ความคิดเห็นที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจและสถาปัตยกรรม:กรณีศึกษาพัฒนาการของลักษณะทางสถาปัตยกรรมในพื้นที่ของผู้หญิงในบ้านพื้นถิ่นเชียงใหม่ ปัตย์ ศรีอรุณ “พื้นที่คือฐานรากของการทำงานของอำนาจทุกชนิด” ( space is fundamental in any exercise of power) มิแช็ล ฟูโกต์(ถอดความโดยไชยรัตน์,2543) มิแช็ล ฟูโกต์(Michel foucault,1926-1984)นักวิชาการด้านโครงสร้างนิยม(Structuralism)(ไชยรัตน์,2545) ที่มักได้รับการโจษขานว่าเป็นนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ”ความเป็นชายขอบของสังคม”(นพพร,2547)โดยหนังสือหลายเล่มที่ฟูโกต์เขียนนั้นมักวนเวียนอยู่กับเนื้อหาเกี่ยวกับ คนวิปาส คนป่วย อาชญากร การจองจำ วิถีทางเพศ ซึ่งฟูโกต์มิได้สืบค้นความเป็น”ชายขอบ” (นพพร,2547)เหล่านี้เพียงในตัวมันเอง แต่เพื่อเปิดเผยให้เห็นระบบการทำงานของสังคมสมัยใหม่ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นปฎิบัติการเชิงอำนาจ ฟูโกต์ได้เปิดมิติใหม่ให้แก่การศึกษาเรื่องของ”อำนาจ”นั่นคือ ด้านที่อำนาจดำเนินการอย่างแนบเนียนและแทรกซึมไปทั่วทั้งองค์สังคม การวิเคราะห์แบบฟูโกต์นี้เลื่อนจากระดับมหภาค(เช่นการปกครองของรัฐ)มาสู่ระดับจุลภาค(เช่นอำนาจในโรงเรียน โรงงาน โรงพยาบาล) ทำให้เห็นความซับซ้อนและความสัมพันธ์เชิงอำนาจในเสี้ยวส่วนต่างๆของสังคม ยิ่งไปกว่านั้น จุลมิติของอำนาจดังกล่าวยังเชื่อมโยงกับกรอบความรู้ความคิดของสังคมและยุคสมัยด้วยปฎิสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ผ่านสิ่งที่ฟูโกต์เรียกว่า “วาทกรรม”(Discourse) “วาทกรรม”(Discourse)หมายถึงระบบ และกระบวนการในการสร้าง/ผลิต(constitute) เอกลักษณ์(identity) และความหมาย (significance) ให้กับสรรพสิ่งต่างๆในสังคมที่ห่อหุ้มเราอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความจริง อำนาจ หรือตัวตนของเราเอง(ดูไชยรัตน์,วาทกรรมและการวิเคราะห์วาทกรรม,หน้า19-42,2543) โดยฟูโกต์กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า”วาทกรรมถูกสร้างขึ้นจากความแตกต่างระหว่างสิ่งที่สามารถพูดอย่างถูกต้องในช่วงเวลาหนึ่ง(ภายให้กฎเกณฑ์และตรรกะชุดหนึ่ง) กับสิ่งที่ถูกพูดอย่างแท้จริง สนามของวาทกรรมในขณะใดขณะหนึ่งก็คือกฎเกณฑ์ว่าด้วยความแตกต่างนี้ ฉะนั้น วาทกรรม จึงสร้างสรรพสิ่งต่างๆขึ้นมาภายใต้กฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง กฎเกณฑ์นี้จะเป็นตัวกำหนดการดำรงอยู่ การเปลี่ยนแปลง หรือการเลือนหายไปของสรรพสิ่ง นั่นคือควบคู่ไปกับสรรพสิ่งต่างๆที่สังคมสร้างขึ้น ยังมีการสร้างและการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ถูกพูดถึงโดยวาทกรรมอีกด้วย(ไชยรัตน์,2543) จากคุณ : superblackpig - [ 3 ส.ค. 47 03:59:20 ]

ความคิดเห็นที่ 2 โดยการจัดแบ่งแยกแยะประเภทต่างๆ ไม่ได้เป็นไปแบบวิทยาศาสตร์ หรือเป็นกลาง แต่ในตัวของมันเองคือเทคนิควิทยาและวิทยาการของอำนาจที่แยบยลแบบหนึ่ง(ไชยรัตน์,2543) เนื่องจากการจัดประเภทเหล่านี้(labeling)เป็นตัวกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสถานภาพความสูงต่ำ บทบาท หน้าที่ อำนาจ ฯลฯ ของสิ่งนั้นๆ เช่น การจัดประเภทภูมิปัญญา/ความฉลาดของคน(ไชยรัตน์,2543) ก็เป็นการสร้างวาทกรรมชุดหนึ่งขึ้นมา เช่น “คนฉลาด” “คนโง่” “คนปัญญาอ่อน” ในแต่ละประเภทของคนเหล่านี้ ก็มีการกำหนด บทบาท หน้าที่ สถานภาพเฉพาะให้แตกต่างกันไป ซึ่งการจัดประเภทเหล่านี้นำมาซึ่งการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะชนิดใหม่เช่น