in her eyes, you see nothing No sign of love behind the tears Cried for no one A love that should have lasted years You want her, you need her And yet you don't believe her When she says her love is dead You think she needs you And in her eyes, you see nothing No sign of love behind the tears Cried for no one A love that should have lasted years You stay home, she goes out She says that long ago she knew someone but now he's gone She doesn't need him your day breaks, your mind aches There will be times when all the things she said will fill your head You won't forget her And in her eyes, you see nothing No sign of love behind the tears Cried for no one A love that should have lasted years จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 00:00:18 ]

ความคิดเห็นที่ 34 For No One เป็นเพลงที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางด้านการเขียนเนื้อร้องของ Paul ซึ่งมีลักษณะของ oral poetry ในตัว Paul เล่าว่าเขาเขียนเพลงนี้ในกระท่อมเล็กๆ ท่ามกลางกองหิมะที่เรียงรายรอบๆ ระหว่าง “พักร้อน”ในสวิตเซอร์แลนด์ ฟังดูผิวเผิน For No One เป็น negative song ง่ายๆที่ไม่มีอะไรเด่น แต่การเลือกใช้คำอย่าง your days break, your mind aches หรือ words of kindness linger on และ on sign of love behind the tear ช่วยให้เพลงดูน่าสนใจมากขึ้น Paul นำ Foe No One มาใช้ในหนัง Give My Regards to Broadstreet ของเขาในปี 1984 โดยให้เหตุผลสั้นๆ ว่า “ไม่อยากให้เพลงดีๆ แบบนี้ถูกเก็บไว้ในกรุ” เสียง French horn ที่ฟังดูกึ่งเศร้าสร้อยกึ่งมีชีวิตชีวาในเพลง เป็นฝีมือของ Alan Civil, Civil เป็น horn player มือ 1 ในวง Philharmonia ของอังกฤษ เขาได้ค่าตัว 50 guineas หรือประมาณ 52.5 pounds กับ credit บนปกแผ่นเสียงที่สร้างชื่อให้เขาได้มากกว่าการเป็นสมาชิกชั้นนำในวง Phiharmonia หลายเท่า จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 00:01:12 ]

ความคิดเห็นที่ 35 DR.ROBERT (Lennon-McCartney) Ring, my friend I said you'd call Doctor Robert Day or night he'll be there any time at all Doctor Robert Doctor Robert You're a new and better man He help you to understand He does everything he can Doctor Robert If you're down he'll pick you up Doctor Robert Take a drink from his special cup Doctor Robert Doctor Robert He's a man you must believe Helping anyone in need No one can succeed like Doctor Robert Well, well, well, you're feeling fine Well, well, well, he'll make you Doctor Robert My friend works for the National Health Doctor Robert Don't pay money just to see yourself Doctor Robert Doctor Robert You're a new and better man He help you to understand He does everything he can Doctor Robert Well, well, well, you're feeling fine Well, well, well, he'll make you Doctor Robert Ring, my friend I said you'd call Doctor Robert Doctor Robert จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 00:01:45 ]

ความคิดเห็นที่ 36 Dr.Robert เป็นเรื่องราวของหมอเทวดาที่รักษาโรคได้สารพัดชนิดพอๆ กับหมอเถื่อน หรือหมอตี๋ตามชนบทที่อยู่ไกลๆในบ้านเรา Pete Shotton เพื่อนซี้ของ John เล่าให้ฟังว่า Dr.Robert มีชื่อจริงๆว่า Charles Roberts แกมีความสามารถพิเศษในการทำให้ผู้ป่วยกระปรี้กระเปร่าและกระชุ่มกระชวยขึ้นมาอย่างทั้นตาเห็นจนเป็นที่ถูกอกถูกใจของบรรดาศิลปินที่กรุง New York อาทิ Andy Warhol, artist ที่เป็นคนออกแบบปกอัลบั้มชุด Sticky Finger ของ Stones และปก “รูปกล้วย” ในอัลบั้มชุดแรกของ the Velvet Underground แท้จริงแล้วแกเป็นหมอประเภท speed doctors หรือ acid doctors ที่ชอบผสมยาขยัน, ยาม้า, LSD, ยากล่อมประสาทเข้าไปในวิตามินสำหรับผู้ป่วย คำว่า speed หมายถึง amphetamine หรือยาม้า ในบ้านเรานิยมเรียกยาตัวนี้ว่ายา E ซึ่งย่อมาจาก ecstasy ซึ่งแปลว่า very strong feeling of joy and happiness คำว่า uppers หรือ whizz ก็มีความหมายในทำนองเดียวกัน ส่วนคำว่า acid ก็คือ lysergic หรือ LSD นั่นเอง Paul เล่าว่า John เขียน Dr.Robert โดยเจตนาจะให้เพลงเป็น joke แม้แต่ดนตรีประกอบ John ยังพยายามทำให้มันฟังดู innocent เล่นๆ แต่คนฟังมักจะชอบนำเรื่องราวส่วนตัวใส่เข้าไปในบทเพลง ทำให้เกิดการตีความหมายที่ผิดเพี้ยนไปจากเจตนาเดิมของผู้ประพันธ์ ความจริงเรื่องทำนองนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผิด หากศิลปินและผู้ฟังต่างเข้าใจในความจริงพื้นฐานตรงจุดนี้ จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 00:02:59 ]

