ความคิดเห็นที่ 1 Chapter Selection • Introduction • Set The Controls For The Heart Of The Sun • Echoes • Breathe • On The Run • Time • The Great Gig In The Sky • Money • Us And Them • Brain Damage • Eclipse Bonus Material • Play All • Brain Damage • Money • Us And Them • Waters’ World View • Breathe • Time • Waters On Rock ‘n’ Roll • Chris Thomas • Gilmour’s Guitars-The Great Gig In The Sky • Gilmour’s Guitars-Us And Them • Gerry Has The Last Word จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 22:21:27 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อัลบัม Dark Side Of The Moon สร้างความสั่นสะเทือนแก่วงการเพลงนับจากปีที่มันออกสู่ท้องตลาดเมื่อปี 1973 ผ่านไปแล้ว 30 ปีแต่ตำนานของมันก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานไม่รู้จบ และเนื่องในโอกาสพิเศษนี้นอกจากจะมีซีดีเวอร์ชันเซอร์ราวนด์ออกมาโกยเงินจากกระเป๋านักเล่นเครื่องเสียงทั้งหลายแล้ว ยังมีสารคดีชุด Classic Series ที่ออกอากาศในช่อง VH-1 ความยาวเฉียด 50 นาที มาบรรจุในแผ่นดีวีดี เพื่อเอาใจผู้ที่ต้องการทราบถึงเบื้องหลังและข้อมูลที่มาที่ไปของผลงานระดับขึ้นหิ้งชุดนี้อย่างละเอียดอีกด้วย ดีวีดีชุดนี้รวบรวมบทสัมภาษณ์ในยุคปัจจุบันของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการผลิตอัลบัม Dark Side Of The Moon แบบต่างเวลาต่างสถานที่ ไม่ว่าจะเป็น Roger Waters, David Gilmour, Rick Wright และ Nick Mason ในฐานะสมาชิกวงในยุคนั้น,  Alan Parsons วิศวกรด้านเลียง (ซึ่งต่อมาเป็นผู้ก่อตั้งวง The Alan Parsons Project), Storm Thorgerson ผู้ออกแบบภาพปก และ Chris Thomas ในตำแหน่ง Mixing Supervisor นอกจากนี้ยังมีความเห็นจากสื่อมวลชนผู้คลุกคลีกับวงการเพลงร๊อค ไม่ว่าจะเป็น David Fricke (Senior Editor ของนิตยสาร Rolling Stone), Nigel Williamson (นักข่าว), Robert Sandall (นักข่าวและบรอดคาสเตอร์) รวมถึง Bhashar Menon ประธาน Capital ในช่วงปี 1971-1990 หัวข้อที่พูดถึงในสารคดีชุดนี้ ไล่ตั้งแต่เบื้องหลังของเกือบทุกแทร็กจากอัลบัมชุดนี้, การออกแบบปกแผ่นเสียง, เทคนิคการมิกซ์เสียง จนกระทั่งผลกระทบของมันที่มีต่อนักฟังเพลงทั่วโลก สิ่งที่จะนำเสนอต่อไปนี้เป็นการคัดบางส่วนบางตอนจากทุกแช๊ปเตอร์ภายใต้ดีวีดีชุดนี้ CHAPTER 1: INTRODUCTION Rick Wright: DSOTM เป็นช่วงที่พวกเราทำงานร่วมกัน เป็นช่วงที่ความคิดสร้างสรรค์โลดแล่นโดยแท้ และเราต่างก็เปิดใจกันมาก จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 22:22:49 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Roger Waters:  ผมว่ามันเป็นเพราะพวกเราต่างก็ยังมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือความร่ำรวยและการมีชื่อเสียง จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 22:23:26 ]

ความคิดเห็นที่ 4 David Gilmour: แนวความคิดที่รอเจอร์กำลังค้นหาในขณะนั้น ยังคงมีความหมายต่อคนทุกรุ่น จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 22:25:59 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Nick Mason:  ผมว่าความสำเร็จของมันนั้น เป็นเพราะมันมีความอุดมสมบูรณ์ มันมีเพลงเด็ดๆและมีไอเดียมากมายที่อัดแน่นอยู่ในอัลบัมเพียงชุดเดียว Nigel Williamson:  มันเป็นงานที่ยกฐานะดนตรีประเภทอันเดอร์กราวนด์และโปรเกรสสีฟร๊อค ให้ขยับเข้าสู่ระดับเมนสตรียม จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 22:26:53 ]

