Diva Diary Part 3 : Laura Branigan - Glory Of The 80's{แตกประเด็นจาก A2985461}
Laura Branigan : Glory of the 80s
จากการจากไปของเธอ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2004 ด้วยวัยเพียง 47 ปี Laura Branigan นักร้องที่เคยโด่งดังอย่างมากในยุค 80s แม้ชื่อเสียงของเธอในปัจจุบัน จะแทบไม่เป็นที่รู้จักเหมือนแต่ก่อน แต่ในฐานะที่เธอเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในวงการเพลง Pop จึงขอเขียนถึงเธอ เพื่อเป็นการให้เกียรติและไว้อาลัย ต่อ Glory of The 80s ผู้นี้ และสำหรับผู้ที่จะไปชมคอนเสิร์ต I Love The 80s โดย VH1 ถ้ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง รู้สึกว่าเราจะได้ฟังเพลงของเธอในวันนั้นด้วยครับ
Laura เป็นชาว New York โดยกำเนิด ในครอบครัวที่ไม่สนับสนุนในเรื่องการเข้าวงการมายา เธอเรียนจบชั้นมัธยมตามที่ครอบครัวต้องการและตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ ด้วยการสมัครเรียนต่อที่ American Academy of Dramatic Arts in New York City
Laura เป็นสาวผิวขาวที่มีน้ำเสียงโดดเด่น ด้วยความกว้างเสียง 5 ออกเตฟ แต่เนื้อเสียงจะออกไปทางแหบพร่า แข็งกร้าว แบบนักร้องเพลง Rock เข้าวงการด้วยการเป็นนักร้อง Back up ให้กับ Leonard Cohen (นักดนตรีและนักประพันธ์เจ้าของเพลงดังอย่าง Im Your Man) ในปี 1977
หลังจากออกทัวร์คอนเสิร์ตกับ Leonard มาเป็นเวลานาน เธอรู้ตัวเองแล้วว่า สิ่งที่เธอต้องการทำมากที่สุดในชีวิต คือการเป็นนักร้อง เธอได้เซ็นสัญญากับ Atlantic Record ในปี 1979 และเริ่มทำอัลบั้มแรกและออกวางจำหน่ายในปี 1982 มีชื่อว่า Branigan โดยมีเพลงเปิดตัว ชื่อ Gloria (เพลงต้นฉบับเป็นภาษาอิตาลี โดย Umberto Tozzi) ซึ่งกลายเป็นเพลง Disco/Pop ขึ้นทำเนียบคลาสสิค และทำให้เธอเป็นที่รู้จัก เพลงนี้ถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญสำหรับวงการเพลงเต้นรำสมัยนั้น เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงตกต่ำของเพลง Disco เพียวๆแล้ว และเพลงจังหวะปานกลางถูกนำมาเปิดมากขึ้นตาม Club แต่เมื่อเพลง Gloria ออกมาด้วยท่วงทำนองเร็ว สนุกสนาน ประกอบกับเสียงร้องที่ทรงพลัง ทำให้เพลงที่ประกอบด้วยเสียง synthesizers แบบนี้เป็นที่ต้องการอย่างหนักใน Club สมัยนั้น เพลงนี้ยังสามารถขึ้นไปถึงอันดับ 2 Billboard อยู่ใน Chart นาน 22 สัปดาห์และทำให้เธอได้เสนอชื่อเข้าชิง Grammy Award สาขา best pop vocal performance from a female artist. เพลงนี้ใครฟังแล้วอดใจไม่ขยับตัวตามได้ ถือว่าเก่ง
แนวเพลงของ Laura ถ้าคุณชอบ Soundtrack เรื่อง Flashdance (ซึ่งเธอได้ร่วมร้องด้วยในเพลง Imagination) หรือเพลงแบบ Donna Summer น่าจะชอบเพลงของเธอได้ไม่ยากนัก แต่สิ่งที่โดดเด่นกว่าคนอื่นคือ น้ำเสียง 5 ออกเตฟ ของเธอนั่นเอง
Dianne Warren ? นักฟังเพลง Pop ร่วมสมัยทั้งในยุค 90s จนถึงปัจจุบัน ถ้าเอ่ยชื่อนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก เธอเป็นนักแต่งเพลงเจ้าของเพลงดังอย่าง How Do I Live?,Because You Loved Me,Un-Break My Heart,I Dont Want To Miss A Thing เป็นต้น แต่ทราบไหมว่า ถ้าไม่มีเสียงร้องของ Laura Branigan ในเพลง Solitare ปี 1983 Dianne คงไม่มีชื่อเสียงมาจนถึงวันนี้!