ความคิดเห็นที่ 37 I WANT TO TELL YOU (Harrison) I want to tell you My head is filled with things to say When you're here All those words they seem to slip away When I get near you The games begin to drag me down It's all right I'll make you maybe next time around But if I seem to act unkind It's only me, it's not my mind That is confusing things I want to tell you I feel hung up and I don't know why I don't mind I could wait forever, I've got time Sometimes I wish I knew you well Then I could speak my mind and tell Maybe you'd understand I want to tell you I feel hung up and I don't know why I don't mind I could wait forever, I've got time I've got time I've got time จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 00:03:43 ]

ความคิดเห็นที่ 38 George พูดถึง I Want To Tell You ในหนังสือชื่อ I Me Mine ของเขาว่าเพลงนี้คือสารพัดเรื่องราวในหัวสมองที่เขาไม่มีปัญญาที่จะ express ออกมาให้เป็นรูปธรรม George นำ I Want To Tell You เข้ามาใน studio โดยไม่ได้ตั้งชื่อเพลงไว้ล่วงหน้าเหมือน Love You To เพื่อนๆเลยเรียกเพลงนี้ของ George ว่า Laxton’s superb ตามชื่อ apple อีกยี่ห้อหนึ่งในอังกฤษ George เจตนาทำท่อน intro ของเพลงให้ดูขาดๆ แหว่งๆ เพื่อให้สอดคล้องกับ main idea ของเพลงที่ต้องการพูดถึงเรื่อง difficulty in communication I Want To Tell You เป็นเพลงๆแรกที่ Beatles ไม่ได้ใส่เสียง bass เข้าไปใน basic rhythm track เพื่อความคล่องตัวและความสะดวกในขั้นตอน overdubb และ mix เสียง จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 00:04:12 ]

ความคิดเห็นที่ 39 GOT TO GET YOU INTO MY LIFE (McCartney) I was alone, I took a ride I didn't know what I would find there Another road where maybe I could see another kind of mind there Ooo, then I suddenly see you Ooo, did I tell you I need you Every single day of my life You didn't run, you didn't hide You know i wanted just to hold you And had you gone, you knew in time We'd meet again for I had told you Ooo, you were meant to be near me Ooo, and I want you to hear me Say we'll be together every day Got to get you into my life What can I do, what can I be When I'm with you I want to stay there If I'm true I'll never leave And if I do I know the way there Ooo, then I suddenly see you Ooo, did I tell you I need you Every single day of my life Got to get you into my life I was alone, I took a ride I didn't know what I would find there Another road where maybe I could see another kind of mind there Ooo, then I suddenly see you Ooo, did I tell you I need you Every single day จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 00:04:46 ]

ความคิดเห็นที่ 40 Got To Get You Into My Life เป็นเพลงๆแรกที่มีการนำเอาเสียงจากทีมเครื่องเป่าในแบบของ Motown Sound มาใช้ในบทเพลงของ Beatles Eddie Thornton ผู้เล่น super-olds trumpet และ Peter Coe ผู้เล่น tenor sax เป็นสมาชิกวง Georgie Fame and the Blue Flames ส่วน Ian Hamer (trumpet), Les Condon (trumpet) และ Alan Branscombe (tenor sax) เป็นพวก free lance John เล่าว่าเพลงนี้ Paul เขียนได้เยี่ยมทั้งเนื้อร้องและทำนอง โดยเฉพาะในประโยคที่ว่า another road where may be I could see another kind of life there และ and had you gone knew in time we’d meet again for I’d have told you เขากับ George มีส่วนช่วย Paul นำ Got To Get ไปเล่นใน Concert for the People of Kampuchea เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 1979 ร่วมกับเพลงเก่าจาก solo อัลบั้มของ Paul อย่าง Every Night และ Coming Up. จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 00:05:20 ]

