PANTIP.COM : C3331785 mp3 ที่ 128kbps 44kHz ไรท์เป็น audio แล้วคุณภาพเสียงจะเหมือน cd ลิขสิทธิ์ที่วางขายรึเปล่าครับ [ดนตรี]

ความคิดเห็นที่ 8

อืม.. งึมๆๆ

เปิดมาอ่านแล้ว ผ่านไปแล้ว แต่ทนไม่ไหวต้องกลับมาตอบจนได้

ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า "คุณภาพเสียง" ที่เจ้าของกระทู้ว่านั้น วัดจากอะไร ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการวัด

ต้องทำความเข้าใจว่า sampling rate กับ baud-rate นั้นไม่เหมือนกัน เป็นตัวเลขคนละตัวกัน

อ่ะ ขยายความ มาตรฐานการบันทึกข้อมูลของ cd-audio นั้น มี sampling rate หรือความละเอียดของเสียงอยู่ที่ 44k 16bit ถึงแม้จะนำ resample ใหม่เป็น 48k ก็ไม่ทำให้เสียงดีขึ้น

ส่วน mp3 128k ตัวเลข 128k นั้นคือค่า baud-rate เป็นอัตราการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในช่วงเวลาหนึ่งๆ (แปลทำไม.. v_v) ค่า baud-rate ยิ่งสูงข้อมูลยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงได้มากในเวลาหนึ่งๆ ทำให้ส่งผ่านข้อมูลได้เยอะ ข้อมูลที่เยอะทำให้ได้รายละเอียดของเสียงมากขึ้น

การ encode mp3 ที่ baud-rate เท่าไรนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับ sampling rate เช่น คุณอาจจะ encode ที่ baud-rate ต่ำมากๆ 32k แต่มี sampling rate ที่ 44k 16bit ก็ได้ ที่คุณภาพเสียงดร็อปลงไปเป็นเพราะ "รายละเอียด" ของ"ข้อมูล" น้อยลง ไม่ใช่เพราะ "ความละเอียด" ของ "ข้อมูลเสียง" น้อยลง

ทีนี้มาถึงหัวข้อกระทู้ ถ้าถามว่า rip เป็น mp3 แล้ว แล้วเอากลับมาไรท์ใหม่เป็น audio เสียงจะเหมือนเดิม (ผมเข้าใจว่าคงจะถามว่าอย่างนี้) หรือไม่

ต้องถามก่อนว่า คำว่า เหมือนเดิมนั้น ใช้อะไรวัด ถ้าคุณฟังกับลำโพงคอมหรือหูฟัง ก็ต้องเรียกว่าเหมือนเดิม แต่ถ้าคุณเอาไปฟังกับเครื่องเสียงดีๆ หรือ reference room ไม่ต้องหูทองก็บอกได้ว่า ไม่เหมือนเดิม ยืนยันครับ คนธรรมดาอย่างเราๆก็ฟังออก แต่ถ้าฟังกับหูฟังธรรมดาหรือลำโพงธรรมดา ถ้า(ไอ้)หูทองคนไหนมันทะลึ่งบอกว่าไม่เหมือน ให้ฆ่ามันได้เลย ก่อนที่มันจะไปหลอกคนอื่นอีก

เพราะ mp3 เป็นการนำเอาส่วนรายละเอียดของข้อมูลเสียงที่ไม่ปรากฏเด่นชัดนักเมื่อฟังกับเครื่องเสียงธรรมดาออกไป สิ่งที่หายไปใน mp3 ไม่ใช่เรื่องความแจ่ม เสียงทุ้ม เสียงแหลม ความแน่น ฯลฯ หรืออะไรก็ตามที่พวกหูทองเพ้อไปเรื่อยเปื่อย แต่เป็นมิติของเสียง

มิติของเสียงคืออะไร

มิติของเสียง พูดง่ายๆคือตำแหน่งของต้นกำเนิดเสียง sound engineer จะทำการจำลองต้นกำเนิดของเสียงเพื่อหลอกรูหูของเราว่า เสียงมันมีตำแหน่งใน stage แตกต่างกัน เพื่อผลของความไพเราะอย่างหนึ่ง และเป็นการแยกเครื่องดนตรีไม่ให้ทับซ้อนกัน

มิติของเสียงไม่ใช่เรื่องของการ pan ซ้ายขวา มันมีความลึก และความลึกของเสียงก็ไม่จำเป็นต้องฟังด้วยลำโพงเซอร์ราวด์เสมอไป

อุปกรณ์การฟังเพลงทั่วไปแสดงความลึกของมิติเสียงออกมาได้ไม่เด่นชัด ถึงแม้จะเปิดเพลงจากแผ่น audio ก็ตาม ดังนั้นถ้าจะถามว่า คุณภาพต่างกันมั้ย จึงบอกได้เลยว่า ไม่แตกต่าง