การสร้างสิ่งที่เรียกว่า”คนบ้า” “อาชญากร” หรือ บุคคลที่เป็นอันตรายต่อสังคม(The Dangerous individual) ในศตวรรษที่ 19 โดยฟูโกต์ยังแสดงให้เห็นถึงอำนาจอันแยบยลของวาทกรรม ในการสร้างเอกลักษณ์ หรือ ความเฉพาะเจาะจงให้กับสรรพสิ่งในสังคม(individualizing/discipline) ในการศึกษาเรื่องเทคนิควิธีการลงโทษของสังคมสมัยใหม่ หรือสังคมที่เน้นการควบคุมในรูปของการจัดระเบียบวินัย(discipline)เช่น เด็กๆจะถูกจัดระเบียบมากกว่าผู้ใหญ่ คนป่วยมากกว่าคนที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ คนบ้ากับคนร้าย มากกว่าคนดี โดยบุคคลในประเภทแรกในคู่ต่างๆแต่ละกรณีข้างต้น จะถูกจัดระเบียบ หรือทำให้มีลักษณะเฉพาะเจาะจงอย่างมาก เมื่อสังคมต้องการจัดระเบียบ คนที่มีสุขภาพดี คนปกติ ก็จะทำการเปรียบเทียบกับคนกลุ่มแรก ว่า บุคคลนั้นๆ มีความเป็นเด็ก ความบ้า หรือความชั่วร้ายในตัวมากน้อยเพียงใด นั่นคือยิ่งมีเอกลักษณ์สูงเท่าใด ย่อมหมายความว่าได้มีการจัดระเบียบหรือการควบคุมในสิ่งนั้นมากขึ้นไปด้วย หรืออาจกล่าวได้ว่า ผู้ที่อ่อนแอ ผู้ที่เสียเปรียบ ผู้ที่”เป็นอื่น”(other)จะถูกจัดระเบียบควบคุมมากกว่าผู้ที่แข็งแรง(ไชยรัตน์,2543) ฉะนั้น เอกลักษณ์จึงเป็นเรื่องของการใช้อำนาจและความรุนแรงเข้าไปยัดเยียดให้เป็นของวาทกรรมชุดหนึ่ง วาทกรรม อำนาจ และความรุนแรงจึงแยกกันไม่ออก(ไชยรัตน์,2543) ส่วนแหล่งที่สร้างกฎเกณฑ์เหล่านั้นในความเห็นของฟูโกต์คือ อำนาจ(power) โดยอำนาจนี้มามิได้มาในรูปการใช้กำลัง แต่แปรเปลี่ยน ได้รับการขัดเกลาซักฟอกจนขาวสะอาด(ไชยรัตน์,2543) ในรูปของความรู้(knowledge)ในเรื่องนั้นๆ อย่างจำเพาะเจาะจงเช่น ชีววิทยา แพทย์ศาสตร์ อาชญวิทยา และความรู้เรื่องเพศ เป็นต้น โดยกลไกที่สำคัญในการทำงานของอำนาจมิใช่กฎหมายข้อบังคับ แต่เป็นกฎเกณฑ์และจารีตปฏิบัติต่างๆ จากคุณ : superblackpig - [ 3 ส.ค. 47 03:59:47 ]

ความคิดเห็นที่ 3 สตรีศึกษาเป็นสังคมศาสตร์แขนงหนึ่งที่ศึกษาสังคมจากมุมมองของผู้หญิง ใช้ผู้หญิงเป็นศูนย์กลางในการวิเคราะห์ เนื่องจากความรู้กระแสหลักที่ผ่านมานับพันๆปีนั้น ให้ค่ากับการคิด การทดลอง การค้นคว้าแสวงหาความจริงในรูปแบบต่างๆ โดยมีผู้ชายเป็นศูนย์กลาง สตรีศึกษาจึงเป็นความรู้อีกครึ่งหนึ่งของมนุษย์ชาติที่ขาดหายไป(สินิทธ์,2547) เป็นการท้าทายจุดยืนของงานวิชาการกระแสหลักที่เหมารวมว่าผู้หญิงกับผู้ชายเป็นมนุษย์เหมือนกัน ประสบการณ์ของผู้ชายถูกถือเสมือนเป็นประสบการณ์ของคนทั้งสังคม เพราะฉะนั้นประสบการณ์และความต้องการของผู้หญิงจึงเป็นสิ่งที่แตกต่าง ที่ต้องควบคุม งานที่ผู้หญิงทำและความต้องการต่างๆมักจะถูกกำหนดว่าไร้ความสำคัญในกระบวนการจัดสรรทรัพยากรของรัฐ สตรีนิยมและสตรีศึกษาเป็นการต่อสู้ในระดับวาทกรรม เป็นการต่อสู้และการศึกษาเรื่องอำนาจ เป็นการช่วงชิงในระดับตรรกะเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมขึ้น(พริศรา,2544) “เพศภาวะ”(gender)เป็นหน่วยในการวิเคราะห์ของสตรีศึกษาที่ให้ความสำคัญกับประเด็นของอำนาจ “เพศภาวะ” คือ สภาวะแห่งเพศที่มีอิทธิพลต่อการจัดสรรและการเข้าถึงอำนาจและทรัพยากรในสังคม ภายใต้เงื่อนไขของกาละและเทศะแบบใดแบบหนึ่ง(พริศรา,2544) ในที่นี้”เพศภาวะ”(gender)(มีนักวิชาการไทยหลายท่านใช้คำว่า”เพศสถานะ”)ไม่ได้หมายความถึง”เพศทางสังคม”(sex)ที่แบ่งเป็น”หญิง”และ”ชาย”แต่เพศภาวะยังหมายรวมถึงบริบทรายล้อมของตัวบุคคลนั้นด้วย ไม่ว่าหญิงหรือชาย เช่นสถานะทางชาติพันธุ์ สถานะทางชนชั้น อายุ ความสมประกอบทางกายหรือทางจิต สถานะการแต่งงาน สถานะในระบบเครือญาติ ฯลฯ พลวัตรของสถานะเหล่านี้ต่างหากที่เป็นตัวกำหนด ว่าคนกลุ่มไหนจะทรงหรือไร้อำนาจ(พริศรา,2544) เพราะฉะนั้นคำว่า”ผู้หญิง”ในการศึกษาเชิงอำนาจ จึงไม่ได้หมายรวมถึงผู้หญิงทุกคน แต่มีขอบเขตเฉพาะผู้หญิงที่ตกอยู่ในลักษณะแบบ”เป็นอื่น”(other)ในสังคมใดสังคมหนึ่งเท่านั้น เชียงใหม่ในอดีต(ประวัติศาสตร์เชียงใหม่ยุคก่อตั้งจนถึงยุคก่อนการล่าอณานิคมซึ่งเป็นเหตุให้เปลี่ยนแปลงระบบสังคม)นั้นมีระบบสังคมที่ให้อำนาจผู้ชายเป็นใหญ่(patriarchy) ซึ่งในระบบสังคมนี้ ผู้ชายจะได้รับเอกสิทธิ์พิเศษ ในการควบคุมอำนาจ และความมั่งคั่งในสังคม(วิสุทธิ์,2544) โดยกันผู้หญิงให้มีเพศสถานะที่มีลักษณะที่”เป็นอื่น”(other) มีการสร้างจารีต”ห้าม”ผู้หญิงแสดงออกในเรื่องต่างๆทางสังคม มีการควบคุมและสร้าง”ความด้อย”ในด้านต่างๆ(ปรีชา,2541) เช่น ห้ามผู้หญิงในการศึกษาหาความรู้ แต่ผู้หญิงสามารถยกสถานะของตนเองได้โดยการแต่งงาน โดยจะยกสถานะของตนเองขึ้นตามสถานะของเพศชาย(ปรีชา,2541) แต่ไม่ได้หมายความว่ามีสถานะเท่าเทียมสามีในครอบครัวนั้นๆ เพราะฉะนั้นสถานะของผู้หญิงในสังคมเชียงใหม่ในอดีตนั้นจึงต้องขึ้นอยู่กับเพศชาย จากคุณ : superblackpig - [ 3 ส.ค. 47 04:00:08 ]

ความคิดเห็นที่ 4 การควบคุมออกกฎระเบียบเพศหญิงในระบบสังคมเชียงใหม่ในอดีตนี้ตรงกับการวิเคราะห์วาทกรรมของฟูโกต์ในเรื่องของการจัดระเบียบวินัย(discipline)แก่ผู้ที่มีสถานะ”เป็นอื่น” โดยมีการสร้างสิ่งที่เรียกว่า”จารีต”(ความรู้)ขึ้นมาเป็นกฎเกณฑ์ มีการสร้าง”คัมภีร์”(นพพร,2547)แบบอย่างของสตรีขึ้นมา เช่น การปรนนิบัติสามี การปฏิบัติตนในสังคม กิริยามารยาท การฝีมือ การบ้านการเรือน วิชานาฎศิลป์และดนตรี(บุญยงค์,2532) ซึ่งหน้าที่ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการปรนนิบัติเพศชาย ซึ่งการสร้างคัมภีร์ของผู้หญิงนี้คล้ายกับ”การประดิษฐ์กายวิภาค”ของทหารฝรั่งเศส(ดูรายละเอียดใน ทองกร,2547) “ลูกผู้หญิงที่ดีนั้นต้องเป็นผู้หญิงแท้”ไม่ใช่”เป็นหญิงครึ่งชายครึ่ง อย่าพึงใจ ใครเขาไม่สรรเสริญเมินอารมณ์”(เรืองอุไร,2513) อีกทั้งยังสร้างข้อห้ามต่างๆซึ่งแสดงว่าเพศหญิงต่ำต้อยเช่น ห้ามผู้หญิงเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ห้ามผู้ชายสัมผัสกางเกงในหรือผ้าซิ่นของผู้หญิง จะเป็นบาปแก่ผู้หญิงที่ปล่อยให้ผู้ชายแตะต้อง(นิธิ,2538) อีกทั้งการแบ่งงานในระบบสังคมเชียงใหม่ในอดีตยังมีการแบ่งงานด้วยเพศ โดยการแบ่งหน้าที่ในบ้านนั้น ผู้หญิงจะมีหน้าที่ดูแลสี่มุมเรือน คือ กวาดบ้านช่อง ทำความสะอาดบ้านเรือน ตักน้ำ ทำกับข้าว พอผู้ชายออกไปทำงานแล้วผู้หญิงก็จะจัดเตรียมอาหารมื้อกลางวัน(สงวน,2511) ซึ่งการแบ่งงานในลักษณะนี้นั้นนักสตรีให้ความเห็นว่า การแบ่งงานระหว่างเพศ เป็นกลไกพิเศษที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างชายและหญิงซึ่งดำรงสถานภาพที่ด้อยกว่าของเพศหญิง(women ‘s Subordination) โดยผูกพันผู้หญิงไว้กับบทบาทการผลิตซ้ำ(reproduction)ทำให้งานของผู้หญิงถูกมองข้าม(invisible)และกลายเป็นงานที่ด้อยคุณค่า(undervalued)(วณี, 2533) ซึ่งการจัดระเบียบวินัยเพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจนี้ยังได้สร้างพื้นที่แห่งความเป็นอื่น(ผู้หญิง)(space for others)(ไชยรัตน์,2543)ไว้อีกด้วย โดยฟูโกต์เห็นว่าในทุกสังคมจะมีพื้นที่แบบหนึ่งที่ไม่ค่อยสำคัญ หรือพื้นที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากสังคม เป็นพื้นที่ของของผู้อื่น/ความเป็นอื่น เป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีการพูดถึง เป็นพื้นที่แห่งความขัดแย้ง หรือไม่ก็เป็นพื้นที่ที่เกิดความขัดแย้งต่างๆ มาอยู่รวมกัน(ไชยรัตน์,2543) ซึ่งความคิดในเรื่องพื้นที่(space)นี้ นิธิ เอียวศรีวงศ์เห็นว่าพื้นที่คติไทยแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ พื้นที่ในแนวระนาบและพื้นที่ในแนวดิ่ง โดยผู้ชายและผู้หญิงสามารถอาจอยู่ร่วมในพื้นที่แนวระนาบได้ แต่ไม่อาจร่วมกันในพื้นที่แนวดิ่งได้ ดูเหมือนผู้ชายจะมีพื้นที่ของตนเองซึ่งสูงกว่าพื้นที่ของผู้หญิง(นิธิ,2538)เช่นผู้หญิงจะไม่สามารถสัมผัสศรีษะของสามีได้ในเวลาปกติ ซึ่งถือว่าเป็น”ของสูง” แต่เพื่อนเพศชายที่สนิทกันมากๆสามารถเล่นหัวกันได้ เหมือนกับการเข้าพบเจ้านายที่เป็นบุคคลที่อยู่ในระดับสูงเมื่อคนที่มีระดับต่ำเข้าพบ ต้องทำการยอบตัวในพื้นที่ระดับต่ำจนติดดินเพื่อไม่ให้ตนเอง”ล่วงล้ำ”เข้าไปในพื้นที่ที่ตนเองไม่สมควรอยู่ซึ่งจะเป็นการผิดจารีต ซึ่งจะทำให้เกิดภัยพิบัติแก่ตนเอง เช่นเดียวกับการยืนค้ำหัวเพศชาย หรือ นั่งสูงกว่าเพศชายเป็นสิ่งที่ผู้หญิงไม่ควรทำจะเกิดภัยพิบัติแก่ตัวเพราะฉะนั้นในพื้นที่แนวดิ่งพื้นที่ของผู้หญิงจะอยู่ต่ำกว่าผู้ชายเสมอ แม้จะอยู่ร่วมในพื้นที่(space)เดียวกันก็ตาม จากคุณ : superblackpig - [ 3 ส.ค. 47 04:00:30 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ซึ่งคำว่า”พื้นที่”ของนิธินี้ไม่ได้หมายความถึงพื้นที่ในทางกายภาพอย่างเดียวแต่ยังหมายรวมถึง ประเภทของกิจกรรมหรือคุณลักษณะต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเพศสถานะอีกด้วยเช่น”พื้นที่ครัว”เป็นพื้นที่ที่สัมพันธ์กับกิจกรรมของผู้หญิง ครัวจึงเป็นพื้นที่ของผู้หญิง เป็นพื้นที่ของความเป็นอื่น เป็นพื้นที่ๆผู้ชายจะไม่ทำการล่วงล้ำเข้าไปหรือหากเข้าไปก็เข้าไปในสถานะอื่น ที่ไม่ได้เป็นสถานะ”ผู้เตรียมอาหาร”อย่างเพศหญิง แต่อาจเข้าไปในสถานะ”ผู้ดูแลความเรียบร้อย”ของบ้าน เพศชายเข้าไปในสถานะที่”สูงกว่า”เพศหญิง หรือผ้านุ่งของผู้หญิง เพราะเป็นของผู้หญิงจึงเหมาะจะอยู่ที่พื้นที่ระดับต่ำกว่าเสื้อผ้าของผู้ชาย(นิธิ,2538) สถาปัตยกรรมเป็นผลลัพท์ทางรูปธรรมของสังคมนั้นๆ สถาปัตยกรรมสื่อความหมายของคติความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ความรู้สึกยกย่อง เทิดทูน หรือเหยียดหยามดูหมิ่น(ฐานิศวร์,2545) ลักษณะต่างๆที่ปรากฏทางสถาปัตยกรรมล้วนตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ใช้สอย คุณค่าทางสุนทรียภาพ หรือจิตวิทยา(ฐานิศวร์,2545) วาทกรรมซึ่งเป็นการสร้างเอกลักษณ์ให้กับสรรพสิ่งต่างๆในสังคม เพื่อการคงอยู่ของอำนาจ โดยการสร้างระเบียบวินัยและการควบคุมพื้นที่น่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งต่อการเกิดลักษณะของสถาปัตยกรรมในช่วงเวลานั้นๆ “บ้านพื้นถิ่นเชียงใหม่”เป็นสถานที่ที่เพศสถานะสามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากในบ้านไม่มีบริบททางสังคมอื่นใดมารบกวนเพศสถานะ การศึกษาพัฒนาการของลักษณะทางสถาปัตยกรรมของพื้นที่ของผู้หญิงในบ้านพื้นถิ่นเชียงใหม่เทียบเคียงไปกับสถานะของผู้หญิงในประวัติศาสตร์ช่วงต่างๆของเชียงใหม่ โดยใช้วาทกรรมซึ่งแสดงให้เห็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจ น่าจะเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจและงานสถาปัตยกรรมที่ฝังรากลึกมาแต่ครั้งอดีต จากคุณ : superblackpig - [ 3 ส.ค. 47 04:00:51 ]

