ความคิดเห็นที่ 1 Joni เป็นนักร้องที่เขียนเพลง”ด้วยชีวิต”ครับ เธอไม่ได้แต่งเพลงบับเบิ้ลกัม เนื้อหาเรียบง่ายทั่วไปหรือใจตลาด เธอมีจุดยืนที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ แต่งเพลงเป็นเสมือน ”กวี” แล้วก็ทำได้ดีมากเสียด้วย เวลาอ่านเนื้อเพลงของเธอ คุณจะต้องตีความ 30 ชั้น (คล้ายๆเพลงในชุด Ray of Light ของคุณเจ๊แม่) หรืออาจไม่ต้องตีความเลย เพราะคุณต้องใช้สมองส่วน “จินตนาการ” ในการฟังมากกว่า “หู” หรือสมองส่วน “ประมวลความคิด” อาจเพราะโจนิ เจอวิบากกรรรมมาตั้งแต่ยังเด็ก เธอเกิดมาเป็นโปลิโอ และหมอบอกว่าจะไม่มีวันได้กลับมาเดินอีกครั้ง แต่แล้วเธอก็ได้รับการรักษาผ่านมา เธอตัดสินใจเรียนด้าน Art & Music และได้จบการศึกษาจาก Collage of Art,Calgary และได้เริ่มต้นเรียนกีตาร์ด้วยตนเองจากหนังสือสอนกีตาร์ของ Pete Seger และเริ่มต้นชีวิตการเป็นนักร้องเพลง Folk เอะใจกันไหมครับ ว่าทำไมภาพปกอัลบั้มทั้งหลายเป็นภาพวาด เพราะเธอมีใจรักการวาดภาพศิลปะ ไม่น้อยไปกว่าเพลง รูปที่เห็นอยู่บนปกอัลบั้มล้วนเป็นฝีมือของเธอเองทั้งสิ้นครับ แนวการวาดที่ถนัดเป็นประมาณสีโปสเตอร์ หรือสีน้ำมัน...และภาพปกของเธอก็มักมีความหมายแอบแฝงอยู่เสมอ จากคุณ : modjo! - [ 18 ธ.ค. 47 20:56:55 ]

ความคิดเห็นที่ 2 และเมื่ออายุ 20 ปี เธอย้ายไปที่โตรอนโต ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่เธอมีลูกสาวครับ และอายุเพียงแค่นั้น เธอถูกกดดันกับสังคมในเรื่องของคนที่มีลูกโดยไม่ได้แต่งงาน เธอไม่เคยบอกทางครอบครัว ไม่มีเงิน ไม่มีบ้านและไม่มีงาน เธอตัดสินใจแต่งงานกับเปีเธอนักร้องเพลงโฟล์ก ชือ Chuck Mitchell ซึ่งเธอเรียกการแต่งงานครั้งนี้ว่า “A Marriage of Convenience” เมื่อเธออายุได้ 22 ปีเท่านั้น เธอย้ายมา Detroit และได้เล่นเพลงโฟล์กตามผับในเมือง แต่ด้วยการต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ และไม่สามารถกระเตงลูกสาวที่ยังเล็กไปไหนมาไหนด้วย เธอจึงต้องนำลูกสาว Kelly Dale Anderson ไปฝากเลี้ยงในสถานรับอุปการะเด็ก และมุ่งมั่นในอาชีพตัวเองเพื่อหวังซักวันจะกลับมาอยู่กับลูกอีกครั้งเมื่อสบาย...(คล้ายเรื่องอะไรนะเนี่ย...