เรื่องของ baud-rate ผมขออนุญาตชี้แจงแบบฟันธงไปเลยว่า คุณจะ encode ที่ 128 160 190 320 คุณภาพไม่แตกต่างกันครับ! baud-rate มีผลต่อความเร็วในการส่งข้อมูลเท่านั้น ไม่ว่าคุณจะอ่านจากแผ่นซีดี ฮาร์ดดิสค์ หรือฟังสดทางเนตก็ตาม อ่านไฟล์ mp3 จาก hdd ความเร็วเป็นเมกๆ คุณจะเล่นไฟล์ 128 หรือ 320 ก็ไม่แตกต่างกัน

320 จะเก็บรายละเอียดของเพลงได้ดีกว่า 128 หรือเปล่า ส่วนหนึ่งใช่ครับ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้เกิดความแตกต่างได้อย่างเห็นได้ชัด

ถ้ามีใครบอกคุณว่า เนี่ย encode 320 เสียงดีกว่า 128 จมเลย ถ้าเป็นเพื่อนกันก็อย่าไปทักเขา แต่ถ้ามันอวดอ้างเป็นพวกหูทองให้ฆ่ามันเลยครับ เดี๋ยวมันไปตอแหลที่อื่นอีก ความจริงก็คือว่า ถ้าฟังกับหูฟังหรือลำโพงคอมทั่วไป ไม่ต้อง 128 กับ 320 หรอก ต่อให้เอา 128 เทียบกับ cd-audio แท้ๆ ยังฟังไม่ออก

แต่อย่างไรก็ตาม แต่ละแทร็กอาจจะมีคุณสมบัติทางเสียงที่เกิดจาก sound engineer มิกซ์มา ซึ่งอาจจะมีผลทำให้เห็นความแตกต่างได้มากน้อยต่างกันไป บางแทร็กอาจจะฟังออกบ้าง แต่บางแทร็กอาจจะฟังไม่ออกเลย เอ่อ.. แทร็กที่ฟังออกนี่เขาถือว่ามิกซ์ดาวน์ห่วยนะครับ v_v

ถ้าที่ตอบมา บ้าน้ำลายไปหน่อย หรือตอบแย้งกับใครก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ

จากคุณ : ฮิป - [ 5 มี.ค. 48 00:01:33 A:61.7.128.124 X: TicketID:049470 ]

ความคิดเห็นที่ 22

v_v กะแล้วว่าต้องมีพวกฟัง(อ่าน) ไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียดทัดหูจนได้

#13

"320 กับ 128 ถ้าอุปกรณ์ที่ใช้ฟังโอเค เสียงต่างกันชัดเจน"

#19

"128 กับ 192 ถ้าตั้งใจฟัง เงียบๆ หน่อย ต่างนะคับ
แต่ต้องลำโพง และซาวน์ ดีหน่อยนะคับ "

เอ.. สองคนนี้ก็เห็นด้วยกับผมไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าอุปกรณ์ดีหน่อยก็จะฟังออก ผมก็บอกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ คคห คุณเหมือนจะแย้ง แต่ก็สนับสนุนที่ผมว่าไว้ทุกอย่าง แล้วมาว่าผมมั่ว

ฆ่าทิ้งยกกระทู้เลยนี่ .\ /.

นาย #20 นายนั่นแหละมั่วมากๆ ความสามารถในการเปลี่ยนจาก 0-1 1-0 นั่นแหละที่เขาเรียกว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงข้อมูล ไอ้บ้าาาาา อธิบายเหมือนเขาแล้วมาหาว่าเขามั่ว คนแบบนี้ก็มี

และ encode mp3 ไม่ใช่แค่การเอาข้อมูลซ้ำๆกันออกไปอย่างที่นายว่า ขืนทำอย่างนั้น เพลงก็เพี้ยนหมดน่ะเซ่

การ encode กับการ compress มันคนละเรื่องกันป๋า

การตั้งค่า baud-rate ต่ำ ทำให้ loss เยอะ ทำให้รายละเอียดเสียงหายไป? นี่ความรู้ใหม่ของผมเลยนะเนี่ย ถ้านายไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ย

สรุปแล้วที่นายตอบมาทั้งหมด ถ้าไม่มั่ว ก็เห็นไปในทางเดียวกันอยู่แล้ว แล้วมาหาว่าผมมั่ว นายนั่นแหละน่าฆ่ามากที่สุดในกระทู้นี้

"เรื่อง Baud Rate ถ้ายังงง ลองคุยกับคนที่เรียน Electronics
หรือ Telecom ดูครับ"

แล้วถ้าเกิดผมเรียนมาทั้งสองอย่างที่คุณว่ามาล่ะ จะเป็นยังไง แถม sound engineer ด้วยอีกอย่าง :-/ วู้วว..