ความคิดเห็นที่ 41 TOMORROW NEVER KNOWS (Lennon) Turn off your mind, relax and float down stream It is not dying It is not dying Lay down all thought Surrender to the void It is shining It is shining That you may see The meaning of within It is being It is being That love is all And love is everyone It is knowing It is knowing That ignorance and hate May mourn the dead It is believing It is believing But listen to the color of your dreams It is not living It is not living Or play the game existence to the end Of the beginning Of the beginning Of the beginning Of the beginning Of the beginning Of the beginning จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 00:05:56 ]

ความคิดเห็นที่ 42 จาก I Saw Her Standing There ซึ่งถูกบันทึกเสียงไว้เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1963 ถึง Tomorrow Never Knows ซึ่งเป็นเพลงแรกที่ John นำเข้ามาใน studio เมื่อวันที่ 6 เมษายน 1966 Beatles ได้พัฒนาก้าวไกลเกินกว่าที่จะบรรยายโดยใช้เวลาในช่วงสั้นๆ เพียงแค่ 3 ปี Tomorrow Never Knows เป็น dream song ที่มีส่วนผสมของ psychedelic ร่วมกับ LSD John เล่าว่าเขาได้ concept ของเพลงจากการอ่านหนังสือเรื่อง Tibetan Book the Dead และ The Psychedelic Experience ของ Timothy Leary และ Richart Alpert ขณะเสพ LSD ร่วมไปด้วย เสียงร้องที่ได้รับการแปลงสัญญาณผ่านตู้ลำโพงหมุนของ Leslie Speaker คือเสียง “singing of the mind” ที่ต้องการเชิญชวนให้ผู้ฟัง turn off your mind, relax and float down stream ส่วนเสียง background คือความโกลาหลในโลกมนุษย์ซึ่งมีทั้งเสียงของ the birds, the beatles และ the noisy activities of natural world Martin เล่าว่า Beatles แต่ละคนมีหน้าที่สร้างเสียงแปลกๆ ขึ้นมาคนละ 1 ท่อนโดยใช้เทคนิคสารพัดตั้งแต่ vari-speed, tape loop และ backward recording แล้วนำมา mix เสียงรวมกันในขั้นสุดท้าย Paul ใช้ tape loop ทำเสียงหัวเราะที่ฟังดูเหมือนเสียงนก John ทำเสียง tape loop 8 เสียง ผ่านเครื่องเล่นเทป 8 เครื่อง แล้วนำมา fade in, fade out เล่นตามใจชอบ Paul ได้รับ credit ในฐานะที่มีส่วนช่วย arrange พวก sound effects ต่างๆในเพลงนี้ด้วย John เล่าว่าเดิมทีเพลงนี้มีชื่อ title ว่า “Mark I”ภายหลังเขาได้ idea ของคำว่า Tomorrow Never Knows จากคำพูดของ Ringo ซึ่งฟังดูเข้าท่ามากกว่า แถมยังช่วยผ่อนคลายความเข้มข้นของเนื้อหาที่ออกไปในเชิงปรัชญา John เล่าว่าหากมีโอกาส เขาอยากจะนำ Tomorrow Never Knows มาบันทึกเสียงใหม่ โดยใช้พระตัวจริงมาร้องเสียง background ให้ จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 00:06:33 ]