ความคิดเห็นที่ 6 บรรณานุกรม ขวัญฤทัย จ่างจำรัส(2544)”กระบวนการต่อสู้กับการลดทอนความเป็นมนุษย์ของสาวคาราโอเกะ”, ศูนย์สตรีศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร(2545)“สัญวิทยา,โครงร้างนิยม,หลังโครงสร้างนิยม กับการศึกษารัฐ ศาสตร์”,สำนักพิมพ์วิภาษา (2543)”วาทกรรมการพัฒนา”,สำนักพิมพ์วิภาษา พริศรา แซ่ถ้วย(2544)”สถานะสตรีศึกษา:ชาตินิยมในสตรีศึกษาไทยรายงานความล้มเหลวในการ ทบทวนเอกสารสตรีศึกษาภาษาไทย”,ศูนย์สตรีศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทองกร โภคธรรม(2547)”ร่างกายใต้บงการ”แปลจาก“Surveiller et punir”ของMichel Foucault,คำนำเสนอ”ฟูโกต์กับการสืบสาวความเป็นมาของสมัยใหม่”โดยนพพร ประชากุล,สำนักพิมพ์คบไฟ นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์(2538)”ผ้าขาวม้า,ผ้าซิ่น,กางเกงในและฯลฯ”,สำนักพิมพ์มติชน นพพร ประชากุล(2547)คำนำเสนอ”ฟูโกต์กับการสืบสาวความเป็นมาของสมัยใหม่”ใน”ร่างกายใต้ บงการ),สำนักพิมพ์คบไฟ บุญยงค์ เกศเทศ(2532)”สถานภาพสตรีไทย”,สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ ปรีชา ช้างขวัญยืน(2541)”สตรีในคัมภีร์ตะวันออก”,ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลง กรณ์มหาวิทยาลัย วิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ์(2544)”การสร้างความหมายว่าด้วยเครือญาติและครอบครัวในเครือข่ายทาง สังคมของผู้หญิงอิมเมี่ยน(เย้า)ภายใต้วิถีการผลิตเชิงพาณิชย์และระบบสังคมที่ให้อำนาจผู้ชายเป็นใหญ่:กรณีศึกษาแม่ค้าชาวอิวเมี่ยนในตลาดแห่งหนึ่งของชุมชนเมืองเชียงใหม่” ,ศูนย์สตรีศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วณี บางประภา ธิติประเสริฐ(2533)”การแบ่งงานระหว่างเพศและการพัฒนาสตรีชนบท : กรณี ศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย”,ไม่ระบุที่พิมพ์ ฐานิศวร์ เจริญพงษ์(2545)”สรรพสาระจากทฤษฎีสถาปัตยกรรมตะวันตก”,โรงพิมพ์แห่งจุฬาลง กรณ์มหาวิทยาลัย สินิทธ์ สิทธิรักษ์(2547),”สนทนาโต๊ะกลม สตรีศึกษา”,นิตยสารสเกลเล่มที่05 issue 01 เรืองอุไร กุศลาสัย(2513)”คติธรรมจากสถานะของสตรี”,วารสารวัฒนธรรมไทย ปีที่ 10 ฉบับที่ 4 สงวน โชติสุขรัตน์(2511)”วัฒนธรรมของคนเมือง”,วารสารวัฒนธรรมไทย ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 จากคุณ : superblackpig - [ 3 ส.ค. 47 04:01:07 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เสร็จแล้วครับ ไม่รู้ยาวไปรึเปล่า พึ่งเสร็จครับ ก็เอามาโพสต์เลยพรุ่งนี้จะไปส่งอาจารย์ครับ ขอบพระคุณคร้าบ จากคุณ : superblackpig - [ 3 ส.ค. 47 04:02:32 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เดี๋ยวๆขออ่านก่อนนะ ยังไม่ได้นอนเลยชักมึน ว่าแต่ว่าโพสปุบส่งอาจาร์ยปับวิจาร์ณไปก็ไม่มีผลอะไรซีค้า จากคุณ : จิตกาธาน - [ 3 ส.ค. 47 04:38:53 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เป็นการรวบรวมข้อมูลจากที่ต่าง มาวิเคราะห์ วิจารณ์ ใช่มะ ตามความเห็นเรานะ ลักษณะแบบนี้เป็นได้แค่ โปรเจค ถ้าเป็นวิทยานิพนธ์ ควรเป็นการสร้างความรู้ใหม่ๆ หรือ จากการเข้าไปทำการวิจัยเก็บข้อมูลเอง จากสถานที่จริง แต่ว่าก็ขึ้นกับแนวทางการตรวจวิทยานิพนธ์ของแต่ละสถาบันด้วยล่ะนะ คือที่ให้อ่านนี้เป็น บทคัดย่อใช่รึเปล่า การเรียบเรียงก็ไม่ค่อยต่อเนื่องเท่าไหร่อะ เหมือนเอามาแปะๆ ต่อๆ คือ ถ้าเป็น บทคัดย่อ ของ thesis จริงๆ ช่วงย่อหน้าแรก ควรเป็นการเกริ่นนำ 1.บอกพวกวัตถุประสงค์ของงาน 2. วิธีการวิจัย 3. วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล (หรือ 2. 3 .จะเอาไว้ย่อหน้าสุดท้ายก็ได้) ย่อหน้าต่อๆ มา ก็อธิบาย ค่อนข้างใช้ได้แล้ว ส่วน ย่อหน้าสุดท้าย ต้องสรุป วิเคราะห์ ด้วย จากคุณ : Teru - [ 3 ส.