CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ครบรอบสิบปี Jagged Little Pill อัลบัมประวัติศาสตร์แห่งยุค 90

    ไม่ทราบว่าพวกเรามีใครมีงานชุดนี้ไว้ในครบครองบ้างครับ กระผมเป็นคนหนึ่งที่กล้าพูดได้เต็มปากว่า อัลบัมนี้ของ alanis morrisette คือ soundtrack of my life หรือ album of my generation ตอนที่มันออกจำหน่ายเนี่ย กำลังเข้าปีหนึ่งเลยครับ แรกๆที่เห็นเอ็มวีไม่ชอบเอาเลย แค่รู้ว่าเธอเป็นเด็กปั้นของเจ๊ ฟังเพลง you oughta know แล้วไม่ติดใจอะไร เพราะความไร้เดียงสา ที่ตัดสินแค่ภาพและทำนอง ไม่ได้ใส่ใจในเนื้อหา  ประกอบกับช่วงนั้นเห่อเพลง electronica ก็เลยไม่ค่อยสนใจร็อคเท่าไร แต่สิ่งที่ทำให้สดุดใจมากๆคือปรากฏการณ์ตื่น alanis นั่นแหละครับ อัลบัมถล่มถลาย เปิดหนังสือเล่มไหนก็พูดถึงแต่เธอ ผมถึงเริ่มหันมาเปิดใจรับเธอ ยืมซีดีเพื่อนมาฟัง พอได้ฟังอย่างตั้งใจแล้วก็ถึงบางอ้อทันที ทำไมเธอถึงได้กลายเป็นวีรสตรีของเหล่า rock chick ยุค 90  

           เพียงความเกรียวกราดใน you oughta know ไม่ได้หมายความว่างานชุดนี้จะปลดแอกเพศแม่ อย่างที่หลายคนตีความ เพราะลำพังเพลงด่าผู้ชายคงไม่ทำให้เธอดังได้ขนาดนั้น courney love หรือ liz phare ก็หากินกะแนวนี้มาตั้งนมนาน ยังไม่ดังขนาด alanis  ผมว่าเสน่ห์ของงานชุดนี้อยู่ที่ความคมคายในเนื้อหา หลายคนบอกว่ามันเป็นกวีข้างถนน หรือคำคมบนกำแพง ที่อ่านแล้วมีนัย แต่เป็นนัยที่เข้าใจง่ายไม่ต้องตีความอะไรให้วุ่นวาย  เพลงอย่าง Hand in My Pocket ,You Learn คือตัวอย่างที่ชัดมาก ภาษาที่ง่าย แต่ลึกและโดนสุดๆๆ มันเป็นสัจธรรมที่บ้างคนค้นหากันทั้งชีวิต แต่ alanis เอามาย่อยเป็นเนื้อเพลงได้อย่างชาญฉลาด โดยส่วนตัวผมยกย่องสองเพลงนี้เป็นหนึ่งในบทเพลงที่ดีที่สุดของยุค 90 (ยุคแห่งความสับสน และหมกหมุนอยู่กับตัวเอง)  

           ในขณะที่ ironic คือบทเรียนชิ้นสำคัญที่ทำให้ผมเข้าใจความหมายของคำว่า ironic ยามที่อยู่เรียนวรรณกรรรม ทั้งที่อาจารย์พยายามอธิบาย เปิดดิกชั่นนารี่ก็แล้ว แต่พูดยังไงก็ไม่เห็นภาพ แต่เนื้อเพลงนี้ใช่สุดๆเลยครับ นี่คือความเก่งกาจของ alanis ในฐานะ นักเล่าเรื่องและผู้ขยายความ  

            บนความกระด้างหากเปรียบเทียบกับศิลปินหญิงในช่วงเวลาเดียวกัน ที่ alanis ต้องต่อกรด้วยบนอันดับเพลง อย่างแม่มาลัย เจ๊ celine (ร็อคเกอร์สาวนางอื่นๆ ไม่มีใครผ่ากระแส mainstream ขึ้นมาช่วงชิงอันดับเพลงพ็อพกะเขาได้เหมือน alanis) ในขณะที่สองสาวที่ว่ามาครวญหาคนรัก ตามวิธีของสูตรเพลงรักยุคเก่า แต่ alanis กลับเลือกที่จะหวาน ในแบบของเธอเอง head over feet คือเพลงรักเท่ห์ของหญิงมั่น ที่ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองในเพลงรักไปเลย ทำไมจะต้องเขียนแต่ยอมหมดใจ ให้หมดเลย ขาดเธอเหมือนขาดใจ หรืออะไรที่ซ้ำซาก ออกจากปากนักร้องส่วนใหญ่  alanis ทำให้ผมได้เห็นมุมมองใหม่ๆ สร้างบรรทัดฐาน ขีดเส้นแบ่งระหว่าง artist กับ singer ในมุมมองของผมได้ชัดที่สุด  

            ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรเป็นแรงผลักดันทำให้ผมลุกขึ้นมานั่งเขียนอะไรเสร่อๆ ชื่นชม alanis ได้ยาวขนาดนี้  คงเป็นเพราะช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่าวงการเพลงมันตายสนิทมั้งครับ ไม่มีอัลบัมชุดไหนที่ฟังแล้วปลุกความกระหาย หรือว่าสร้างแรงบันดาลใจเหมือนอย่าง jagged little pill จริงอยู่ที่ alanis เธอยังมีงานใหม่ออกมาเรื่อยๆ และผมก็เป็นคนหนึ่งที่ยังตามเก็บงานเธอทุกชุด แต่ก็ยอมรับตรงๆครับว่า alanis เธอได้ผ่านจุด peak ในเชิงศิลปินของเธอไปแล้ว คงไม่มีอะไรจะลงตัวไปกว่า jagged little pill ได้อีกแล้ว ผมไม่คิดว่าเธอล้มเหลวน่ะ ผมว่าเธอเดินทางมาถึงจุดนั้นเร็วเกินไป  แต่ถ้าลองคิดอีกมุมหนึ่ง มีศิลปินมากมายที่ออกงานมาทั้งชีวิต แต่ไม่เคยขึ้นสู่จุดสูงสุดในเชิงศิลปะ(และการค้า) อัลบัมขายดี เพลงดัง แต่ไม่เคยสร้างสรรค์หรือ inspire ผลัดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือสร้างผลกระทบใดๆ สุดท้ายพวกเขาและเธอเหล่านั้น ก็จะหายไปกลับกาลเวลา แต่กลับ alanis ผมว่า ไม่มีใครลืม jagged little pill ของเธอได้ เพราะมันไม่ใช่แค่เพลงร็อคโดนๆ แต่มันได้ส่งผลต่อสังคม กระบวนความคิดของผู้คน และอะไรอีกหลายอย่างๆ เธอไม่ต่างจาก joni michell ที่ขึ้นสูงสุดในช่วงยุค 70 และจากนั้นก็ไม่เคยหวนคืนสู่ความสำเร็จระดับนั้นได้อีกเลย แต่ทุกคนก็ยังยกย่องเธอในฐานะศิลปินจวบจนทุกวันนี้

           สรุปสุดท้ายที่เขียนมาซะยืดยาวขนาดนี้ นอกจากจะอยาก tribute ให้กับอัลบัมประวัติศาสตร์ชุดนี้แล้ว ผมจะดีใจมากถ้าเด็กรุ่นหลังๆอ่านแล้วจะอยากลองหามาฟัง ผมเชื่อว่าเป็นงาน timeless ชุดหนึ่งของวงการ หยิบขึ้นมาฟังเมื่อไรก็ได้ ไม่มีคำว่าพ้นสมัย อยากให้น้องๆได้ลองฟังเนื้อหาดูครับ และจะรู้ว่ามันแทบหาไม่ได้แล้วในงานเพลงยุคนี้ ที่จะสอดแทรกอะไรให้ได้คิด ไปพร้อมๆกับความรื่นรมณ์ของบทเพลง


    -----------------

    I'm broke but I'm happy
    I'm poor but I'm kind
    I'm short but I'm healthy, yeah
    I'm high but I'm grounded
    I'm sane but I'm overwhelmed
    I'm lost but I'm hopeful baby
    What it all comes down to
    Is that everything's gonna be fine fine fine
    Cuz I've got one hand in my pocket
    And the other one is giving a high five

    แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 48 11:30:12

     
     

    จากคุณ : yev rugrats - [ 5 มิ.ย. 48 11:24:28 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป