โฆษณา DTAC ที่มี 2 CEO ของบริษัทใส่เสื้อเชิ๊ตสีน้ำเงินเป็นตัวเอกนั้น ใช้เพลง Close To You ของ The Carpenters ประกอบ แม้เวอร์ชันที่เปิดจะไม่ใช่ของ 2 พี่น้องช่างไม้ก็ตาม แต่ก็อดทำให้คิดถึงพวกเขาไม่ได้
ผมเคยแปลบทความเกี่ยวกับดูโอพี่น้องคู่นี้ในนิตยสาร audiOphile นานมาแล้ว ก็เลยเห็นเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ที่อยากรื้อฟื้นเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเขา ซึ่งนำมาจากดีวีดีสารคดีชุด Close To You ที่มีริชาร์ดและอดีตผู้ร่วมงานทั้งหลายมาร้องเรียงเรื่องราวให้เราได้ทราบ จะขาดก็คือไม่มีแคเรนมาร่วมเล่าด้วย (ถ้าเธอมาก็คงให้บรรยากาศระทึกไปอีกแบบ!) หากสนใจเชิญอ่านได้ตามสบายเลยนะครับ
Burt Bacharach (นักแต่งเพลง): ผมแต่งเพลงหนึ่งขึ้นมากับ Hal David ชื่อ Close To You ผมทำเพลงนี้ครั้งแรกโดยมี Richard Chamberlain เป็นผู้ร้องเมื่อหลายปีก่อน มันค่อนข้างจะอ่อนปวกเปียกนะ ผมคิดว่าผมเล่นดนตรีเองในเพลงนั้นด้วย แล้วก็ยังไม่เคยมีความคิดเด็ดๆสำหรับมันจนกระทั่งริชาร์ด คารเพนเตอร์กับเฮิร์บ อัลเพิร์ตนำมันมาทำจนได้
Chapters 5-6: (They Long To Be) Close To You / Weve Only Just Begun
Richard: ตอนนี้คุณต้องเข้าใจว่าเมื่อหลายเดือนก่อน Ticket To Ride ขึ้นถึงอันดับ 54 ส่วน Close To You เปิดตัวครั้งแรกที่อันดับ 56 ผมจำได้แม่นเลยว่ามันไปยังไงต่อ 56-37-14-7-3 แล้วก็ 1 ผู้คนบอกว่าคาร์เพนเตอร์สคือความสำเร็จชั่วข้ามคืน แต่ไม่ใช่หรอก จริงๆคือ Close To You ต่างหากล่ะ
(ภาพ...The Carpenters รับรางวัลแกรมมีสาขา Best Contemporary Vocal Performance by a Duo or Group or Chorus จากเพลง Close To You)
Paul Williams (นักประพันธ์คำร้อง): Roger Nichols กับผมได้แต่งเพลงร่วมกันมา 2-3 ปีแล้วในขณะนั้น มีคนนำเพลงของเราไปบันทึกเสียงมากมาย มีทั้งพวกบีไซด์ของซิงเกิลและอัลบัมคัต แต่ไม่เคยได้เป็นซิงเกิลเลย แล้วอยู่ดีๆก็มีบริษัทหนึ่งจะทำหนังโฆษณาให้กับธนาคาร Crocker ซึ่งฉายภาพของคู่หนุ่มสาวในพิธีแต่งงาน นั่นแหละคือโอกาสทองของผม ผมเป็นคนร้องเพลง Weve Only Just Begun สำหรับโฆษณาชิ้นนั้น และสิ่งที่น่าสนใจก็คือมันก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบรับในทันที ริชาร์ด คาร์เพนเตอร์โทรฯมาแล้วถามว่ามีเพลงนี้แบบเต็มๆหรือเปล่า ก็แน่นอนว่าถึงไม่มีผมก็ต้องโกหก เพราะการที่จะได้วงระดับคาร์เพนเตอร์สมาบันทึกเพลงของเรานั้น มันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหน
Richard: นอกเหนือจากท่อนเวิร์สที่ผมได้ฟังแล้ว ก็ยังมีท่อน Sharing horizons that are new to us, And when the evening comes แล้วก็ Together .together ทุกๆสิ่งล้วนแต่บอกความหมายว่าฮิตสำหรับผม จากนั้นผมก็ดำเนินการเรียบเรียงมันแล้วก็บันทึกเสียง
John: มันจะเป็นเรื่องง่ายที่เราจะสามารถเดินสายออกทัวร์กันถี่ยิบขนาดนั้นหากไม่ใช่เพราะเราต้องตรากตรำกับการบันทึกเสียงไปด้วย ภาระหนักตกอยู่กับแคเรนและริชาร์ด โดยเฉพาะริช เพราะเขาต้องคอยเปิดหูเปิดตามองหาเพลงฮิตชิ้นต่อไปตลอดเวลา ซึ่งมันก็เลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางครั้งเขาพบเพลงเหล่านี้จากการชมโทรทัศน์บ้าง หรือได้ยินจากโฆษณาธนาคารที่ได้กลายมาเป็น Weve Only Just Begun บางครั้งออกไปผ่อนคลายด้วยการชมภาพยนตร์ก็ไปสะกิดใจกับท่อนสั้นๆท่อนหนึ่งซึ่งต่อมากลายเป็นเพลง For All We Know นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกความใจจดใจจ่อของเขาอย่างคงเส้นคงวาสำหรับก้าวถัดไป
Petula Clark: ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันหนอ นั่งอยู่หลังชุดกลอง ร้องเพลงได้ราวกับนางฟ้า ฉันรู้สึกทึ่งเหลือเกิน ฉันจึงเดินเข้าไปหาเธอเพื่อแนะนำตัว ฉันไม่เคยรู้ว่าทำไมพวกเขาถึงขอให้ฉันร้องเพลง For All We Know ในงานแจกรางวัลออสการ์ส ทั้งที่มันเป็นเพลงของพวกคาร์เพนเตอร์ส
Richard: มันเป็นกฎข้อหนึ่งที่ว่าหากคนๆนั้นไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ในภาพยนตร์ ก็จะไม่สามารถขับร้องเพลงนั้นได้แม้จะเป็นเพลงฮิตของเขาก็ตาม ซึ่งเรารู้สึกผิดหวังมาก ปีถัดมาพวกเขาก็ถอดกฎข้อนั้นทิ้งไป ซึ่งแน่นอนว่าเราก็มีเพลงใหม่อีกคือ Bless The Beasts And The Children แล้วเราก็ได้แสดงเพลงนี้ในงานออสการ์สด้วย แต่ในปีนั้นมันแพ้ให้กับ Shaft
Daniel: ปัจจัยแรกสุดที่ทำให้สำเนียงแบบคาร์เพนเตอร์สมีความแตกต่างไปจากวงอื่นก็คือเสียงร้อง ตั้งแต่โน้ตตัวแรก คุณจะทราบเลยว่านี่คือเสียงของแคเรน นั่นแหละคือคุณสมบัติของนักร้องที่ยิ่งใหญ่ เหมือนที่คุณบอกได้ทันทีเมื่อได้ยินเสียงของ Bing (Crosby), Frank (Sinatra), Ella (Fitzgerald) และ Sarah Vaughn เพียงแค่โน้ตตัวเดียว คุณก็รู้ว่ามันไม่สามารถเป็นใครอื่นได้ อีกข้อหนึ่งคือเสียงร้องประสานเป็นชั้นๆทั้งหมด 8 เสียง
Richard: สิ่งที่มีผลต่อการเรียบเรียงดนตรีของผมมากที่สุดและต่อซาวนด์แบบคาร์เพนเตอร์สทั้งปวงก็คือดนตรีของ Les Paul กับ Mary Ford เธอโอเวอร์ดับเสียงของตัวเอง ซึ่งในยุคนั้น ราวๆปี 1950-51 ผมไม่คิดว่าจะมีคนมากสักเท่าไหร่ที่รู้จักเทคนิคนี้ แต่เดี๋ยวนี้ใครๆก็ใช้กันเกร่อไปหมด