มา.. มาเลคเชอร์กันอีกรอบ

ผมจะเปรียบเทียบการทำเพลงให้เป็น mp3 กับป้ายคัทเอาท์ขนาดใหญ่ สมมติมีป้ายโฆษณาอันหนึ่ง ขนาดใหญ่มาก วางอยู่บนหลังคาตึก คนผ่านรถผ่านมองเห็นแต่ไกล ป้ายโฆษณาเมื่อมองจากไกลๆ ความละเอียดของภาพที่คนมองเห็นจะลดน้อยลง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพิมพ์ป้ายให้มีความละเอียดสูงมากก็ได้ เพราะคนส่วนมากจะมองมาจากที่ไกลๆกันทั้งนั้น จะละเอียดมากหรือน้อยก็จะเห็นเป็นภาพเหมือนกัน และสามารถเข้าใจสาระที่ปรากฏบนแผ่นป้ายได้เหมือนๆกัน

แต่ถ้ามีใครใช้กล้องส่องทางไกลส่องมา ก็จะเห็นรายละเอียดของภาพมากขึ้น และก็จะรู้ได้ทันทีว่า ป้ายอันนี้ถูกลดความละเอียดลงมา

ผมเปรียบเทียบคนที่มองป้ายนี้ตามปกติ เหมือนเราๆทั่วไปที่ฟังเพลงจากหูฟังหรือลำโพงคอมธรรมดา ส่วนคนที่ใช้กล้องส่องทางไกลส่อง ก็เหมือนใช้เครื่องเสียงดีๆขึ้นมาอีกหน่อย ก็จะเห็นภาพตกเกรนหยาบ

ทีนี้ ถ้ามีใครบอกคุณว่า ผมก็ยืนมองตามปกตินี่แหละ แต่ผมเห็นว่าภาพนี้เป็น halftoning แถมเจือกบอกได้อีกว่าอัตราส่วนเท่าไร คนที่แหลกันซึ่งๆหน้าอย่างนี้น่าฆ่ามั้ย

ผมจึงถามก่อนว่า ที่ถามน่ะ คุณยืนดูจากตรงไหนล่ะ ถ้าคุณยืนดูอยู่ไกลๆ จะ 128 320 หรือ cd-audio เลยก็ไม่ต่างกันหรอก เพราะประสาทรับรู้ของคุณมันมีข้อจำกัด แต่ถ้าเดินเข้าไปดูใกล้ๆ หรือใช้กล้องส่อง มันก็จะต่างกัน

การใช้กล้องส่องก็เปรียบเหมือนคุณใช้ลำโพงอย่างดี ซึ่งมันก็ต้องฟังออกแน่นอนอยู่แล้ว ผมไม่ว่าคุณโกหกหรืออวดอ้างว่าประสาทหูดีกว่าคนทั่วไปหรอก

การ encode mp3 จึงเป็นการทำให้ภาพยังเป็นภาพเดิม ขนาดเท่าเดิม สาระยังเท่าเดิม เพียงแต่มีข้อแม้ว่าต้องดูจากไกลๆ ซึ่งมันต่างกับการ resample ซึ่งเหมือนการลดขนาดของภาพให้เล็กลง หรือใช้ color depth น้อยลง จะเห็นได้ชัดเจนว่าภาพเปลี่ยนไป สีซีดลง ภาพเล็กลงก็ว่าไป

ใครที่ใช้กล้องส่องทางไกลดู ก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่า ผมสามารถฟังออก เพราะคุณต้องฟังออกแน่นอนอยู่แล้ว

เข้าใจบ่

อย่าเพิ่งสรุปง่ายๆ ว่า baud-rate ยิ่งสูงเสียงจะต้องดีเสมอไป มันมีตัวแปรอื่นๆที่จะทำให้ต่างไม่ต่างมากกว่าตัวเลขเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ฟัง หรือฝีมือการมิกซ์ดาวน์ของซาวนด์เอนจิเนียร์ แล้วยังมีลักษณะเฉพาะตัวของเพลงแต่ละเพลงอีก

ซึ่งตัวแปรอื่นๆนั้น มีผลกับความต่างไม่ต่างมากกว่าแค่ตัวเลข baud-rate ซึ่งมันมีผลน้อยมาก แต่เรากลับไปให้ความสำคัญกับมันมากที่สุด

ถ้าคุณใช้เครื่องเสียงดี ลำโพงดี แล้วคุณบอกว่าคุณฟังออกว่า 128 ต่างกับที่สูงกว่า 128 ยังไง ก็เรื่องของคุณ ไม่แปลก และผมจะไม่ว่าคุณโกหกหรืออวดอ้างตัวว่าประสาทหูดีผิดมนุษย์

ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ ดังนั้นไม่ต้องประกวดประขันกันว่าใครฟังออกไม่ออก ไม่มีรางวัลอะไรให้ เพราะผมก็ไม่รู้ว่าคุณฟังจากลำโพงอะไร ผมก็บอกไปแล้วตั้งแต่ชาติก่อนว่า ถ้าลำโพงดี ก็ฟังออก ก่อนจะตอบน่ะหัดอ่านซะก่อนได้มั้ย

แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ถ้าอยากรู้สึกสบายใจว่าฟัง 192 แล้วดีกว่า 128 ผมยอมโดนหามออกไปฆ่าก็ได้ v_v

จากคุณ : ฮิป - [ 6 มี.ค. 48 02:05:21 A:61.7.131.85 X: TicketID:049470 ]