ความคิดเห็นที่ 6 CHAPTER 2 & 3: SET THE CONTROLS FOR THE HEART OF THE SUN / ECHOES David Fricke: ผมจำได้ว่าไปชมการแสดงของพวกเขาในยุคที่เดวิด กิลมอร์เข้ามาร่วมวงใหม่ๆ จากเพลง Set The Controls For The Heart Of The Sun นั้น มันก็คือ Space Rock ดีๆนี่เอง จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 22:27:42 ]

ความคิดเห็นที่ 7 David Gilmour: ในยุคแรกๆ เราทำงานแบบ Instrumental มาก แต่เราก็พยายามทดลองสิ่งใหม่ๆ Echoes เป็นเพลงที่แสดงถึงแนวทางที่เรากำลังก้าวไปอย่างชัดเจน Nigel:  เราต้องไม่ลืมว่าช่วงนั้นมันเป็นยุคทองของ Glam Rock ไม่ว่าจะเป็น Marc Bolan & T. Rex, David Bowie กับอัลบัม Ziggy Stardust ของเขา ซึ่งเนื้อหาเป็นพวก Pop Fantasy แต่แล้วจู่ๆ พิงค์ ฟลอยด์ก็ออก DSOTM ที่มีเนื้อหาจริงจังมาก David Gilmour: หลายๆความคิดทางดนตรีเกิดขึ้นจากการแจมในห้องซ้อม บวกกับเนื้อร้องที่รอเจอร์นำเข้ามา Rick:  มันเป็นเพราะเขามีบางอย่างที่อยากจะสื่อ และมันก็เป็นครั้งแรกที่รอเจอร์แต่งเนื้อร้องทั้งหมด CHAPTER 4: BREATHE (ริคเล่าให้ฟังถึงเมโลดีเปียโนของ Breathe ว่าได้มาจากเพลง Kind Of Blue ของไมลส์ เดวิส) (ภาพ...เดฟโชว์กีตาร์เพลง "Breathe") จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 22:31:22 ]

ความคิดเห็นที่ 8 CHAPTER 5: TIME David Gilmour: เมื่อเรากำลังบันทึกเพลง Time เขา (อลัน พาร์สันส์) เสนอว่าเราอาจต้องการนาฬิกาจริงๆมาใช้ก็ได้นะ Nick: ที่ผมจำได้คือในห้องเรานั้นเต็มไปด้วยเทปที่บันทึกเสียงไว้เต็มไปหมด มันก็คือเทคโนโลยีในยุคนั้น ไม่มีคอมพิวเตอร์ ทุกอย่างจึงเกิดขึ้นได้ด้วยการใช้มือจริงๆนี่แหละ Nigel:  70s เป็นยุคของเสียงกีตาร์ เดฟเขามีสำเนียงแบบบลูส์อย่างเข้มข้น และในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกของห้วงอวกาศและให้เสียงที่ใสกระจ่างด้วย Nigel:  ประโยคหนึ่งที่เด็ดที่สุดของอัลบัมนี้คือ ‘Hanging on in quiet desperation is the English way’ มันน่าจะเป็นประโยคจากนักเขียนอย่าง Evelyn Waugh หรือ Somerset Maugham มากกว่า มันเป็นการสำรวจบุคลิกภาพของคนอังกฤษ ซึ่งผมคิดว่าบุคลิกแบบนั้นแหละที่เป็นตัวนำเข้าสู่เนื้อหาของงานและมันก็เป็นวิถีของเส้นทางอาชีพของพิงค์ ฟลอยด์นั่นเอง CHAPTER 6: THE GREAT GIG IN THE SKY Rick:  พวกเรายังเหลือที่ว่างอีกสัก 4-5 นาทีสำหรับอัลบัม เราคิดว่ามันน่าจะเป็นเพลงบรรเลง ปกติผมชอบนั่งเล่นเปียโนแบบเคาะไปเรื่อยๆอยู่แล้ว และ 2 คอร์ดแรกก็เกิดขึ้น Roger:  Us And Them กับ Great Gig In The Sky มีคอร์ดซีเควนซ์ของเปียโนที่เยี่ยมมาก (ภาพ...ริคโชว์เมโลดีเปียโนของ "Great Gig") จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 22:33:58 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เกี่ยวกับ Clare Torry (นักร้องเสียงโหนหวนในเพลง Great Gig) Roger:  ผมจำไม่ได้ว่าเป็นความคิดของใครที่จะเอานักร้องหญิงมาร้อง แต่อลันรู้จักกับแคลร์ ทอรี ซึ่งเคยร้องเพลงให้เขามาก่อน เราเลยคิดว่าน่าจะลองดู Rick:  เรารู้ว่าเราต้องการอะไร เราอยากได้ใครสักคนมาร้องแบบอิมโพรไวส์ เราก็เลยบอกเธอว่าให้นึกถึงความตาย ความน่าสะพรึงกลัว แล้วก็เข้าไปร้อง ผมจำได้ว่าเธอเดินออกจากห้องอัดหลังเวลาผ่านไปไม่นาน เธอบอกว่าขอโทษจริงๆที่ทำได้ไม่ค่อยดี เธอรู้สึกขายหน้า แต่เราบอกเธอว่า มันสุดยอดไปเลย Roger:  มันเยี่ยมยอดมาก ทั้งท่อนเปียโนและออร์แกนของริค และเสียงร้องของแคลร์ มันสร้างอารมณ์ร่วมได้อย่างเหลือเชื่อ ไฟล์รูปภาพ จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 22:34:51 ]

