มีบทวิจารณ์ Concert ของ Doobadoo มาให้อ่านกันครับ
ชอบ concert นี้จังครับ
สนามวิจารณ์ : มามาดู... ดูบาดู
23 มิถุนายน 2548 17:47 น.
ชัยกร หาญไฟฟ้า (คนรักลูก)
เย็นวันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน 2548 เมฆฝนหม่นครึ้มมิได้ทำให้ประกายดนตรีในหัวใจของฉันมัวซัวลงไปได้แม้แต่น้อย
ฉันมีนัดพิเศษกับ จุดประกาย คอนเสิร์ต ซีรี่ส์ #9 - DoobaDoo Plus ที่หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งถือเป็นนัดบอดกับศิลปินที่ฉันยังไม่รู้จักพวกเขาดีพอ แต่ฉันก็มามาดู...
เมื่อขับรถมาถึงบริเวณที่จอดรถของศูนย์วัฒนธรรมฯ ฉันถึงกับตกตะลึงในความคับคั่งของยวดยานที่จอดเรียงรายแน่นหนา จนฉันไม่สามารถแทรกเบียดจ่อมล้อได้เลย ต้องขับข้ามถนนเทอดพระเกียรติไปฝากฟ้าฝากลมอยู่กลางลานคอนกรีต หลังร้านข้าวเหนียวส้มตำเจ้าอร่อยตรงกันข้ามกับห้างคาร์ฟูร์ นึกในใจว่าศิลปินรายนี้ยิ่งใหญ่เหลือกำลัง คำนวณจากจำนวนรถที่จอด ผู้ชมคงต้องทะลักล้นหอประชุมเล็กแน่นอน
เมื่อเข้ามาถึงข้างใน จึงรู้ว่านั่นเป็นฝูงชนที่แห่กันมาชม 'ทวิภพ' ต่างหาก (เพล้ง! หน้าแตกสิท่าน) เพื่อนร่วมโรงวันนี้ไม่ได้มากมายอย่างที่คิดสักหน่อย ในบริเวณโถงหน้าเธียเตอร์ ผู้จัดรายการอุ่นเครื่องผู้ฟังด้วยวงดนตรีขนาดย่อม 4 คน อันประกอบด้วยหนึ่งกีตาร์ หนึ่งเบส หนึ่งนักร้องสาวสวย และหนึ่งหนุ่มอินเตอร์ ที่ทำหน้าที่รองจังหวะด้วยเพอร์คัสชั่นแพรวพราวพะยี่ห้อเร็กเก้ ทั้งรูปร่างหน้าตาและการแต่งกาย
พวกเขาบรรเลงเรื่อยทั้งเพลงคุ้นหูและเพลงจากอัลบั้มของพวกเขาเอง ให้บรรยากาศประดุจวงเปิดในคอนเสิร์ตใหญ่ๆ ต้องยกนิ้ว(โป้ง) ให้ว่าฝีไม้ลายมือไม่เบาจริงๆ ดนตรีของพวกเขาปิดช่องว่างอารมณ์ของผู้รอคอยได้ชะงัด แม้เวลาแสดงตามที่ระบุในสูจิบัตรจะล่วงเลยไปพอสมควรก็ตาม ด้วยใจจริง ฉันขอปรบมือให้พวกเขาเต็มๆ มือเท่ากับที่เคยปรบให้ศิลปินคนอื่นๆที่ เคยได้ชมบนเวที แล้วมาเล่นให้ฟังอีกนะ...นะ...