ความคิดเห็นที่ 43 หากนำบรรดาผลงานทั้งหมดของ Beatles มาจัดอันดับ Revolver ต้องติดอันดับอย่างน้อย 1 ใน 5 ของผลงานเพลงยอดเยี่ยม ร่วมกับชุด Please Please Me/Rubber Soul/Sgt.Pepper และ Abbey Road Revolver คือรอยเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างผลงานในยุคแรก คือในช่วงปี 1962-1966 กับผลงานในยุคหลัง ในช่วงปี 1967-1970 John และ Ringo มีอายุเพียง 25 Paul 23, George 22 ช่วงที่พวกเขาช่วยกันเข็น Revolver ออกมาสู่สายตาของแฟนเพลงทั่วโลก ในอเมริกา Revolver ออกวางจำหน่ายช้ากว่าในอังกฤษ 3 วัน Capitols วางแนวดูดเงินแฟนเพลงไว้ล่วงหน้าโดยตัดเอาเพลงของ John ออกไป 3 เพลงคือ I’m Only Sleeping/And Your Bird Can Sing/Dr.Robert แล้วนำไปใส่รวมกับ Drive My Car/Nowhere Man/If I Needed Someone/What Goes On จากชุด Rubber Soul, single Day Tripper/We Can Work It Out และ Yesterday/Act Naturally จาก Help! เพื่อทำเป็นอัลบั้มออกมาอีก 1 ชุด โดยใช้ชื่อซะเก๋ไก๋ว่า Yesterday and Today สำหรับท่านผู้อ่านที่เป็นนักฟังระดับหูทอง I’m Only Sleeping/And Your Bird Can Sing/Dr.Robert ในชุด Yesterday and Today จะแตกต่างจาก version ของเพลงเดียวกันในแผ่น Revolver ของอังกฤษเล็กน้อย เนื่องจากต้นฉบับทั้ง 2 เกิดจากการ mix เสียงที่ต่างกรรมและต่างวาระกัน ท่านที่ได้ print รุ่นแรกๆของ Yesterday and Today ไป ท่านโชคดีในแง่ที่ว่า 1)ท่านได้ภาพหน้าปกซึ่งแตกต่างไปจาก print รุ่นหลังๆ 2)เพลง I’m Only Sleeping/And Your Bird Can Sing/Dr.Robert ของท่านเกิดจากการนำ master ที่เป็น mono ไปดัดแปลงเป็น false stereo เนื่องจาก George Martin ส่ง master ที่เป็น true stereo ไปให้ Capitol ไม่ทัน เหตุที่บอกว่า “ท่านโชคดี” เพราะราคาตลาดของ print รุ่นแรกๆ หรือที่นิยมเรียกกันในแวดวงนักสะสมแผ่นเสียงว่า “The Butcher Cover” ในปัจจุบันมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000 US$ หากแผ่นของท่านยังอยู่ในสภาพที่ดีอยู่ จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 00:07:07 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ภาพหน้าปก “The Butcher Cover” เป็นรูปสมาชิก Beatles ในชุด “คนขายเนื้อ” โดยมีเศษเนื้อและชิ้นส่วนของตุ๊กตาวางเรียงระเกะระกะอยู่รอบด้าน (ดูภาพประกอบ) มีคนตีความหมายของภาพปกชุดนี้ว่า Beatles เจตนาทำภาพนี้ขึ้นมาประชด Capitol ที่ชอบนำผลงานของ Beatles มายำใหญ่เพื่อน “หากิน” อย่างน่าเกลียดตั้งแต่ชุด With the Beatles เรื่อยมาจนถึงชุด Revolver ภายหลัง Capitol รู้แกวเข้าเลยสั่งให้เก็บ print ที่เป็น Butcher Cover นี้ จากท้องตลาดให้หมด print ดังกล่าวเลยกลายเป็นของหายากระดับ antique ขึ้นมาในทันที ภาพหน้าปกรุ่นที่ 2 ถ่ายทำโดยฝีมือตากล้องคนเดิมคือนาย Roger Whitaker ภาพดังกล่าวเป็นรูป Paul นั่งคุคคู้อยู่ในกล่องโดยมี John นั่งอยู่ด้านบน George และ Ringo ยืนอยู่ด้านหลัง ภาพๆนี้เป็นภาพหน้าปกที่เชยที่สุดเท่าที่ Beatles เคยทำมา Yesterday and Today ออกวางจำหน่ายในอเมริกาเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 1966 ชุดนี้ติดอันดับ 1 อยู่นาน 5 สัปดาห์ (Revolver ออกวางจำหน่ายวันที่ 8 สิงหา 1966 และติดอันดับ 1 อยู่นาน 6 สัปดาห์) จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 00:07:36 ]

