อีกช่วงจากคลิปสัมภาษณ์ที่เซี่ยงไฮ้
พิธีกร.. พูดถึงเรื่องมี 2 ด้าน ฉันก็คิดถึงคราวก่อนหนังสืออัลบั้มภาพก็ชื่อ ผู้ชาย 2 ภาค คราวนี้ก็มี ปกกลางคืนกับปกกลางวัน ลักษณะนิสัยคุณมีความขัดแย้งกันเองมากใช่ไม๊
เจอร์รี่.. จริงๆ แล้วมีมาก ผมรู้สึกว่าการเป็นศิลปิน.. ยิ่งมาอยู่ในอาชีพนี้แล้วยิ่งนานคุณก็จะรู้ว่ามีเรื่องบางอย่างคุณต้องประนีประนอมเท่านั้น เพราะว่าตอนที่ผมเองเป็นคนใหม่ในวงการ มีหลายครั้งที่ตัวเองไม่สามารถจะยอมรับการประนีประนอมได้ ที่ผมรู้สึกว่าผมไม่สามารถประนีประนอมได้เป็นเพราะว่าผมรู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะดีกับตัวเอง แต่ว่ามีบางทีที่สภาพในวงการ มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้คุณไม่สามารถทำงานไปอย่างดีๆ อย่างที่คุณอยากจะทำได้ มีเหตุผลมากมายที่ในตอนนี้ทันทีทันใดไม่สามารถจะอธิบายให้แจ่มแจ้งได้ แต่เอาเป็นว่าสุดท้ายแล้วคุณอาจจะต้องทนสักหน่อยจำยอมประนีประนอม คุณจึงจะสามารถไม่ต้อง.. แบบว่ามีเรื่องเข้าใจผิดอีกหรือว่ามีเรื่องอะไรอีก
พิธีกร.. ตอนนี้ความขัดแย้งกันเองอาจจะเป็นเพราะ..
เจอร์รี่.. ก็คือคุณเห็นชัดๆ ว่า.. พูดอย่างงี้ดีกว่า.. ผมรู้สึกว่าด้านนึงของผมเหยียนเฉิงซวี่คนนั้นอยากจะทำให้ได้ 100% เออ ไม่ต้อง 100% ก็ได้ เอาเป็นว่า 80% แล้วกัน แต่เหยียนเฉิงซวี่ที่เป็นปีศาจร้ายอีกคนก็บอกว่า คุณทำแค่ 60% 50% ก็พอแล้วน่า แต่ว่าในวงการนี้แล้วมันมีข้อจำกัด ไม่สามารถจะให้คุณทำงานดีๆ ขนาดนั้นได้ นี่มันช่าง.. หลังๆ มานี่ผมก็เลยเซ็งมาก คิดว่าทำไมตัวเองคิดอยากจะทำงานออกมาให้ดีที่สุดชัดๆ แต่ว่าทุกคนกลับมามองผมอย่างเข้าใจผิด ก็เหมือนความดันทุรังในการทำอัลบั้มนี้ คนอื่นอาจจะรู้สึกว่าคุณเป็นแค่นักร้องหน้าใหม่จะมายุ่งวุ่นวายอะไรนักหนา จริงๆ แล้วแต่ละคนมองกันต่างมุม ตอนที่ผมคิดแค่ว่าอยากจะทำให้ดีๆ คนอื่นอาจจะมองไปอีกอย่าง คนอื่นอาจจะมีความรู้สึกที่ไม่ดี ดังนั้นบางทีก็เลยต้องยอมลองประนีประนอมดูบ้าง ตัวเองจึงจะสามารถมีความสุขได้บ้าง ไม่ใช่ว่าคิดวนเวียนอยู่แต่ว่าทำไมถึงไม่สามารถทำให้ดีๆ ได้นะ
พิธีกร.. จริงๆ แล้วความรู้สึกที่ตัวเองทะเลาะกับตัวเองๆ แบบนั้นนี่มันลำบากมากนะ