ความคิดเห็นที่ 10 CHAPTER 7: ALBUM COVER Nick:  พวกเรามักจะไม่ยอมให้มีรูปของตัวเองอยู่บนปกอยู่เสมอ Rick:  มันน่าจะเป็นปกอัลบัมอันเป็นที่จดจำมากที่สุดตลอดกาล Roger:  มันเป็นภาพที่เราสามารถจ้องมองมันได้นานอย่างไม่รู้สึกเอียน Nick:  ปริซึมเป็นเสมือนโลโกที่บ่งบอกถึงเนื้อในของอัลบัมโดยแท้ จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 22:36:45 ]

ความคิดเห็นที่ 11 Storm:  ภาพปริซึมบนปกนั้นมีต้นตอมาจาก 3 แหล่ง หนึ่งคือจากการแสดงที่เต็มไปด้วยแสงสีของวง สองคือจากเนื้อร้องซึ่งทำให้ผมนึกถึงความทะเยอทะยานและความโลภ และสาม มาจากคำพูดของริคที่ว่าต้องการอะไรบางอย่างที่... Rick:  เรียบง่าย แต่หนักแน่น และทรงพลัง David Gilmour: เขาทำแค่ 4-5 ชิ้นมาให้พวกเราดู Nick:  ทุกคนบอกตรงกันเลยว่า เยี่ยมมาก เอาอันนี้เลย จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 22:52:08 ]

ความคิดเห็นที่ 12 CHAPTER 8: MONEY Roger:  มันมีท่อนกีตาร์สำเนียงบลูส์ผสมผสานระหว่าง 2 ฟากมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งไม่เหมือนในเดโมที่ฟังแตกต่างไปมาก ฟังดูเป็นอังกฤษจ๋าเลย David Fricke:  สิ่งหนึ่งเกี่ยวกับ Money ที่คนอาจลืมไปก็คือมันเป็นเพลงฮิตที่มี Time Signature ที่แปลกที่สุด David Gilmour:  แปลกมาก มันมีจังหวะแบบ 7/8 แล้วก็ท่อนริฟฟ์ที่แจ๋วมาก จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 22:55:35 ]