ความคิดเห็นที่ 45 พอเสร็จภารกิจจากงานอัดเสียงชุด Revolver ในวันที่ 21 มิถุนา Beatles ก็รีบกระหืดกระหอบออกทัวร์ต่อทันทีอย่างไม่ค่อยเต็มใจ ช่วงต้นปีที่ผ่านมาของเขาปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนเพียง 2 ครั้งคือในงาน Annual Poll-Winner ของนิตยสาร New Musical Express เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1966 กับ ในรายการ Top Of The Pops ของวันที่ 16 มิถุนา งานแรก Beatles เล่นสดต่อหน้าผู้ชมหนึ่งหมื่นคนโดยบรรเลงเพลงทั้งหมด 5 เพลงคือ I Feel Fine/Nowhere Man/Day Tripper/If I Needed Someone/I’m Down ส่วนในงานที่สองเป็นเพียงแค่การ lip-sync เพลง Rain และ Paperback Writer ทางหน้าจอทีวี ตารางทัวร์ที่กำหนดขึ้นในครึ่งปีหลังของปี 1966 ประกอบด้วย : 6 show ในเยอรมันตะวันตก, 5 show ในญี่ปุ่น, 2 show ในฟิลิปปินส์, และ 19 show ในอเมริกา เพลงที่ Beatles นำมาเล่นในทัวร์ concert ครั้งสุดท้ายของพวกเขาได้แก่ Rock And Roll Music/She’s A woman/If I Needed Someone/Day Tripper/Baby’s In Black/I Feel Fine/Yesterday/I Wanna Be Your Man/Nowhere Man/Paperback Writer และ I’m Down ในบางรายการเพลงปิดท้ายจะเป็น Long Tall Sally แทน I’m Down John พูดถึงทัวร์ concert ครั้งนี้ว่า Beatles concerts are nothing to be with music any more. They’re just bloody tribal rites. “คอนเสิร์ตของ Beatles เป็นเพียงแค่พิธีกรรมที่มีรูปแบบตายตัว ซึ่งไม่มีส่วนไหนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของดนตรีแม้แต่น้อย” ในเยอรมัน, ความที่ไม่ได้ซ้อมให้ดีกันมาก่อน Paul ต้องตะโกนถามเพื่อนๆ ว่าเนื้อร้องท่อนแรกของ I’m Down ขึ้นต้นว่าอย่างไร นอกจากนี้ George ยังปล่อยไก่ออกไปตัวเบ้อเร้อตอนที่ introduce เพลง Yesterday ว่า “เพลงที่จะเล่นต่อไปนี้อยู่ในชุด Beatles For Sale” จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 00:08:07 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ในญี่ปุ่น, เกิดการเดินประท้วงกันเล็กน้อยเนื่องจากมีชาวบ้านบางกลุ่มไม่พอใจที่ทาง promoter นำ rock band มาเล่นบนเวที Nippon Budokan ซึ่งปกติจะสงวนไว้สำหรับงานศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ มีรายงานว่า promoter ต้องว่าจ้างคนคุ้มกันประมาณ 3,000 คนต่อ 1 show ซึ่งมีผู้ชมประมาณ 1 หมื่นคนเท่านั้น หมายกำหนดการของ Concert 2 รอบในฟิลิปปินส์คือ บ่ายและค่ำของวันที่ 4 กรกฎาคม ก่อนหน้านี้หนึ่งวันทางหนังสือพิมพ์ Manila Sunday Times ได้เสนอข่าวว่า ประธานาธิบดี Macros และท่านผู้หญิง พร้อมด้วยบุตร และธิดาทั้ง 3 จะเสด็จมาเป็นแขกรับเชิญพิเศษใน concert ครั้งนี้โดย Beatles ได้รับเกียรติให้เข้าเฝ้าท่านประธานาธิบดีที่พระราชวัง Malacanang ในเวลา 11 นาฬิกาของวันที่ 4 กรกฎา Beatles เดินทางมาถึงกรุงมนิลาในวันที่ 3 กรกฎา และทำให้สื่อมวลชนหมั่นไส้ด้วยลีลาสัมภาษณ์แบบยียวนกวนบาทา กำคำถามงี่เง่าซ้ำๆ ซากๆ อย่าง “Paul เมื่อไรคุณจะแต่งงาน, George เมื่อไรคุณจะตัดผม” เช้าวันที่ 4 รถของทางพระราชวังมารอรับพวก Beatles แต่เช้า ในขณะที่สมาชิกแต่ละคน กำลังสุขสำราญอยู่บนเตียงนอน Brian Epstein ปฎิเสธที่จะปลุกพวกเด็กๆ ให้ขึ้นมาแต่งตัวเพราะโปรแกรมที่ทาง promoter ให้มาเพียงแค่บอกว่า ในเวลาบ่าย 3 โมงจะมีรายการแวะชมพระราชวังช่วงสั้นๆ ก่อนการแสดง ความจริง Brian กะจะเบี้ยวรายการนี้อยู่แล้วเพราะ Beatles ต้องการไปถึงสถานที่แสดง Concert อย่างน้อย 2 ช.ม. ก่อนหมายกำหนดการเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย เท่านั้นละครับ สื่อมวลขนที่ไม่ชอบขี้หน้า Beatles เป็นทุนอยู่แล้ว ก็ช่วยกันกระพือข่าวออกไปว่า “ท่านผู้หญิง Imelda ฉุนจัดที่ Beatles ปล่อยให้เธอกับแขกอีกกว่า 400 คนรอเก้อ” และแล้วสารพัดลูกไม้ก็ถูกงัดขึ้นมาใช้กับ Beatles ตั้งแต่มาตราการทางภาษีอากร, การขับไล่ไสส่งด้วยกริยามารยาทเถื่อนๆ, การรุมทำร้าย การไม่ให้ความสะดวกต่างๆ นานา เช่น ปิด lift ทุกตัวที่ Beatles ต้องเดินผ่าน การหน่วงเหนี่ยวทีมงาน Concert ไว้โดยอ้างว่า ไม่ได้ทำหลักฐานเข้าประเทศอย่างถูกต้องในวันที่มาถึง ที่แสบที่สุดคือพอพวก Beatles ออกพ้นนอกประเทศไปแล้ว ประธานาธิบดี Marcros ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า “ทางวง Beatles ไม่ได้มีเจตนาจะดูหมิ่นหรือทำหยาบคายต่อท่านผู้หญิงหรือรัฐบาลของฟิลิปปินส์แต่อย่างไร” นับเป็นวิธีตบหัวแล้วลูบหลังที่ smart มากของท่านประธานาธิบดี จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 00:09:02 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เหตุการณ์ใน Manila ที่ว่าเลวร้ายยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอเมริกา เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า John เคยให้สัมภาษณ์นักข่าวสาวจากหนังสือพิมพ์ Evening Standard ในอังกฤษว่าเขากำลังสนใจงานเขียนของ Hugh J.Schonfield ที่ใช้ชื่อเรื่องว่า The Passover Plot ซึ่งให้ข้อคิดที่น่าสนใจในหลายๆ ประเด็น เกี่ยวกับเรื่องของศาสนาและเสริมว่า Christianity will go. It will vanish and shrink. I needn’t argue with that. I’m right and I will be proved right. We’re more popular than Jesus now. บทสัมภาษณ์ดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในอังกฤษราวต้นเดือนมีนาคมโดยที่ไม่มีใครใส่ใจกับคำพูดกึ่งโอ้อวดของ John แม้แต่น้อย 29 กรกฎาคม นิตยสารสำหรับวัยรุ่นของอเมริกาชื่อ Datebook นำบทสัมภาษณ์ของ John ไปเรียบเรียงใหม่แล้วนำไปพาดหัวข่าวว่า “We are more popular than Jesus now. I don’t know which will go first, Rock ‘n’ Roll or Christianity” ซึ่งเรื่องแค่นี้ก็มากเกินพอที่จะก่อให้เกิดปฏิกริยา pro-Jesus, anti-Beatles ครั้งใหญ่หลวงในอเมริกาได้ สถานีวิทยุหลายแห่งช่วยกันเติมหัวเชื้อลงบนกองเพลิง โดยออกอากาศชักชวนให้แฟนเพลงนำแผ่นเสียง หนังสือ และของที่ระลึกอื่นๆของ Beatles มาเผาทำลายให้หมด เหตุการณ์ดูเลวร้ายจน Brian Epstein คิดจะยกเลิกทัวร์คอนเสิร์ตในอเมริกาที่จะมีขึ้นในวันที่ 12 สิงหาคม เรื่องที่ Brian เป็นห่วงมากที่สุดคืออาจจะมีสมาชิกคนใดคนหนึ่งในวง Beatles ถูกฆาตกรรมในระหว่างการทัวร์ครั้งนี้ 6 สิงหาคม Brian บินไปอเมริกาล่วงหน้าเพื่อทำ press conference โดยหวังที่จะอธิบายเจตนาในคำพูดของ John และหวังที่จะสยบคลื่นต่อต้าน Beatles ให้ลดดีกรีของความรุนแรงลง 11 สิงหาคม Beatles เดินทางมาถึงเมือง Chicago จุดเริ่มต้นของทัวร์ concert ครั้งนี้แล้วจัดแจงให้มี press conference โดยให้ John อธิบายที่มาของคำพูดประโยคดังกล่าว และท้ายสุด John ยินดีขอโทษทุกคนที่เกี่ยวข้องหากคำพูดประโยคนั้นของเขาทำให้หลายๆฝ่ายเข้าใจผิด จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 00:09:31 ]