ที่สุดท้ายนางเอกโดนแม่ทิ้งจนตอนหลังไปเป็นนักร้องดัง) ในที่สุด เธอก็ฉายแววให้เห็น โดน David Crosby (แห่ง Crosby,Still,Nash&Young วงโฟล์คระดับตำนาน) พาเธอไปเซ็นสัญญากับ Reprise (สังกัดเดียวกับมาดอนน่าสมัยแรกๆ) เมื่อปี 1968 และได้มีอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง แต่ที่โดนจริงๆคือการได้แต่งเพลงฮิตให้คนอื่นร้องอย่างเพลงที่เรารู้จักกันดี... "Both Sides Now" ที่นำไปร้องโดย Jody Collins อยากให้คุณๆ ได้ลบองอ่านเนื้อเพลงในเพลงนี้ดู แค่พารากราฟแรกก็พอครับ Bows and flows of angel hair and ice cream castles in the air And feather canyons everywhere, i've looked at cloud that way. But now they only block the sun, they rain and snow on everyone. So many things i would have done but clouds got in my way. อ่านแล้วไม่กล้าแปล (กลัวผิด) แต่เนื้อหาประมาณว่าท้องฟ้าที่มีเมฆงาม ลมพัดอาจสวยงามน่ามองสำหรับคนในมุมหนึ่ง แต่อีกมุมหนึ่งเมฆเหล่านี้อาจบดบังแสง และสร้างพายุฝนให้กับคนในอีกมุมหนึ่ง และทุกๆอย่างที่ฉันเคยทำ เมฆก้อนนั้นก็ตามมาบังแสงอาทิตย์สู่ฉันอยู่ร่ำไป ...(เศร้าจังเลย) I've looked at clouds from both sides now, From up and down, and still somehow It's cloud illusions i recall. I really don't know clouds at all. จากการตีความ(เอาเอง) เพลงนี้น่าจะสอนให้คนอย่ามองโลกเพียงด้านเดียว เหมือนเมฆที่พัดพาขึ้นลง เราได้เห็นมันในมุมหนึ่งแต่เราอาจไม่เคยได้มองหรือได้รู้ในอีกมุมหนึ่งของมัน เพราะฉะนั้นอย่าสรุปว่าเมฆหมอกมันสวยงาม หรือมันมืดมนเพียงเพราะมุมมองด้านเดียว(แคบๆ)ของเราเอง จากคุณ : modjo! - [ 18 ธ.ค. 47 21:00:26 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ด้วยกุศลจากความดังของเพลง(ที่แต่งให้คนอื่น) ทำให้เธอได้ออกผลงานมาเรื่อยๆ และมีเพลงที่น่าจดจำเช่น Woodstock งานคัฟเวอร์ของ Crosby,Still,Nash&Young และ Big Yellow Taxi (#67 BB) .. Hey farmer farmer Put away that d.d.t. now Give me spots on my apples But leave me the birds and the bees Please! Don’t it always seem to go That you don’t know what you’ve got Till it’s gone They paved paradise And put up a parking lot เนื้อหาในเพลงนี้ คมคายอย่างที่สุดอีกเช่นกัน เราสามารถอ่านความคิดของเธอทั้งเรื่องการเมือง สังคม ธรรมชาติ ความรักและครอบครัวได้จากเพลงๆนี้เพลงเดียว อย่างเนื้อท่อนที่ยกมาเป็นเรื่องของธรรมชาติและสภาพสังคม (อย่าลืมว่าเพลงนี้มันยุคเมื่อ 30 ปีก่อน) ...เฮ้ ชาวนาๆเอาดีดีทีออกไปซะ และขอรูหนอนไชในแอปเปิ้ลให้ฉัน ปล่อยนกและเหล่าผึ้งให้ฉันนะ ได้โปรด...