เจอร์รี่.. จริงๆ แล้วเหนื่อยมาก เพราะว่าถ้าวันนี้ผมเป็นแบบว่าต้องทำก็ทำ คนอื่นจะให้ทำอะไรก็ทำ ถ้าผมคิดซะว่าตัวเองเป็นสินค้าหรือว่าไอดอลในสายตาของทุกคน ผมคงอาจจะมีความสุขมากกว่านี้ เพราะว่าผมทำเรื่องอะไรแต่ละเรื่อง คนอื่นให้ทำอะไรก็ทำ ก็เหมือนผมท่องบทเสร็จ ขึ้นเวทีก็แสดงบทนั้นไป แต่ว่าอาจจะเป็นเพราะผมอินกับมันมากเกินไปจนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตัวเอง ดังนั้นผมจึงคิดว่างานทั้งหมดของผมตอนนี้เป็นเหมือนกับ.. (คิด).. ถือว่าเป็นวิชาวิชาหนึ่งมั้ง ตอนที่ผมอยู่ในแต่ละส่วน เช่นตอนนี้ผมทำอัลบั้ม ผมก็จะทุ่มเทกับมันมาก ดังนั้นยิ่งมาผมยิ่งเข้าใจถึงว่าการทำอัลบั้มต้องทำยังไง เขียนเพลงยังไง ร้องประสานเสียงยังไง จะคุยกับโปรดิวเซอร์ยังไง คุณสามารถมีความรู้สึกด้านดนตรีมากขึ้น ถ้าวันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจทำมันให้ได้จริงๆ ชีวิตนี้ก็คงไม่มีวันเรียนรู้ให้ทำเป็นได้ แต่ว่าคุณอาจจะมองอีกด้านว่า เพราะว่าผม.. (คิด).. จริงจังเข้มงวดไป ดังนั้นบางทีก็ทำให้คนรอบข้างได้รับความกดดัน จริงๆ แล้วก็ทั้งสองฝ่าย ก็เลยอาจจะ ไม่มากก็น้อย ทำให้คนที่ไม่เข้าใจผมรู้สึกว่าน่าเบื่อและยุ่งยากมาก คนนี้มีเรื่องที่คิดอยากทำมากเกินไป แล้วก็ยุ่งวุ่นวายมาก ก็อาจมีบางคนไม่สามารถรับวิธีการจัดการของผมแบบนี้ได้
พิธีกร.. จริงๆ แล้วเป็นความขัดแย้งกันเองอย่างมาก คุณเพิ่งบอกว่าตลอดเวลามาทั้งหมด.. เป็นเพราะสาเหตอย่างนี้รึเปล่า. ตอนที่คุณเข้าวงการใหม่ๆ เพราะว่าภาพพจน์ของคุณ ทุกคนจัดว่าคุณไอดอล ก็เลยรู้สึกว่าคุณเป็นผู้ชายที่เหมือนดอกไม้แบบนั้น แต่ว่าคุณไม่อยากให้ตัวเองเป็นแค่เพียงอะไรที่ฮอตในเวลาสั้นๆ อยากให้ตัวเองอยู่นานๆ เช่นฉันรู้ว่าในใจคุณ คุณคิดว่าหลิวเต๋อหัวเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่ง
เจอร์รี่.. ใช่
พิธีกร.. ใช้ความมานะพยายามถึงจะเป็นแบบนั้น
เจอร์รี่.. ทุกๆ ด้านของเค้า ผมรู้สึกว่าเค้าเป็น.. แต่ก่อนเคยได้ยินคนพูดถึงศิลปินว่าใครแบบว่า... ที่ผมได้ยินมามากที่สุดก็คือแต่ละคนพอพูดถึงหลิวเต๋อหัว ก็ชมเชยกันทั้งนั้น ผมเชื่อว่าเค้าต้องลงแรงและความสามารถไปเยอะมาก
พิธีกร.. เค้าเป็นคนที่มีความพยายามสูงคนหนึ่ง