ความคิดเห็นที่ 48 Concert ของ Beatles ในอเมริกาในช่วงครึ่งปีหลังของปี 1966 ส่ออาการที่คล้ายๆกับเหตุการณ์ในยุโรปในปี 1965 บัตร concert ใน stadium ใหญ่ๆ ที่เคย sold out ภายในวันเดียวกลับขายได้เพียง 80 กว่า%เท่านั้น 19 สิงหาคม แฟนเพลงใน Memphis ปาปะทัดขึ้นไปบนเวทีทำให้การแสดงต้องหยุดลงชั่วขณะ เพื่อให้ Beatles เช็คดูว่าเพื่อนๆในกลุ่มมีใครเป็นอะไรไปบ้างหรือเปล่า 21 สิงหาคม ประตูทางออกสำหรับให้พวก Beatles หลบแฟนเพลงหลังจาก concert เกิดขัดข้องเปิดไม่ออกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ Beatles ต้องติดแง่กอยู่ในรถบรรทุกกว่าสองชั่วโมง ท่ามกลางแฟนเพลงที่คอยมะรุมมะตุ้มพวกเขาอย่างไม่ยอมเลิกรา 29 สิงหาคม ที่ Candle-stick Park ใน San Francisco ระหว่างเวลา 21.27-22.00 น. John และ Paul ขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับกล้องถ่ายรูปคนละตัว แล้วผลัดกันถ่ายรูปตนเองและเพื่อนๆไว้เป็นที่ระลึก Paul ขอให้ Tony Barrow ช่วยอัดเสียง concert สั่งลาของพวกเขา ครั้งนี้ไว้ด้วย Tony บังเอิญลืมกลับตลับเทปเมื่ออัดไปได้หนึ่งด้านคือประมาณ 30 นาที ทำให้พลาดโอกาสบันทึกเสียงเพลง Long Tall Sally ซึ่งเป็นเพลงสุดท้ายที่ Beatles นำมาแสดงสดต่อหน้าแฟนเพลงในคืนนั้น 9 ปีเศษกับ concert กว่า 1,400 ครั้งได้เดินทางไปถึงจุดสุดท้ายของมัน ณ ที่นี้ ระหว่างทางที่บินออกจาก San Francisco George Harrison พูดขึ้นมาว่า “Well, that’s it, I’m not a Beatle anymore.” ครับในฐานะของ active live musician, George ได้ปลดระวางตัวเองออกจากการเป็นสมาชิกวง Beatles แล้วอย่างแท้จริง ฉบับหน้าจะเป็นการสรุปเรื่องราวและผลงานของ Beatles ในช่วงปี 1962-1966 ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ยุคที่ 2 ในช่วงปี 1967-1970 โดยจะรวบรวมผลงานประเภท Greatest Hits, Bootleg และ Live ที่มีออกมาในช่วงดังกล่าว เพื่อเป็นการปูพื้นฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในเส้นทางดนตรีของพวกเขาและของวงการที่จะเกิดขึ้นตามมาในปี 1967 จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 00:10:11 ]