คุณไม่อาจรู้คุณค่าของสิ่งใด จนกว่าจะเสียมันไป พวกเขาปูพื้นซะสวยหรู แต่กลับใช้เป็นที่สร้างที่จอดรถ... เพลงนี้ยังเป็นหนึ่งในเพลงที่ถูกนำมาทำใหม่มากที่สุด ทั้งจาก Amy Grant,Counting Crow,Janet Jackson เอามาเป็นท่อนฮุคในเพลง Got ‘til it’s gone 30 ปีต่อมา --- เมื่อเข้าสู่ยุค 70 ราวปี 1972 โจนิ เริ่มเปลี่ยนแนวเพลงของตัวเองจาก โฟล์ค บลูส์ มาสู่ แจ๊ส,ร็อค-แจ๊ส (จะเห็นว่าศิลปินเปลี่ยนแนวเพลงของตัวเองเป็นเรื่องธรรมดา อย่าหาว่าหลายใจ ไร้จุดยืนกันอีกเลยนะ) เพลงที่เป็นซิงเกิ้ลและถือเป็นจุดเปลี่ยน ได้แก่ You Turn Me On (I'm a Radio)(#26 BB) อัลบั้ม Court and Spark ขึ้นไปถึงอันดับ 2 บิลบอร์ด และเพลงฮิต Free Man in Paris , Help me,Raised on Robbery จากคุณ : modjo! - [ 18 ธ.ค. 47 21:02:21 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ล้ำ ไม่ซ้ำใคร เช่นเดียวกับมาดอนน่า ในปี 1974 โจนิ ได้นำบีทของกลอง อัฟริกันแบบ  เวิร์ล มิวสิคมาใช้ในเพลง The Jungle Line ถือเป็นการ”สร้างสรรค์” งานที่ไม่ซ้ำใคร ล่วงหน้า 10 ปี เพราะในยุค 80 ตอนกลางอัลบั้มที่ทำเพลงป็อป ผสม เวิร์ล มิวสิคบีทอย่างนี้ ได้รับความนิยมอย่างมาก เช่น  Grace Land ของ Pual Simon ที่ได้อัลบั้มยอดเยี่ยมจากแกรมมี่ อวอร์ด หรือ Peter Gabrial เป็นต้น ในยุคนี้เพลงของเธอถูกนักวิจารณ์กล่าวว่าเป็นช่วงที่เพลงของเธอ เข้าใจยากมากที่สุด ปลายยุค 70 โจนิ อยู่ในวังวนของเพลง แจ๊ซ จนก้าวไปสู่จุดสูงสุดด้วยการร่วมงานกับ Larry Carlton,Wayne Shorter, Chaka Khan โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับตำนานเพลงแจ๊ส.. Charles Mingus ซึ่งกำลังป่วยเป็นโรคร้าย โดยเขาเขียนเมโลดี้ และโจนิ เขียนเนื้อร้อง แต่ไม่ทันเสร็จอัลบั้ม เขาก็ตายในปี 1979 โจนิ ทำต่อจนเสร็จและตั้งชื่ออัลบั้มว่า “Mingus” ต้นยุค 80 โจนิกลับสู่ความเป็น Pop อีกครั้ง ด้วยอัลบั้ม Wild Things Run Fas t และเพลง (You're So Square) Baby I Don't Care (#47 BB) ที่เธอนำเพลงของเอลวิส เพรสลี่มาร้องใหม่ ก็เข้าอันดับเพลงเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี กระแสเพลงแนว synth (พวกอิเลคโทรนิค ป็อป) กลางยุค 80 สามารถทำให้โจนิ หันมาพิสมัยได้ อาจเพราะการแต่งงานใหม่กับ Larry Klein ซึ่งเป็น Sound Engineer เธอได้ร่วมงานหับ เจ้าพ่อเพลงอิเลคโทรนิค อย่าง Thomas Dolby...เจ้าของเพลงฮิต ที่เป็นแนวอิเลคโทรนิคเพลงแรกๆแห่งยุค 80 (เพลง She Blind With Science) และออกอัลบั้มแนวนี้ออกมา 2 ชุด คือ Dog Eat Dog , 1985 และ Chalk Mark in a Rain Storm Me , 1988 แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 47 21:17:35 จากคุณ : modjo! - [ 18 ธ.ค. 47 21:04:57 ]