ความคิดเห็นที่ 13 David Gilmour:  ผมเล่นดนตรีร่วมกับดิค (แพรี-มือแซ๊กโซโฟน) ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่แคมบริดจ์ ผมไม่รู้จักนักเป่าแซ๊กซ์คนไหนเลยจึงชวนให้เขามาช่วย ดิคเล่นแซ๊กซ์ด้วยจังหวะ 7/8 ต่อมาเราดัดแปลงมันใหม่สำหรับท่อนกีตาร์ คงเป็นเพื่อให้ชีวิตผมง่ายขึ้นมั๊ง (ยิ้ม) Rick:  ผมชอบที่เราเปลี่ยนจังหวะในท่อนนั้น หลายๆสิ่งใน Dark Side มีความยอดเยี่ยมตรงที่มันมีการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดผลอันน่าอัศจรรย์ แบบที่เราไม่ได้ตระเตรียมมาก่อน มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Money มีความพิเศษ David Fricke:  อยู่ดีๆมันก็พลิกเข้าสู่ 4/4 กลายเป็นร๊อคไปเลย (ภาพ...โรเจอร์สาธิตเบสไลน์ของ Money) จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 22:57:24 ]

ความคิดเห็นที่ 14 CHAPTER 9: US AND THEM David Gilmour:  มันเป็นเรื่องน่าประหลาดมากสำหรับผม แม้กระทั่งในทุกวันนี้ เพราะเรามีเพลงนี้มาตั้งแต่ปี 1969 ที่เราบันทึกไว้สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Zabriskie Point (ของผู้กำกับ Michelangelo Antonioni เจ้าของผลงานระดับคลาสสิคเรื่อง “Blow-Up” ปี 1966-ผู้เขียน) แต่ต่อมาเราก็ไม่เคยได้นำมันกลับมาใช้เลย ไม่ว่าจะเป็นอัลบัม Atom Heart Mother, Obscured By Clouds หรือ Meddle มันเป็นดนตรีที่ไพเราะมาก Rick:  แอนโตนิโอนีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาต้องการอะไร Roger:  สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือเพลง Careful With That Axe, Eugene Nick:  เขาอยากที่จะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ดังนั้น แม้คุณจะทำในสิ่งที่ถูกต้องและสมบูรณ์แบบ เขาก็จะไม่เต็มใจยอมรับมัน เพียงเพราะมันไม่ได้เริ่มต้นมาจากเขา Roger:  (ทำท่าและพูดล้อเลียนสำเนียงของแอนโตนิโอนี) มันสวยงามก็จริง แต่มันเศร้าเกินไป มันทำให้ผมนึกถึง...โบสถ์ David Gilmour:  มันเหมือนรอเวลาที่จะเกิดใหม่กับอัลบัมชุดนี้โดยเฉพาะ (เกี่ยวกับเสียงพูดในอัลบัม) Roger:  สิ่งที่ทำให้มันดูเป็นไอเดียที่ฉลาดก็คือวิธีการของมันที่ไม่เหมือนการสัมภาษณ์จริงๆ ผมเขียนคำถามทั้งหลายลงไปในกระดาษกองหนึ่ง Nick:  เดิมทีเราใช้คนที่อยู่ในสตูดิโอกับพกเราอย่างพวก “โรดดีส์” ตอนนั้นวง Wings ก็กำลังบันทึกเสียงอยู่ที่นั่นพอดี เราจึงได้ทาบทามพอลกับลินดา (แม๊คคาร์ธนีย์) และเฮนรี แม๊คคอลล๊อก (ภาพ...Gerry O'Driscoll เจ้าของประโยค "There's no dark side of the moon really...") จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 23:02:22 ]

ความคิดเห็นที่ 15 David Gilmour: ผลลัพธ์ส่วนที่ใช้ได้นั้นมาจากพวกที่ไม่เคยชินกับลการถูกสัมภาษณ์มาก่อน (นั่นเป็นสาเหตุที่บทสัมภาษณ์ของพอลกับลินดาไม่ได้ถูกใช้ในอัลบัม-ผู้เขียน) Roger:  คำถามก็ประเภทว่า สีโปรดของคุณคืออะไร? หรืออาหารจานโปรดคืออะไร? เพื่อทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายก่อน จากนั้นตามด้วย...เมื่อไหร่คือครั้งสุดท้ายที่คุณใช้ความรุนแรง? เมื่อได้คำตอบก็จะถามต่อว่า...คุณคิดว่าคุณทำถูกรึเปล่า? (ภาพ...แม๊คคอลล๊อก เจ้าของประโยค "I don't know...I was really drunk at that time!") จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 23:05:36 ]