Laura เป็นศิลปินรายแรกที่ส่งเพลง Dianne Warren ฮิตติด chart ถึงอันดับ 7 Billboard ในปี 1983 จากอัลบั้มชุดที่ 2 Branigan2 โดยเพลงนี้เธอได้โชว์กระบังลม ลากเสียงยาว 12 วินาทีในท่อนจบด้วย...ขนลุกเกรียว (ใครอยากฟัง Dianne แต่งเพลงเร็วกึ่ง Disco แต่ท่วงทำนองเพราะๆ และพลังเสียงสุดยอดสมควรไปหามาฟัง)
และในชุดนี้ ยังมีเพลงที่เป็นการประพันธ์ของอีกหนึ่งนักร้องที่จะโด่งดังอย่างมากในยุค 90s คือ Micheal Bolton (เจ้าของเพลงฮิตอย่าง Said I Love You But I Lied และเพลง cover ยอดฮิตประกอบโฆษณา ชีวาสเมื่อหลายปีก่อน To Love Somebody) กับเพลง How Am I Supposed To Live Without You? กลายเป็นเพลงช้ากระชากอารมณ์ ด้วยการร้องอย่างเข้าถึง สามารถขึ้นถึงอันดับ 12 Billboard ได้ในปี 1983 (และอีก 7 ปีต่อมา เพลงนี้ถูก Bolton เอามาร้องใหม่เองและสามารถขึ้นไปถึงอันดับ 1 Billboard ในปี 1990 ) เพลงนี้เพราะมากจริงๆ ถ้าใครกำลังอกหักสมควรรีบไปหามาฟัง ซ้ำเติมตัวเอง
อัลบั้มชุดที่ 5 Touch ในปี 1987 Laura หันตัวเองมาทำเพลง Dance เข้ายุค ด้วยการใช้บริการของ Stock,Aitken,Waterman (เบื้องหลังความสำเร็จของ Kylie Minogue,Bananarama,Rick Asley) เหมือนจะตามรอย Donna Summer ที่กลับมาดังด้วยงานของ 3 คนนี้ เปิดตัวด้วยเพลง SHATTERED GLASS กลายเป็นเพลง Dance ฮิตอีก 1 เพลง แต่ไปได้เพียงอันดับ 48 ใน Pop Chart และเธอก็ได้ลองเปลี่ยนแนวตัวเองมาโชว์พลังเสียง 5 ออกเตฟ ด้วยเพลง Ballad The Power Of Love (เพลงเก่าของ Jennifer Rush ในปี 1985 เพลงเดียวกันกับที่ Celine Dion นำมาร้องใหม่จนขึ้นถึงอันดับ 1 อเมริกา) และการนำมาทำใหม่ครั้งที่ 2 ก็ส่งให้เพลงนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 28 Billboard ได้สำเร็จ
ในปี 1990 ถือเป็นช่วงหมดยุคของเธอ อัลบั้มชุดที่ 6 Laura Branigan ไม่ประสบความสำเร็จเลย แม้เลือด Disco ยังเต็มเปี่ยม ด้วยการนำเพลง Turn The Beat Around ของ Vicki Sue Robinson มาร้องใหม่ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ (เหมือน Gloria Estefan ทำได้ในอีก 4 ปีต่อมา)
อัลบั้มชุดที่ 7 Over My Heart ในปี 1993 เช่นเดียวกับอัลบั้มที่แล้ว แม้จะพัฒนาเสียงร้องถึงขีดสุดของความไพเราะ แต่ก็กลับล้มเหลวเช่นเดิม Laura ในอัลบั้มนี้ เป็นการนำเพลงแนว Soft Rock/Adult Contemporary Pop มาร้อง เป็นการเปลี่ยนแนวอย่างมาก และไม่มีเพลงจังหวะเร็วเลย How Can I Help You To Say Goodbye มีความไพเราะมากๆ ถ่ายทอดอารมณ์เศร้าซึ้งถึงใจ ถือเป็นเอกลักษณ์อย่างนึงของเธอ เรียกได้ว่าถึงช่วงสูงสุดในเรื่องการดึงความสามารถในการร้องเพลงของเธอเลยทีเดียว