Les Paul: การโอเวอร์ดับเป็นสิ่งที่ผมคิดค้นขึ้น ผมสามารถทวีคูณเสียงของแมรีเป็นสัก 3,6,9,12 เสียงตามที่ผมต้องการ มันเป็นเหมือนทรัพย์สินทางปัญญาอันล้ำค่าเชียวล่ะ คาร์เพนเตอร์สสร้างเสียงที่สวยงามจากเทคนิคนี้แหละ
Chapters 11-12: Hurting Each Other / Goodbye To Love
Richard: เพลง Goodbye To Love โคจรมาหาผมก็ตอนที่ผมได้ดูหนังเก่าที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งของบิง ครอสบี ทางทีวี (เรื่อง Rhythm On The River ปี 1940) ในเรื่องเขารับบทนักแต่งเพลง แล้วในเนื้อเรื่องก็จะมีการพูดถึงเพลงที่ถือว่ายอดนิยมที่สุดของเขาที่ชื่อ Goodbye To Love อยู่บ่อยๆ แต่เรากลับไม่เคยได้ฟังเพลงนี้เลย แล้วผมก็มาคิดว่า.... Goodbye To Love ช่างเป็นชื่อที่สุดยอดเหลือเกิน และทันทีที่ผมได้ยินชื่อเพลงนี้ ผมก็สร้างจินตนาการด้วยเสียงเปียโนขึ้นมา
John: ผมเคยอยู่ใกล้ๆพวกเขาในเมืองใหญ่ แต่ไม่เคยออกทัวร์ด้วยกัน ผมอาศัยอยู่ที่แนชวิลล์ แต่งเพลงแนวคันทรี แล้วริชกับแคเรนก็มาแสดงที่นี่ ผมบอกว่าเจอกันหลังเวที ตอนที่ผมไปยืนรออยู่นั้น อยู่ดีๆก็มีแฟนๆสัก 1,200 คนวิ่งตรงมาหาผม และตอนนั้นผมไม่ทราบว่าพวกเขาเดินทางด้วยเครื่องบินเลียร์เจ๊ต ไม่ใช่สายการบินพาณิชย์ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่เราได้ความคิดเกี่ยวกับเพลง Top Of The World ตอนที่เราอยู่บนเครื่อง ผมโน้มตัวไปที่ริชาร์ดแล้วถามว่า นี่เรากำลังอยู่บน Top Of The World แล้ว ใช่ไหม?
Chapters 13-17: Top Of The World / The Story Continues / Only Yesterday / Merry Christmas Darling / This Masquerade
Werner Wolfen (ที่ปรึกษาอาวุโสของวง): Jerry Weintraub เป็นผู้จัดการของพวกเขาตั้งแต่ปี 1976 เขาเป็นกังวลว่าแผ่นเสียงจะขายได้ไม่ดีเหมือนเดิม เขาก็เลยมีความคิดเรื่องรายการโทรทัศน์ขึ้นมา ซึ่งเป็นสื่อประเภทที่เขามีประสบการณ์อย่างมากอยู่แล้ว
(ภาพ...ร่วมกับ John Denver ในฐานะแขกรับเชิญของรายการ
Richard (กล่าวในงาน Walk Of Fame): วันนี้เป็นวันหนึ่งที่ระคนไปด้วยความเศร้า แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นวันที่สวยงามสำหรับครอบครัวและตัวผมเอง สิ่งเดียวที่ผมเสียดายคือแคเรนไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อมีส่วนร่วมกับเรา แต่กระนั้นผมก็รู้ว่าเธอยังคงเหมือนไม่ได้ห่างไกลไปจากใจของพวกเราทุกคน