ความคิดเห็นที่ 5 และในยุค 90 โจนิเหมือนกลับมามีชีวิตใหม่ ด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ได้แก่ 3 อัลบั้มในยุคนี้ของเธอ ถูกนักวิจารณ์ยกย่องในความเป็นสุดยอด (กลับมาสู่แนว Jazz – Tinged Pop) ”การค้นพบลูกสาวที่เคยนำไปฝากในสถานอุปการะเด็ก ที่กล่าวไปตอนต้น (โอ....เหมือนเรื่องอะไรนั่นจริงๆ) “ และการปรับความเข้าใจ รวมถึงการให้เกียรติ ยกย่องจากสถาบันต่างๆ ในยุคนี้ จะกล่าวรายละเอียดต่อไป... อัลบั้มที่น่าสนใจ คือ 1994's Turbulent Indigo ที่ได้รับรางวัล Best Pop Album จากเวทีแกรมมี่ และในช่วงออกทัวร์โปรโมทอัลบั้มนี้ เธอก็ได้รับความเจ็บปวดจากโรคโปลิโอ ที่เคยเป็นตอนเด็ก จนต้องยกเลิกทัวร์ไป (สาเหตุหลัก เพราะเธอต้องสะพายกีตาร์คู่ใจซึ่งมีน้ำหนักมาก) --- ปี 1995 โจนิ เป็นศิลปินรายที่ 4 ที่ได้รับรางวัล เซ็นจูรี่ อวอร์ดจากบิลบอร์ด ต่อจาก จอร์จ แฮริสัน,บิลลี่ โจเอลและบัดดี้ กาย --- ปี 1997 เรื่องราวดุจนิยายน้ำเน่า ก็เป็นจริง เมื่อเธอได้พบกับลูกสาวและหลานชาย...โจนิแอบตามหาลูกสาวของเธอมาเงียบๆโดยตลอด และได้แต่งเพลงเพื่อลูกไว้มากมาย เช่น...Little Green,Chinese Café’ ลูกสาวของโจนิ ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับผู้ปกครองของเธอเล็กน้อยจากสถานเลี้ยงเด็ก และได้ทราบประวัติของตัวเธอจากเวปไซท์ของแฟนเพลงโจนิ จึงได้นำพาทั้งคู่มาเจอกัน... โจนิ ปฏิเสธไปงานที่เธอได้รับบรรจุใน Rock’n Roll Hall of Fame เพียงเพราะเธออยากจะใช้เวลากับลูกสาว ครั้งแรกในชีวิตเนื่องใน “วันแม่" จากคุณ : modjo! - [ 18 ธ.ค. 47 21:07:34 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ปี 2000 เธอออกอัลบั้มแนวสแตนดาร์ด แจ๊ซ ชื่อ Both Sideds Now มีเพลงดังๆนำกลับมาร้องใหม่ เช่น At Last,You’re my thrill และ Both Sides Now เป็นต้น (เป็นชุดที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง Love Actually ที่สามีซื้อให้ภรรยาเอ็มม่านั่นเอง) Joni Mitchell โปรดิวซ์และโค-โปรดิวซ์เองทุกอัลบั้มตั้งแต่อัลบั้มแรก ยันอัลบั้มล่าสุด เธอจึงไม่เคยทำเพลงหลุดจากความเป็นตัวเอง เธอเป็นนักถ่ายภาพและจิตรกร ที่ฝีมือเยี่ยมคนหนึ่ง ดังจะเห็นได้จากผลงานที่เธอนำเสนอออกมาในทุกอัลบั้มบนหน้าปก(และค่อนข้างไปในแนวหลุดโลก) จนกระทั่งได้เปิดเป็นแกลอรี่โชว์ ชื่อ “Voices-The Work of Joni Mitchell” ในปี 2000 จากคุณ : modjo! - [ 18 ธ.ค. 47 21:09:01 ]