Laura ออกอัลบั้ม The Very Best Of มาในปี 1995 พร้อมเพลงใหม่ Dim All The Light เพลงเก่าของ Donna Summer นำมาทำใหม่ โชว์กระบังลมเหล็กเป็นหลักด้วยจังหวะทันสมัย และเพลง Show Me Heaven (เพลงเก่าอันดับ 1 UK ของ Maria Mckee ในปี 1990) และรวมเพลงดังๆ ที่เป็นประวัติศาสตร์ชีวิตเธอได้เกือบครบถ้วน (ยังขาดบางเพลงที่น่าฟัง เช่น I Found Someone) แต่ถือว่าคุ้มค่ามากๆครับ สำหรับคนที่อยากลองฟังเพลงในยุค 80s ที่ Disco/Pop กำลังเฟื่องฟูและพลังเสียง 5 ออกเตฟ อีกรายที่มีเนื้อเสียงแหบกร้าวไม่ซ้ำใคร
หลังจากอัลบั้มรวมฮิตในปี 1995 ก็ไม่มีอัลบั้ม(ที่เป็น Official Release)ออกมาอีก เป็นเพราะว่าในช่วงปี 1994-1996 หลังจาก Studio Album ชุดสุดท้าย Over My Heart เธอได้ใช้เวลาทั้งหมดเฝ้าพยาบาลสามี ที่ป่วยเป็นมะเร็ง จนวันสุดท้ายของชีวิตเขาในปี 1996 เธอเอ่ยว่า "That's what I lived for," "It was not even a choice."
หลังจากสูญเสียสามี เธอได้ cover เพลง The Winner Takes It All ของ ABBA ด้วยแนว Disco/Pop แนวถนัด แต่เหมือนการต้อนรับผู้หญิงวัย 40 กว่าๆอย่างเธอจะน้อยเสียเหลือเกิน เมื่อเทียบกับเมื่อ 20 ปีก่อนอย่าง Gloria แต่มันก็ไม่ทำให้เธอท้อแท้ เธอพูดถึงชีวิตที่เกิดมาเพื่อร้องเพลงของเธอ ว่า "Everybody's been through love and pain in their lives," "and that's what music is about."
ขอบคุณพี่ มด ครับ ไม่ว่าจะได้อ่าน tribute เธอขนาดนี้ ผมเองชื่นชอบเพลงของเธอมาก อัลบัมรวมฮิตฟังจนปุแล้ว สองวันมาเนี่ย ก็หยิบเอามาเปิดตลอด ฟัง i over you กับ How Can I Help You To Say Goodbye แล้วน้ำตาเล็ด แม้ว่าผมจะไม่ได้เครซี่เธอมากมาย แต่อดใจหายไม่ได้ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ฟังเพลงเธอมาตลอด แม้จะมุมเงียบในห้อง แต่ก็ซึมซับความสุขจากบทเพลงของเธอไม่น้อย พี่มดว่าพอจะเป็นไปได้ไหมที่ vh1 จะเอาพวกสารคดีแบบ behind the music ของ laura มาออก ผมว่า vh1 ใน america ทำแน่นอน ทุกครั้งที่มีนักร้องดังๆตาย จะมีรายการแบบนี้ออกมาหวนรำลึก ลุ้นอยากให้ vh1 เมื่องไทยเอามาออกอากาศจังเลยครับ แต่ถ้าไม่ได้ เอาเอ็มวีเก่าๆมาเปิดรวมกัน เป็นช่วงพิเศษให้เธอก็ได้
ปล เดือนที่แล้ว vh1 เปิด self control บ่อยมาก ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นลางบอกเหตุ จนกระทั้งวันที่เธอจากไป เหมือนเพื่อนพี่มดจะรู้น่ะ ว่าเธอจะจากไป อะไรดลใจให้เขาเลือก self control ใส่ playlist ของเดือนที่แล้วครับ อยากรู้จัง