ความคิดเห็นที่ 49 อัดแน่นด้วยข้อมูลขอบคุณมากครับ (หวังว่าผมคงไม่เข้ามาแทรกนะครับ) จากคุณ : grimble gromble - [ 26 ก.ค. 47 00:19:20 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ไม่แทรกครับ จบตอนพอดี พอดีวันนี้จัดระเบียบข้อมูลเก่าๆในคอมฯ ก็เลยอดไม่ได้ที่จะเอามาลงต่อ จากที่ค้างไว้เป็นปีๆแล้วมั้ง... จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 00:34:44 ]

ความคิดเห็นที่ 51 อ้อ...ช่วยคิ(ล)กแรงๆเก็บเข้าคลังกระทู้เก่าด้วยนะครับ จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 01:08:29 ]

ความคิดเห็นที่ 52 โอว ... ขอบพระคุณมากครับ ถึงจะยาวแต่ก็อ่านเพลินไม่มีเบื่อเลยครับ จากคุณ : กาดิ่ง - [ 26 ก.ค. 47 05:20:07 A:203.113.39.12 X:203.113.86.116 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เซฟๆๆ สุดยอดครับ ขอบคุณครับ (ยังอ่านไม่จบ จะอ่านจนจบครับ) จากคุณ : อีตาแว่น - [ 26 ก.ค. 47 10:33:07 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ผมพิมพ์เองแหละ พอเอามาลงแบบนี้ มันยาวจังแฮะ นึกขึ้นว่า เราเคยขยันพิมพ์ได้ยาวขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย? 555 จริงๆแล้วยังเหลืออีก 1 บท(สุดท้าย) ที่ผมยังไม่ได้พิมพ์ส่งไปให้เลยอ่ะ ยังจะเอาอยู่อีกรึเปล่าล่ะครับ .. ถ้าเอา จะค่อยๆพิมพ์แล้วทยอยส่งไปให้ครับ (แต่ไม่รีบนะ) 5555 จากคุณ : debby - [ 26 ก.ค. 47 11:30:42 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ขอบคุณครับ จากคุณ : Edward - [ 26 ก.ค. 47 13:28:37 A:203.209.121.245 X: ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณค่ะ แต่พี่ได้ทั้งหมดมาแล้ว เป็นรางวัลที่ช่วยพิมพ์ 1 บท เลยไม่ต้องพรินท์ออกมาอ่าน ขอสารภาพว่า ยังอ่านไม่หมดเลยที่ได้มาหน่ะ จากคุณ : Jookjik - [ 26 ก.ค. 47 14:41:08 ]