ค. 47 12:40:03 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ส่ง ส่ง แม่งไปเหอะ .... จากคุณ : สถ . รุ่นน้อง - [ 3 ส.ค. 47 13:11:15 A:203.150.193.201 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 ผมเคยคุยกับอ.ตอนเปิดเทอม ใหม่ๆ ท่านบอกว่า ในระดับปริญญาโทยังไม่ยอมให้มีการสร้างทฤษฎีใหม่อะครับ พอได้ยินจบผมก็ดิ้นกระแด๋ว ไม่ยอม ไม่ยอม ท่านบอกต้องไปทำในphdอะครับ เพราะว่า โทแค่ 2 ปีไม่พอครับ แต่ด็อกเตอร์ มี 4 ปีน่าจะทำได้ ก็เลยทำได้แต่การเทสต์ทฤษฎีเดิม หรือ เอาทฤษฎีเดิมมาชนกันข้ามสายอย่างนี้พอทำได้ ผมก็เลยพยายามเลี่ยงโดยการเอาสายสังคมมาชนกับสถาปัตย์อะครับ แต่ก็ยังงงกับระบบคิดอีกแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน และก็ตอนเขียนต้องอ้างอิงเยอะมาก เลยรู้สึกเหมือนเอาแปะมาต่อกัน(ตอนเขียนผมก็รู้สึกอย่างนั้น) นี่เป็นปกติหรือผมทำผิดวิธีครับเนี้ย.............อ้าๆๆๆๆๆๆ อันนี้มันยังไม่เชิงเป็นบทคัดย่ออะครับ เป็นคล้ายๆ problem statement มากกว่า คิดว่าจะไปรวบตอนปลายเทอมเพื่อรวบเป็นprospectus และสามารถเขียนหัวข้อในเทอมสองได้ ขอบพระคุณท่าน Teru มากครับ พิศวงงงงวย ----- ท้อแท้เสียจริงครับ จากคุณ : superblackpig - [ 3 ส.ค. 47 13:26:53 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่ชอบอ่านบทความแบบนี้อ่ะไม่อ่านนะ แต่เข้ามาเป็นกำลังใจ จากคุณ : I Know man!! (flyingmoon) - [ 3 ส.ค. 47 15:00:49 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เข้ามาเนี่ยอยากมาอ่านนะ แต่มันยาวเหลือเกินอ่ะค่ะ ขอโทษทีไม่รู้จะแนะนำยังไงนอกจากขอให้ผ่านไปด้วยดี จากคุณ : บีโกะ - [ 3 ส.ค. 47 16:05:19 ]

ความคิดเห็นที่ 14 "คล้ายๆ problem statement " เหรอ เลยไม่รู้จะแนะนำยังไงเลย ถ้าเป็น problem statement เลยจะช่วยง่ายกว่านะ (problem statement ก็คล้ายกับที่เราบอกไปแล้วนั่นหล่ะ แต่จะเน้นทำเป็นหัวข้อ วัตถุประสงค์ วิธีวิจัย วิธีการรวบรวมข้อมูล ประโยชน์ที่ได้รับ หนังสืออ้างอิง ....ขึ้นกับอาจารย์แต่ละคน ว่าเน้นอะไรนะ) ขอแนะนำ แบบนี้ละกัน อยากให้คุณเอา thesis ของรุ่นพี่ที่อยู่ในห้องสมุดมาอ่าน คร่าวๆ หลายๆ เล่ม คุณจะรู้ว่าแนวทางของคณะคุณชอบแบบไหน (แต่อย่าลอกนะ) งานแบบไหนที่ทำแล้วจบ และ ดูฟอร์แมตของthesis ด้วย สำคํญนะ ทำผิดฟอร์แมต แก้จนตายก็ไม่จบ ส่วนที่ยังต้องปรับปรุงมากๆ เลยคือ วิธีการเขียนที่ดี จะไม่เอางานคนอื่นมาต่อๆ กันเป็นเรื่อง ควรศึกษางานที่จะใช้อ้างอิงให้ละเอียด นำมารวบรวม และเรียบเรียงด้วย สำนวน ภาษา ของคุณเอง ให้ถูกหลักภาษาด้วย ยกเว้นบางช่วงที่จะต้องยกคำพูดของหนังสืออ้างอิงมาใส่ในรายงาน ถึงใส่เชิงอรรถในส่วนนั้น ส่วนที่คุณทำเป็นการเสนออาจารย์เฉยๆ ใช่ไหม อาจารย์จะให้คำแนะนำคุณเองว่าหัวข้อนี้ ควรทำรึเปล่า ควรเพิ่มเติมหรือ ตัดอะไรบ้าง ไม่ต้องซีเรียสมาก ลองลิสหัวข้อที่คุณจะทำในแต่ละบทไปเสนออาจารย์ด้วย ว่าเหมาะสมแค่ไหน ตอนทำจะได้ไม่เสียเวลามาก ขอให้โชคดีละกัน ความสำเร็จจะอยู่กับคน ขยันและตั้งใจเสมอ จากคุณ : Teru - [ 3 ส.ค. 47 17:36:54 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อันนี้เป็นชื่อวิทยานิพนธ์ใช่มั๊ย ----------------- ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจและสถาปัตยกรรม:กรณีศึกษาพัฒนาการของลักษณะทางสถาปัตยกรรมในพื้นที่ของผู้หญิงในบ้านพื้นถิ่นเชียงใหม่ ----------------- อ่านชื่อแล้วมึนงง พื้ืนที่ของผู้หญิง? หมายถึงอะไร ลองแปลชื่อเป็นภาษาอังกฤษใฟ้ดูก่อน ภาษาไทยอาจจะทำให้สับสน อยากทราบว่าอะไรเป็นตัวขยาย อะไรเป็นตัวหลัก แล้วถึงจะแนะนำต่อไปได้ค่ะ อ้อ วิชาเอกอะไรคะ จากคุณ : DKW - [ 3 ส.