ความคิดเห็นที่ 12
ถูกต้องนะคร๊าบบบบบ สำหรับความเห็นเจ้าคุณท่าน เสริมอีกนิดงานStandard มันมักจะให้ความสำคัญกับSongwriter หรือคนเขียนเพลงที่ได้ประพันธ์ไว้ซึ่งแต่เดิมเป็นงานสำหรับละครเพลงหรือที่เรียกว่า The Musical ซึ่งสมัยก่อนถือเป็นงานบันเทิงประเภทเดียวที่ดึงดูดผู้คนให้รู้จักบทเพลงคลาสสิคในอดีต เพราะสมัยก่อนยังไม่มีโรงภาพยนตร์ หรือแหล่งบันเทิงที่มีระดับพอที่จะให้คนเสพย์งานดนตรีได้ โดยในช่วงเปลี่ยนของคศ1900 มีนักแต่งเพลงที่กลายเป็นตำนานซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพจากยุโรปเพื่อมาขุดทองในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในนิวยอร์คเช่น George and Ira Gershwin, Irving Berlin, Richard Rodgers, Lorenz Hart, Cole Porter, Vernon Duke ซึ่งถ้าเราสังเกตให้ดีในเพลงแจ๊ซที่เราฟังมักจะปรากฏชื่อผู้ประพันธ์เหล่านี้โดยตลอดที่อยู่ในวงเล็บต่อจากท้ายเพลง ซึ่งมักจะมีอักษรย่อที่บอกว่าเพลงนี้อยู่ภายใต้การจัดเก็บลิขสิทธิ์โดยสถาบันใดเช่น ASCAP,BMI,SESAC และนั่นทำให้งานเพลงของคนเหล่านี้กลายเป็นStandard หรือในภาษาไทยก็อาจเรียกได้ว่าเป็น อมตะนิรันดร์การ (แต่ไม่มีชุด1ชุด2นะครับ ฮา) แต่คนมักเข้าใจว่าศิลปินแจ๊ซที่นำมาเล่นเป็นผู้แต่งซึ่งไม่ถูกต้อง แต่ทีนี้มันเกิดปรากฏการณ์พิเศษที่ศิลปินแจ๊ซบางคนนำมาCover จนมันกลายเป็นว่าหากศิลปินคนนั้นไม่นำมาเล่นเพลงเหล่านี้ก็ไม่มีทางเป็นที่รู้จักได้เช่น Stormy Weather ขับร้องโดย Lena Horne, God Bless the Child โดย Billie Holiday, Over the Rainbow โดย Judy Garland, God Bless America โดย Kate Smith หรือMy Funny Valentine โดย Chet Baker, My Favorite Things โดย John Coltrane และอีกมาก ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นการตอกย้ำความเป็นStandardมากยิ่งขึ้น และยิ่งมีการนำไปเล่นมากเท่าไหร่ผู้ประพันธ์เพลงก็จะได้เงินมากเท่านั้นหากยังมีชีวิตที่จะใช้เงิน ซึ่งส่วนใหญ่ตายหมดแล้วคงตกได้แก่ทายาทหรือบริษัทที่เป็น Publishers ทั้งหลาย ดังนั้นในวงการธุรกิจเพลงจึงมีผู้ต้องการเป็นนักแต่งเพลงกันมากเพราะหากเพลงเราดัง คนนำมาเล่นจนเป็นStandard เราได้เงิน (หากไม่ตายภายในร้อยปี ฮิๆ)
Jazzaholic
จากคุณ :
apison@prointered.com
- [
25 ต.ค. 47 20:55:26
A:203.107.193.181 X:
]
|
|
|