ความคิดเห็นที่ 57 นั่นไง ผมก็กำลังหาอยู่ว่าใครพิมพ์บทต่อไป ส่งมาซะ ส่งมาซะ คุณเด๊บบรี้.... จากคุณ : winston - [ 26 ก.ค. 47 17:01:13 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ธ่อ ไม่น่าเลยตู -_-“ จากคุณ : debby - [ 26 ก.ค. 47 17:22:34 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ได้ความรู้เพิ่มอีกโข ขอบคุณคุณหมอครับ the beatles 106 จากคุณ : SELTAEB - [ 26 ก.ค. 47 17:53:32 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ขอบคุณคุณ debby และคุณ winston มากครับ การพิมพ์ยาวขนาดนี้ ต้องอาศัยความอึดจริงๆครับ นับถือๆ จากคุณ : pepper (FingerPie) - [ 26 ก.ค. 47 22:27:14 ]

ความคิดเห็นที่ 61 พิมพ์ให้เอาไหม เด็บบี้ เพราะแลกกับหนังสือสารคดีที่แฮ๊บไว้ อิอิ จากคุณ : Jookjik - [ 28 ก.ค. 47 18:15:24 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เอาสิครับ พี่จุกพิมพ์ส้วยสวยอยู่แล้ว....(ประจบประแจง) จากคุณ : winston - [ 29 ก.ค. 47 03:05:07 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ฮ่าฮ่าฮ่า คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้จริงๆ .. (มันเกี่ยวกันตรงไหนฟะ) รบกวนป้าจุกรึเปล่าครับ เกรงใจจังเลย บทที่ 7(3) A collection of Beatles นะครับ ฮี่ฮี่ จากคุณ : debby - [ 29 ก.ค. 47 12:04:18 ]

ความคิดเห็นที่ 64 จ้ะ บทที่ 7(3) A Collection of Beatles นะ พิมพ์เสร็จจะรีบส่งทางอีเมล์ให้คุณหมอวินจ้ะ อ้อ หนังสือหนะ ถ้าอยากได้คืนก็บอกนะ จะอ่านแล้วเก็บไว้ให้อย่างดีเลย (ถ้าปลวกไม่มากินซะก่อน) อิอิ จากคุณ : Jookjik - [ วันอาสาฬหบูชา 16:27:28 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ขอบพระคุณมากครับ ผมชอบการให้สัมภาษณ์ของ John ใน ค.ห. ที่ 47 มากเลยครับ สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงอย่างยิ่ง จำนวนผู้ฟังเพลงของ The Beatles มีมากกว่าจำนวนประชากรในเยรูซาเร็มในสมัยคริสต์กาลหลายเท่า และศาสนานี้เป็นได้ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการล่าเมืองขึ้น ผมนับถือความกล้าของ John มากเลยครับ เขาเป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่แทนทุกอย่างที่ตรงข้ามกับความเป็นอนุรักษ์นิยมแบบอเมริกัน บางทีผมก็คิดว่าสังคมอังกฤษมีความเปิดกว้างต่อความคิดใหม่ๆมากกว่าอเมริกามากนัก ทำให้พวกอเมริกันดูเป็นพวกบ้านนอกไปเลยครับ จากคุณ : pc - [ วันอาสาฬหบูชา 23:48:21 A:203.113.45.205 X: ]

ความคิดเห็นที่ 66 ขอบคุณป้าจุกมากๆครับ หนังสือเก็บไว้ก่อนละกันครับ ถ้าบ้านใหม่มีที่เหลือทำห้องสมุดเมื่อไหร่ เด๋วตามไปเอาคืนถึงบ้านเลยครับ คุณ pc ครับ ว่างๆเข้าไปอ่านบทก่อนๆหน้านี้ที่ http://www.beatles.pantown.com สิครับ จากคุณ : debby - [ 4 ส.ค. 47 10:24:08 ]