ความคิดเห็นที่ 7 จบแล้วครับ 1 ในอัจฉริยะที่ยังมีลมหายใจ ได้ทราบเกร็ดประวัติชีวิตเธอแล้วส่วนตัวรู้สึกซึ้งจัง เหมือนละครน้ำเน่าแต่เธอก็ฝ่าฟันมาได้ ทั้งโรคร้าย,ความจน,การต้องทิ้งลูก,การหย่าร้างถึง 2 ครั้ง,การจากไปของเพื่อนสนิท,ความคาดหวังอย่างสูงจากนักวิจารณ์...แต่เธอก็ผ่านมันมาได้ แม้เธอจะเคยบอกว่าเมฆหมอก มักจะตามเธอไปทุกแห่งหนในเพลง Both Sides Now แต่มันก็เป็นอย่างที่เธอว่าไว้ “อย่ามองโลกด้านเดียว”...ไม่มีอะไรที่เรารู้ไปหมดทุกอย่าง เหมือนชีวิตของเธอ เมื่อเธอเดินมาจนถึงอีกมุมหนึ่ง เมฆที่เธอเห็นกลับเป็นมุมที่สวยงามและมีแสงตะวันเล็ดรอดออกมา ช่วงร้ายๆของชีวิตได้ผ่านพ้นไปแล้ว เป็นอีกด้านของเมฆที่เธอไม่เคยรู้และเพิ่งได้ค้นพบในชีวิต. จากคุณ : modjo! - [ 18 ธ.ค. 47 21:11:05 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ลองอ่านทวนดู รู้สึกว่าภาคนี้เขียนไปเรื่อยๆเปื่อยๆไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาจเพราะไม่ได้ฟังงานของเธอมามากพอด้วยยังไม่ค่อยอิน ยังไงถ้าอ่านไม่ค่อยรู้เรื่องก็ขออภัยนะครับ จากคุณ : modjo! - [ 18 ธ.ค. 47 21:37:56 ]

ความคิดเห็นที่ 9 แนะนำเพลงด้วยสิคะว่าควรเริ่มฟังเพลงของเธอจากเพลงไร ชุดไหนดี จากคุณ : miss mm - [ 18 ธ.ค. 47 23:03:44 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ยาวจังขี้เกียจอ่าน 55 ล้อเล่น ขอบคุณครับ จุ๊บ ๆ ผมลองโหลดเพลงจากอัลบัม Blue มาครับ เพราะเข้าไปอ่าน ๆ ที่คนเขา review กัน เขาจะพูดถึงอัลบั้มนี้ว่า do i have to say more ? อะไรประมาณนี้กันทั้งนั้นครับ แล้วโหลดมาก็เพราะจริง ๆ ครับ แต่ก็ไม่ทุกเพลงหรอก เพลงที่ผมลองโหลดมาแล้วคิดว่าเพราะมาก ๆ ก็ both sides now (first version) อัลบั้ม Clouds... ผมว่าเพราะกว่าใน love actually Help me อัลบั้ม Court and spark นึกไม่ออกครับ ไว้บอกอีก จากคุณ : Venus As A Boy - [ 19 ธ.ค. 47 12:42:20 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ตัว Joni ก็น่ารักด้วยครับ ผมมีคอนเสริตอันนึง น่ารักมาก ๆๆ ยิ้มแย้ม แล้วก็จะมีมุขอะไรให้คนดูหัวเราะกันดัง ๆ ตลอดเวลา ชื่อคอนเสริต Painting with words and music (มั้งครับ) ซื้อแล้วคุ้มครับ ๆๆ แต่เขาแก่แล้วเสียงเลยไม่ใสเหมือนตอนอัลบั้มแรก ๆ หลับตาฟังนึกว่า Sade ครับ หมายถึงในคอนเสริตนะครับ ขอบคุณ พี่ modjo! อีกทีครับ จากคุณ : Venus As A Boy - [ 19 ธ.ค. 47 12:53:23 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้าเป็นไปได้ขออย่านอกเรื่องกระแนะกระแหนกันในกระทู้นี้นะครับ เรื่องส่วนตัวของใครก็ของใคร ชาวบ้านเขาไม่อยากรู้ รำคาญน่ะครับ แก้ไขเมื่อ 19 ธ.ค. 47 16:41:36 แก้ไขเมื่อ 19 ธ.ค. 47 16:41:03 แก้ไขเมื่อ 19 ธ.ค. 47 12:59:35 จากคุณ : Venus As A Boy - [ 19 ธ.ค. 47 12:58:54 ]