เจอร์รี่.. ใช่ แต่ผมรู้สึกว่านอกจากมีความพยายามแล้ว อืม ผมไม่รู้จะพูดยังไง.. ถ้าคุณอยากจะประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่ความพยายามเท่านั้น ปัจจัยด้่านอื่นๆ มันต้อง "ใช่" หมดด้วย
----------------------------------------------------
บางช่วงสั้นๆ จากรายการวิทยุ (พอดีได้สคริปต์มา แต่ยาวมาก เลยเลือมาเฉพาะบางตอน)
หวงจื่อเจียว.. (ถามเกี่ยวกับทำไมทำอัลบั้มนานมาก) ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของคุณจริงๆ แล้วคืออะไร ทำไมถึงได้ลากนานขนาดนั้น เลือกเพลงเหรอ หรือว่าไม่มีเวลาอัดเสียง
เจอร์รี่.. ก็ทั้งหมด ผมรู้สึกว่าความดันทุรังที่มากที่สุดก็อยู่ที่.. เหมือนที่ผมพูดในการ์ด อาจจะเป็นเพราะผมเข้ามาวงการอย่างโชคดีมาก คนอื่นอาจจะคิดว่า ผมอาศัยอะไรเหรอ ทำไมในเวลาสั้นๆ ก็ได้รับโอกาสมากมาย แล้วก็ได้ทำอะไรตั้งมากมาย ตอนหลังตัวเองก็มีบางทีที่ีตัวเองมาคิดๆ สำรวจเองว่าตัวเองที่แท้แล้วทำดีแล้วรึยัง มีความสามารถแค่ไหน ตัวเองทำดีแล้วรึยัง เหมือนกับการถ่ายหนัง จริงๆ แล้วตัวเองก็ดูนะ คือดูว่าตัวเองจริงๆ แล้วได้ทำสมกับการที่มีคนให้การสนับสนุนมากมายเหล่านั้นรึเปล่า คุณทำการบ้านมาดีจริงๆ ไม๊ ถือว่าเป็นการตอบแทน ผมไม่คิดว่าจะแค่ขายผ้าเอาหน้ารอดกับเพื่อนๆ ที่ให้การสนับสนุนผมเหล่านี้ จริงๆ แล้วหวังว่า.. ก็เหมือนกับที่เมื่อกี้คุณพูดว่าพวกเค้าทำเพื่อผมมากมาย ทั้งโฆษณา (หมายถึงเรื่องการที่แฟนๆ โฆษณาอัลบั้มให้ในนสพ แล้วก็การมาให้กำลังใจต่างๆ) หรือว่าการที่พวกเค้าทำการกุศล ผมรู้ว่าที่แผ่นดินใหญ่ พวกเค้ามีการให้ทุนการศึกษาแก่ชั้นเรียน 1 ชั้น แล้วก็ใช้ชื่อผม จริงๆ นะ นี่เป็นความจริง แล้วก็มีการบริจาคปลูกป่าแห่งความหวัง นั่นก็ใช้ชื่อผม ผมรู้สึกว่า จริงๆ แล้ว ผมดีใจที่ตัวเองสามารถทำได้ขนาดนี้ สามารถมีอิทธิพลกับคนอื่น แต่ในทางกลับกัน ผมยิ่งหวังว่าจะทำให้พวกคนที่ดูถูกผมเห็น แม้ว่าในตอนนั้นพวกผม พวกผมเองก็ยอมรับนะ ว่าในตอนนั้นตัวเองก็ไม่ได้มีอะไรดีมาก แต่อย่างน้อยที่สุดผมคิดว่าผมได้พยายามทำให้ดีที่สุดแล้ว ผมคิดว่าของแบบนี้ต้องใช้เวลาและประสบการณ์สั่งสมมา รวมทั้ง ตัวผมเองก็รู้ว่าในตอนนั้นข่าวด้านลบมากมายต่างๆก็เป็นเพราะผมดันทุรังมาก ในด้านธุรกิจของคนหลายคนแล้ว ผมก็ไปล่วงเกินเค้าได้ง่ายๆ เพราะว่าคนอื่นรู้สึกว่าในเวลานั้น