ค. 47 18:46:39 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อืม สถาปัตยกรรมครับ คงประมาณ a relation between power and architecture : case study :development of appeareance of feminine space in local Chiang Mai house ครับ แฮะ แฮะ ประมาณว่าเป็นพื้นที่ ที่ผู้หญิงเป็นผู้ครอบครองในบ้านอะครับ เช่น พื้นที่ครัว หรืออาจจะเป็นพื้นที่ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน เช่น ที่ชานบ้าน แต่ที่นั่งของผู้หญิงจะเป็นที่พื้นที่ต่ำกว่าผู้ชาย อะไรประมาณนี้ครับ เป็นสเปซที่สังคมที่ผู้ชายส่วนใหญ่เป็นใหญ่ไม่ค่อยพูดถึงอะครับ---- ขอบคุณคร้าบ จากคุณ : superblackpig - [ 3 ส.ค. 47 20:15:13 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ในมุมมองของ ถาปัด ก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ เท่าที่ดุๆ คิดว่าคงจะศึกษาถึง public space ในมุมมองของเพศสภาพ รึเปล่าครับ อ่านหัวข้อแล้วยังไม่กระจ่าง งง ส่วนที่ต่อมาเป็นพรืดนั่นคือบทคัดย่อเหรอ หรือว่าอะไรครับ มันดูแล้วงง ส่งอาจารย์แล้วเป็นไงมาบอกในกระทู้ด้วยนะครับ จากคุณ : ใบไม้ ใบหญ้า - [ 3 ส.ค. 47 22:24:20 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อ่านจากงานเขียนของคุณแล้ว ควรจะมีการเกริ่นนำก่อนที่จะเริ่มเขียน scope งานของคุณว่า จากเหตุผลอะไรจึงทำการศึกษาเรื่องนี้ แต่ตรงที่เขียนพวกวาทกรรมมันน่าจะเป็นการทบทวนวรรณกรรม (literature review)นะ ส่วนอันอื่นๆเช่นสตรีศึกษาหรืออะไรเราไม่ต้องไปให้ความหมาย เราควรจะเขียนทำนองว่า ในมุมมองทางด้านสตรีศึกษาเค้าคิดอย่างไร ส่วน problem statement ควรเรียงลำดับจาก ใหญ่มาหาเล็ก แล้ว เขียนสรุปในย่อหน้าท้ายสุดว่า สาเหตุอะไรเราจึงทำการศึกษาเรื่องดังกล่าว ปล. ไม่แน่ใจนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่คิดว่าน่าจะคล้ายๆกับที่เคยทำวิทยานิพนธ์มาก่อน จากคุณ : @Chokadoop@ - [ 4 ส.ค. 47 02:51:38 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าเราเป็น อจ หรือ committee ของคุณนะ  เราจะแนะให้แก้ที่ชื่อก่อนเลย  น่าจะเป็นประมาณ ------------------------------------------ ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจและสถาปัตยกรรม :กรณีศึกษาเรื่องสถาปัตยกรรมท้องถิ่นเชียงใหม่ของพื้นที่ในบ้านส่วนที่ผู้หญิงครอบครอง --------------------------------------- แหะ แหะ ไม่ได้เรียนสถาปัตย์หรอกนะ  แต่สำหรับคนนอกวงการถ้าเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็นแบบนี้จะรู้เรื่องมากกว่า  ลองไปค้นดูว่าในวงการนี้ คำว่า faminine space เค้าใช้ภาษาไทยว่าอะไร  ส่วนจะตรงกับใจของคนทำวิทยานิพนธ์หรือเปล่า  ลองพิจารณาดูนะคะ สำหรับ literature review ยังใช้ไม่ได้เลย สิ่งที่คุณต้องเอามา review คือทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์หรืออิทธิพลของอำนาจกับสถาปัตยกรรม  มีทฤษฎีว่าไว้ว่ายังไง  ใครเคยทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้บ้าง  อาจจะเป็นสถาปัตยกรรมของชาติอื่น  ฯลฯ   แล้วคุณก็บีบเข้าเรื่องงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ของประเทศไทย  มีใครเคยศึกษาวิจัยเรื่องนี้ไว้หรือเปล่า ผลเป็นยังไง แล้วส่งลูกไปยังหัวข้อของคุณว่าทำไมคุณถึงจะทำกรณีศึกษาเรื่องนี้   อย่าบอกนะว่าเพราะคูณระเบียบทำเรื่องให้มันโฉ่งฉ่าง  เลยสนใจเชียงใหม่....