ความคิดเห็นที่ 16 CHAPTERS 10 & 11: BRAIN DAMAGE / ECLIPSE Roger:  มันมีความเกี่ยวข้องกับซิดแน่ๆ David Fricke:  สิ่งที่เขา (รอเจอร์) รู้สึกเป็นการส่วนตัว สะท้อนถึงความรู้สึกของคนอื่นๆอีกจำนวนมากที่มีต่อชีวิตของพวกเขาเอง มันไร้ข้อกังขาโดยสิ้นเชิงว่านี่เป็นหนึ่งในอัลบัมที่ส่งสารชิ้นสำคัญที่สุดในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา มันสร้างความตราตรึงใจให้กับคนทั่วทั้งโลก Robert Sandall:  เราไม่สามารถบอกได้ว่าชอบเพลงนั้น ชอบตรงนี้ มันคือประสบการณ์ที่เป็นภาพรวมจริงๆ Rick:  ผมคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เปี่ยมล้นด้วยความสุข โลดแล่นด้วยความคิดสร้างสรรค์ เราสนุกกับการทำงานในครั้งนั้นมาก Nick:  มันน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เรามีจุดมุ่งหมายชัดเจนที่สุดในตลอดเส้นทางอาชีพของเรา พวกเราสุมหัวกันทำงานอย่างเป็นวงดนตรีที่แท้จริง David Gilmour:  ผมอยากจะได้เป็นคนที่นั่งใส่หูฟังแล้วฟังอัลบัมชุดนี้แบบต้นจนจบตั้งแต่ครั้งแรก มันน่าจะดีไม่น้อยเพราะผมไม่มีโอกาสได้ทำแบบนั้นเลย (หัวเราะ) Roger:  มันถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ความรู้สึก มันไม่มีอะไรจอมปลอมเป็นพลาสติกเลย นั่นเป็นเหตุผลของความยืนยงคงกระพันของมันจวบจนทุกวันนี้ (ทิ้งท้าย) Roger:  แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีโอกาสที่พระอาทิตย์จะได้ส่องแสงเลย คนเราต้องเดินหาทางเพื่อเข้าสู่ความสว่าง ไม่ใช่มัวเดินอยู่ในความมืดเพียงอย่างเดียว (ภาพ...โรเจอร์ครวญเพลง Brain Damage แบบอันปลั๊ก) จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 23:07:29 ]

ความคิดเห็นที่ 17 BONUS MATERIAL หลายๆซึ่งไม่ถูกนำไปรวมอยู่ในสารคดีชุดนี้ แต่ถูกเก็บตกมาให้เราได้ชมในช่วงโบนัส ส่วนใหญ่เป็นบทสัมภาษณ์ของรอเจอร์ในมุมมองต่างๆ  สิ่งที่น่าสนใจก็อย่างเช่นรอเจอร์อธิบายถึงที่มาของลูปอินโทรเพลง Money ซึ่งเขาต้องตัดเทปเป็น 7 ท่อนแล้วนำมาปะติดกันเพื่อให้ลงจังหวะของเพลง, ริคเล่นเปียโนเพลง Us And Them, เสียงจากเดโมเทปเพลง Time ของรอเจอร์, อลันพูดถึงการเข้ามาของ Chris Thomas และการโชว์ท่อนกีตาร์เพิ่มเติมของกิลมอร์ เป็นต้น *** ความเห็นหลังการชม *** สารคดีชุดนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการทราบเบื้องหลังความเป็นมาจากปากคำของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างละเอียด นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้มันมีความน่าสนใจกว่าการบอกเล่าธรรมดาก็คือการสาธิตให้เห็นกระบวนการมิกซ์เสียงอย่างละเอียดและการโชว์ท่อนกีตาร์เด็ดๆจากกิลมอร์ด้วย ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยนี้ต่างก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีต่อความยิ่งใหญ่ของงานชุดนี้ นอกเหนือไปจากการทำดนตรีสุดปราณีต สร้างสรรค์ และเนื้อหาจากปลายปากกาอันสุดคมคายของวอเธอรส์ องค์ประกอบอื่นที่น่าสนใจก็ได้แก่เสียงจากเดโมเทปของรอเจอร์เพลง Time และ Money ฟุตเตจแสดงบนเวทีเพลง Set The Controls For The Heart Of The Sun และ The Travel Section (On The Run) ซึ่งหาดูได้ยากมาก น่าเสียดายที่ฟุตเตจเก่าๆเหล่านี้มีให้ชมไม่มากนัก แถมหลายๆส่วนก็นำมาจากภาพยนตร์เรื่อง Live At Pompeii ที่เราสามารถหาชมได้ต่างหาก (ภาพ...อลัน พาร์สันส์) จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 23:09:48 ]