สามารถช่วยเค้าโกยเงินได้มากหรืออะไรแบบนั้น แต่ผมดันไม่ยอมทำตามความประสงค์ของเค้าแต่โดยดี เหมือนตอนนี้ ถ้าเสียงออกมาไม่ดี ผมเองก็รู้ว่าตัวเองก็ต้องแบกรับผลด้านลบหรือผลที่ไม่ดีพวกนั้น แต่ในใจผมเองรู้สึกว่าผมไม่อยากให้อีก 3-4 ปีข้างหน้ามาดูผลงานของตัวเองแล้ว แล้วเพราะว่าภายใต้แรงกดดันพวกนั้น อาจจะเป็นทุกๆ ด้าน แล้วตัวเองก็ยอมประนีประนอม ยอมออกอัลบั้มที่ตัวเองรู้สึกว่าเป็นแค่ เป็นแค่ เครื่องมือของคนอื่นเท่านั้น ดังนั้นผมยอมที่จะล่วงเกินคนอื่น ดันทุรังที่จะทำ แต่อย่างน้อยผลงานที่ออกมาผมฟังแล้วมีการพัฒนา ผมไม่กล้าพูดว่าทำได้ดีมาก เพราะผมเชื่อว่า ไม่ว่าผมทำอะไร คนอื่นก็ต้องมีการเปรียบเทียบ เปรียบกันไม่มีที่สิ้นสุด ผมไม่อาจจะพูดว่าทำได้ดีที่สุด แต่อย่างน้อยที่สุด ผมก็แข่งกับตัวเอง แข่งกับตัวเองในอดีต ผมมีความก้าวหน้ามากขึ้น ผมก็ดีใจแล้ว ต่อให้คนอื่นยังคงด่าผม ผมก็ไม่รู้สึกน่าอายอะไร เพราะว่าผมไม่รู้สึกผิดกับตัวเอง ผมได้พยายามคิดแล้วว่าต้องทำอย่างไรถึงจะดีที่สุด ผมรู้สึกว่าแบบนี้มันเพียงพอแล้ว
อีกช่วงหนึ่ง
หวงจื่อเจียวพูดถึงเกี่ยวกับอัลบั้มว่า ทำมาตั้ง 3 ปี พอเสร็จเรียบร้อยแล้วเจอร์รี่รู้สึกว่าโล่งใจสบายใจ หรือว่า high สุดๆ อะไรแบบนี้ไม๊
เจอร์รี่.. ผมไม่สามารถจะบรรยายออกมาได้ เพราะว่าพูดกันตามจริง ตอนที่ผมทำอัลบั้ม ทำจนถึงที่สุด จริงๆ แล้วในระหว่างนั้นมีอุปสรรคมากมาย เหมือนที่ผมพูด มีบางคนดูถูกผม ตอนนั้นเช่นว่าผมอยากได้เพลงบางเพลงที่รู้สึกว่าไม่เลวเลยอะไรแบบนี้ ก็จะมีคนพูดจาแบบว่าเย็นชาหรือเสียดสีเช่น คุณจะร้องไหวเหรอ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้พูดตรงๆ ขนาดนั้น แต่ก็ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจแบบนั้นได้ คุณอาจจะคิดว่าคุณรู้ว่าจริงๆ แล้ว เช่นผม ผมเชื่อว่าคนอื่นเค้ามองผมเป็นไอดอล ดังนั้นบางครั้งที่ผมอยากจะแสดงผลงานให้คนอื่นเห็น ปัญหาที่ลำบากที่สุดตรงหน้า ไม่ใช่ว่าผมจะทำได้หรือไม่ได้ แต่อยู่ที่คนอื่นจะยอมให้ผมได้ทำรึเปล่า แล้วเมื่อเค้าไม่ยอมให้ผมได้ทำ (แต่ผมอยากทำ) เค้าก็จะตราหน้าว่าผมวางมาดดาราใหญ่ จริงๆ แล้วน่าจะบอกว่า คนพวกนั้นกับคุณไม่ได้ยืนอยู่นจุด.. เช่น ผมอยากให้คนตั้งมาตรฐานที่สูงกับผม เช่นการร้องเพลง มีบางทีที่คุณอัดเสียง