อิ อิ บอกอย่างนี้ไม่ได้  มันไม่ professional พยายามหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมต้องเป็นที่นี่   ทำไมไม่ศึกษาบ้านทรงไทยที่อยุธยา บ้านทรง..ของปักษ์ใต้ ฯลฯ   ที่เชียงใหม่น่าสนใจกว่าภาคอื่นตรงไหนในแง่มุมของสถาปัตย์ แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 47 11:02:35 จากคุณ : DKW - [ 4 ส.ค. 47 10:58:02 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ก่อนตัดสินใจเรื่องหัวข้อ คิดหน้าคิดหลังให้ดีกับเคสสตัดดี้ เข้าใจว่าคุณอยากทำอะไรใหม่ๆเด็กถาปัดมีอีโก้ในการคิดทฤษฎีใหม่ๆ และเราก็เห็นด้วยกับการทำไรใหม่ๆ แต่บางหัวข้อที่ เป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่เข้าใจและไม่สามารถใช้งานได้หรือเป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไปคุ้มค่ากับเวลาและเงินทุนในการวิจัย อย่าไปทำเลย ปวดหัวนะค้าบบ จากคุณ : พี่ถาปัด (เกือกซ่าสีชมพู) - [ 4 ส.ค. 47 15:20:59 ]

ความคิดเห็นที่ 21 โอ้มีคนมาตอบล้นหลามเลยแฮะ แฮะ จากตรงนี้พอได้ขอสรุปว่ากระผมต้องรีไรท์แฮะ แฮะ แต่คงไม่รีไทร์ แฮะ แฮะ (ไม่ตลก) ------ขอบพระคุณทุกท่านเลยครับ ------คห.ของคุณdkwชัดเจนมากขอรับ เป็นประโยชน์กับกระผมมาก โดยเฉพาะตรงลำดับ ขอบพระคุณมากครับ ขอมอบให้ทุท่านครับ ขอบพระคุณมากครับ จากคุณ : superblackpig - [ 4 ส.ค. 47 22:13:32 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อ่านคร่าวๆ (คร่าวมากๆ) คิดว่าวิทยานิพนธ์ของคุณน่าสนใจนะคะ แต่มีข้อสงสัยหลายข้อค่ะ เช่น -ไม่ทราบว่าคุณเรียนที่ไหน (ถ้าเรียนที่ มช อาจจะได้คุยกันได้) - เป็นคนล้านนาหรือเปล่า ถ้าเป็น เติบโตในเมืองหรือชนบท - คุณเข้าใจวัฒนธรรมล้านนามากน้อยเพียงไร - พื้นที่ๆจะศึกษานั้น คุณหมายถึงสถาปัตยกรรมโบราณ (เช่นเรือนล้านนาโบราณ) อย่างเดียวหรือว่ารวมถึงบ้านเรือนของคนในปัจจุบันด้วย - ซึ่งจากพื้นที่ที่คุณจะศึกษานั้นมันจะโยงไปถึงกลุ่มตัวอย่างที่คุณจะศึกษาด้วย กลุ่มตัวอย่างนั้นคุณมีไหม จะศึกษาพื้นที่ของสตรีล้านนาในอดีต จากเอกสารอย่างเดียว หรือว่าศึกษากลุ่มตัวอย่างของสตรีล้านนาที่ยังมีชีวิต - และจากข้างบน มันจะโยงไปถึงว่า ชีวิตของสตรีล้านนาในเมือง กับในชนบทมันก็ต่างกัน คุณจะศึกษาตรงไหน - หากกลุ่มตัวอย่างและพื้นที่ๆ คุณจะศึกษา เป็นบ้านเก๊าผี แน่นอนว่า function(เขียนถูกไหมเนี่ย) ของการใช้พื้นที่ในบ้านนั้นย่อมแตกต่างไปจากบ้านอื่นๆ บทบาทและสถานภาพของสตรีผู้อาศัยอยู่ในบ้านนั้นย่อมแตกต่างไปจากบทบาทและสถานภาพของสตรีบ้านอื่นๆ - อำนาจของผู้หญิงและผู้ชายล้านนาที่มีอยู่ในบ้าน มันคงจะไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแต่บนเรือนแต่มันครอบคลุมถึงพื้นที่ทั้งหมดของข่วงบ้าน คุณคงต้องขยายขอบเขตไปเป็นภูมิสถาปัตย์ด้วยนะ เราคิด่วา - ระวังความคิดเรื่องที่ว่าในสังคมล้านนาผู้ชายเป็นใหญ่หน่อยนะคะ เพราะว่าในสังคมล้านนาในอดีตนั้นเป็นสังคมของผู้หญิงนะคะ คุณรู้หรือไม่ว่า เรือนเก๊าของตระกูลนั้นจะตกเป็นสมบัติของลูกสาวคนเล็กนะคะ ในอดีตนั้นคนเมืองจะแต่งเขยเข้าบ้าน ผู้ชายจะต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงเป็นเวลา 3 ปีเพื่อทำงานให้กับครอบครัวฝ่ายหญิงก่อนจะออกไปตั้งครอบครัวของตัวเอง การถือผีจะถือผีฝ่ายหญิงนะคะ งานนี้ผู้ชายจ๋อยค่ะ ความคิดตรงนี้ คุณต้องศึกษาให้ดี ไม่งั้นผลการศึกษาอาจจะผิดพลาดได้ - คิดว่าการศึกษาในเชิงนี้ อาจารย์จากคณะวิจิตรศิลป์ มชหลายท่านถนัดและทำได้ดีค่ะ ลองไปค้นงานของอาจารย์หลายๆ ท่านศึกษาดูนะคะ จากคุณ : [NostalgiA] - [ 6 ส.ค. 47 10:57:37 ]