ความคิดเห็นที่ 13 พี่ modjo! ครั้งหน้าขอ Sade นะครับ นานเท่าไหร่ก็จะรอ จากคุณ : Venus As A Boy - [ 19 ธ.ค. 47 13:01:12 ]

ความคิดเห็นที่ 14 นานๆโพสที พี่มดคุณภาพคับแก้วจริงๆครับ รู้เลยว่าทำการบ้านสุดๆ ...ขอบคุณมากเลยครับ ได้ความรู้เยอะเลย จากคุณ : yev rugrats - [ 19 ธ.ค. 47 14:44:31 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เพลงแนะนำ ถ้าจะสรุปคร่าวๆ งานของ Joni แบ่งเป็น 5 ยุค 5 แนวที่ควรหามาฟัง 1.ยุค 60-ต้น 70 แนวโฟล์ค เพลงแนะนำ - Woodstock,Chealsea Morning,California(เพลงนี้ 3 สาว Wilson Philips เอามาร้องใหม่ในชุดล่าสุดของพวกเธอ เพราะสุดๆ เป็นเพลงแรกๆของโลกที่พูดเรื่องราวเกี่ยวกับ American Dream ...เจ๊แม่ของเรามาตอกย้ำในอีก 30 ปีต่อมา) 2.ต้น-กลางยุค 70 จะเป็นแนวแจ๊ส เพลงแนะนำ - You Turn Me On I'm A Radio,Help Me,Raised on Robbery 3.กลางยุค 70 จะเป็นแนวแจ๊สที่ผสมบีทของเวิร์ลมิวสิค (เคยได้ระดับ Pat Metheny มาร่วมงาน) เพลงแนะนำ - The Jungle Line,Edith And The Kingpin(เพลงหลังโดดเด่นที่เนื้อหามากๆ เป็นการพูดถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ) 4.ยุค 80 แนว Pop/Synth-Pop เพลงแนะนำ - (You're So Square) Baby I Don't Care(เพลงเก่าเอลวิสมา),Impossible Dreamer (การทำงานร่วมกับเจ้าพ่ออิเลคโทรนิคคนแรกๆของโลก Thomas Dolby) 5.ยุค 90-2000 แนว Contemporary Pop เพลงแนะนำ - Both Sides Now (นำมาร้องเองหลังจากแต่งให้คนอื่นไว้ เป็นแนวสแตนดาร์ด) จากคุณ : modjo! - [ 19 ธ.ค. 47 18:04:15 ]

ความคิดเห็นที่ 16 สุดยอดครับๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขอบคุณมากสำหรับงานดีๆที่บรรจงทำมาให้เราอ่าน คิดว่าผมคงจะลอิงหาชุดที่เป็นสแตนดาร์ดแจ๊สมาฟังก่อนดุเพราะถูกจริตผมดี แถมมีเพลงโปรดอย่าง At last ด้วย ปีใหม่นี้จะรีบไปหามาฟังครับ น้องวีนัส อ่านสะใจไปเลยมั๊ยเนื้อหาปึกแบบนี้ จากคุณ : tinyvoice (tinyvoice) - [ 20 ธ.ค. 47 02:20:16 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เจ๋งเป้ง.. ขอบคุณ พี่ modjo ปล. แต่มันเศร้ามากๆเลยครับตอน Both Sides Now ขึ้นใน Love Actually จากคุณ : virginguy (ซุฟ) - [ 20 ธ.ค. 47 11:49:54 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เฮ้ ! นี่มันกระทู้แนะนำของเฉลิมกรุงได้เลยนะนี่ ! จากคุณ : mr.sac - [ 26 ธ.ค. 47 15:31:13 ]