คุณก็ร้องร้องร้อง คนอื่นก็บอกว่าโอเคแล้ว ดีแล้ว เพราะว่าเค้ามองคุณแค่เป็นไอดอล ไม่ได้ตั้งมาตรฐานว่าคุณต้องร้องได้ดีมากมายอะไร อย่างเช่นตอนอัดเพลงอี้กงฉื่อ ผมหวังว่าจะทำให้ได้ดีมากๆ แต่ถ้าโปรดิวเซอร์ไม่ได้ตั้งมาตรฐานที่สูงกับผม แล้วเค้ารู้สึกว่าแค่นั้นก็พอแล้ว ผมเชื่อว่าวันนี้เพลงอี้กงฉื่อที่ทุกคนได้ฟังจะก็ไม่ได้เป็นเพลงที่ได้อารมณ์ขนาดนี้ ผมคิดว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของผมก็คือต้องพูดกับคนอื่นยังไงว่าจริงๆ แล้วผมแค่อยากทำงานให้ดีๆ แต่ว่าถ้าเค้ากับผมคิดไม่เหมือนกัน เค้าก็จะหาว่าผมใช้มาดดาราใหญ่ แล้วเค้าก็อาจเอาไปพูดกับคนรอบข้าง เรื่องก็จะกลายเป็นว่าผมไม่สามารถทำงานให้ดีๆ ได้ แล้วก็ล่วงเกินคนรอบข้าง สำหรับผมแล้วในการทำอัลบั้ม สิ่งที่เป็นความยากลำบากมากที่สุด คุณต้องทำอย่างไรให้คนอื่นรู้สึกว่าดูเหมือนเค้าจะร้องเพลงได้จริงๆ นะ หรือว่ามาลองฟังดูหน่อย
อีกช่วงหนึ่ง
เจอร์รี่.. ผมคิดว่าสภาพจิตผมตอนทำอัลบั้มนี้มีบางสว่นคือความรู้สึกไม่ยอมแพ้ ผมอยากทำให้คนบางคนเห็น จริงๆ แล้วมองอีกมุมหนึ่ง ผมต้องขอบคุณคนพวกนี้มากๆ เพราะว่าถ้าไม่มีพวกเค้า ผมคงไม่ดันทุรังกับอัลบั้มนี้ขนาดนี้
-------------------------------------------------
แล้วก็มีอีกข่าวเมื่อ 2 วันก่อน เป็นเรื่องเก่าที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่ค่อยมีใครเชื่อ ในข่าวเค้าบอกว่า ตอนที่ f4 ไปแสดงคอนเสริต์ที่นิวยอร์ค แล้วมีการไปโชว์ตัวที่คาสิโนในคอนเนคติกัต เพราะว่าลูกเจ้าของชอบเจอร์รี่มาก (เป็นเด็กนะ) แล้วพอโชว์เสร็จ ก็จะขอถ่ายรูปคู่ แต่เจอร์รี่อารมณ์ไม่ดี เลยไม่ยอมถ่ายด้วย พวกมาเฟียเห็นเจ้านายตัวเองหน้าแตก ก็เลยล้วงกระเป๋าเอาปืนมาวางบนโต๊ะขู่ เจอร์รี่เลยยอมถ่ายรูปด้วย
ข่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของข่าวพวกนางแบบเวลาไปโชว์ตัวหรือเดินแบบตามคาสิโน ในอเมริกา หลินจื้อหลิงตามข่าวก็บอกว่าเคยถูกเจ้านายของมาเฟียชี้ตัวว่าขอไปกินข้าวด้วย 2 ต่อ 2 น้องหลินแทบร้องไห้เลย แต่โชคดีทางผู้บริหารหรือผู้จัดการของด้านน้องหลินช่วยออกหน้า เลยรอดมาได้ แต่ตอนหลังเค้าก็ปฏิเสธกันว่าไม่จริง ไม่มีเรื่องแบบนี้
จากคุณ :
Bam (Wen Wen)
- [
26 ก.พ. 48 13:21:31
]