ความคิดเห็นที่ 18 นอกจากนี้ในเชิงการเล่าเรื่อง หากเทียบกับสารคดีในลักษณะเดียวกันของศิลปินรายอื่น ไม่ว่าจะเป็น Anthology ของ The Beatles หรือ Yesyears ของ Yes งานชุดนี้มีข้อเสียเปรียบที่ทุกบทสัมภาษณ์นั้นเกิดจากการถ่ายทำในปัจจุบันทั้งสิ้น ดังนั้น เนื้อหาส่วนใหญ่จึงมาจากการมองย้อนอดีต นอกจากนี้ สารคดีชุดนี้ยังละเลยที่จะกล่าวถึงเพลง  Speak To Me และ Any Colour You Like และแทบจะไม่ได้สะท้อนบทบาทของนิค เมสันที่มีต่ออัลบัมชุดนี้เลย สำหรับแฟนๆที่หวังจะได้เห็นพวกเขากลับมาคืนดีกันอีกสักครั้ง คำพูดของแต่ละสมาชิกที่พาดพิงถึงกันและกันอย่างเช่น รอเจอร์พูดถึงเดวิดในด้านเสียงร้องของเขา ชื่นชมริคทั้งในด้านการประพันธ์เพลงและการเล่นเปียโน เดวิดก็ให้เครดิตต่อรอเจอร์ในหลายๆด้านนั้น เหมือนสะท้อนเป็นนัยๆว่าความฝันอาจไม่ไกลเกินเอื้อม (ภาพ...เดฟและโรเจอร์ วันวานอันหวานชื่น) (The End) จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 27 ม.ค. 48 23:11:34 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณครับ โอว ไปหามาดูมั่งดีกว่า ลุงๆกลับมาคืนดีกันซะทีเหอะ ป๋า Ozzy กับลุง Iommi เค้าดีกันแล้วนะ จากคุณ : knotyman - [ 28 ม.ค. 48 02:22:54 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอคารวะ ครับ จากคุณ : tonic - [ 28 ม.ค. 48 07:19:56 A:203.150.98.149 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณครับ >  ประโยคหนึ่งที่เด็ดที่สุดของอัลบัมนี้คือ ‘Hanging on in quiet desperation is the English way’ มันน่าจะเป็นประโยคจากนักเขียนอย่าง Evelyn Waugh หรือ Somerset Maugham มากกว่า มันเป็นการสำรวจบุคลิกภาพของคนอังกฤษ ซึ่งผมคิดว่าบุคลิกแบบนั้นแหละที่เป็นตัวนำเข้าสู่เนื้อหาของงานและมันก็เป็นวิถีของเส้นทางอาชีพของพิงค์ ฟลอยด์นั่นเอง ผมชอบประโยคนี้ในชุดนี้มากๆ มันสะท้อนและประชดคนอังกฤษได้แสบสันต์จริงๆ และเข้ากับเพลง Time ได้ลงตัว จากคุณ : Analog Kid - [ 28 ม.ค. 48 07:38:25 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : น้ำใส - [ 28 ม.ค. 48 08:02:41 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เห็นดีวีดีชุดนี้หลายทีแล้ว มัวแต่จดๆจ้องอยู่ อ่านคุณแซมบรรยายแล้ว คงต้องกลับไปหามาดูมั่ง เยี่ยมมาก ขอบคุณครับ จากคุณ : yokkred - [ 28 ม.ค. 48 08:47:37 A:10.10.11.205 X:203.146.8.75 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ตามมาขอบคุณครับ ที่จัดให้ จากคุณ : ตีพุง - [ 28 ม.ค. 48 09:21:08 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูลดีๆ จากคุณ : โรงละครแห่งความฝัน - [ 28 ม.ค. 48 09:22:10 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เยี่ยมครับ ขออนุญาตเซฟ จากคุณ : Narcissus - [ 28 ม.ค. 48 17:53:49 ]