เอาล่ะ ก่อนอื่นฉันขอสารภาพตามตรงว่า กับ ดูบาดู ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรจากพวกเขาเท่าไหร่นัก เพราะได้รู้จักพวกเขาก็แค่เพลง 'ไม่ใช่ผู้ชาย' เท่านั้น นึกทำใจไว้ก่อนว่าหากจะไม่ถูกใจจริงๆ ก็ให้ถือเป็นประสบการณ์ตกกระไดพลอยโจนก็แล้วกัน
ก่อนที่ไฟจะหรี่สลัวลง ฉันยกสูจิบัตรขึ้นมาอ่านคำโปรยเป็นการย้อมใจอีกครั้ง
ดูโอแห่งปี & แขกรับเชิญ ดนตรีเหนือความคาดหมาย พร้อมคำนิยามสั้นๆ ว่า 'คูลสวิง'
เสียงตึง ตึ่ง ตึง ของดับเบิ้ลเบสควบกล้ำไปกับเสียงแฉ่งแฉ่งแฉ่ง แฉ่งแฉ่งแฉ่ง ของฉาบอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหายใจ ตามประสาสวิงแจ๊สด้วยเพลงเปิด It Don't Mean A Thing (If It Ain't Got That Swing) มันปลุกประสาทโคนขนของฉันให้ลุกฮือรับกับสำเนียงดนตรีของพวกเขาที่แสนสวิงเหลือหลาย
น้ำเสียงของน้องลูกหว้า พิจิกา จิตตะปุตตะ (ไปนับญาติกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะเนี่ย) ที่ร่ายร้องกลมกลืนกับดนตรีเพียงไม่กี่ชิ้น แหม ช่างแจ๊สซี่อะไรอย่างนั้น หลังจากนั้น เพลง 'สุขุมวิท' ก็ทำให้ฉันนึกถึงน้ำเสียงแจ๊สไทยๆ ของนรีกระจ่าง คันธมาศ ซึ่งฉันมีความฝังใจว่าเสียงวรรณยุกต์ไทยกับเพลงแจ๊สมันเข้ากันไม่ค่อยได้ ด้วยการด้นเสียงแบบแจ๊ส สุขุมวิท จึงกลายเป็นสุขุมวี้ดดด ให้ความรู้สึกไม่แตกต่างกับเพลงที่ฟังเนื้อร้องสุดยากของแม่ริค (Rik) จากค่ายเบเกอรี่
ไม่บ่อยครั้งนัก ที่วงดนตรีแจ๊สจะให้ความสำคัญกับการขับร้อง แต่สำหรับน้องลูกหว้า ไม่มีอะไรให้คัดค้านจริงๆ ฟังแล้วก็ชอบ...ชอบแบบไม่ต้องมีเหตุผลโดยเฉพาะเพลงต่อมา 'วินาที'
สามเพลงผ่านไป น้องลูกหว้าแวบไปพักเสียง พ่อโอ๋ เจษฎา สุขทรามร ทำให้ฉันลืมไปเสียสนิทว่า นายคนนี้เป็นคนเดียวกับคนที่เคยร่วมแหกปากลั่นฟ้าเมืองไทยเมื่อหลายปีก่อนว่า...เกลียดตุ๊ด! ในนามของวงซีเปีย เขาลบล้างความทรงจำของฉันด้วยการใช้กีตาร์ไฟฟ้าบรรเลงเพลง Fur Elise ของเบโธเฟนและ Turkish March ของ โมทสาร์ตให้เป็นสำเนียงแจ๊สได้แนบเนียนจริงๆ
น้องลูกหว้ากลับมาสวิงต่อด้วย Crazy in Love ของบียอนเซ่ หวา ! เพลงนี้ฉานไม่เก็ทแฮะ ว่ากันตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม เสียงของน้องลูกหว้าไม่มี ebony tone พอนะ ปกติแล้วเสียงร้องของหญิงผิวเข้มเนี่ยจะถูกขับเค้นออกจากขุมพลังมหาศาลในช่องท้อง แล้วแนมเอาสำเนียงตอแหลออกมาด้วย แต่ถ้ามองว่าอันนี้มัน Crazy in Jazz นะจ๊ะ ก็ไม่ว่ากัน อ้าวนึกว่าหมดแล้ว ยังมี In the End ของ ลิงคิน พาร์ค อีก โชคดีที่ไม่รู้จักเพลงนี้ (แก่เกินไป) แต่ก็รับได้แบบสวิง สวิง
เพลงต่อมาเป็นเพลงที่ฉันรู้สึกสนุกมากๆ หนุ่มน้อยโย่โย่คัมม่อนแหมน ในชุดฮิบฮอบจากก้านคอคลับเดินออกมานั่งบนกล่องสี่เหลี่ยมหน้าตาคล้ายลำโพงสร้างความกังขาว่า เอ บักแหมนนี่มันมาทำอะไรกันหนอ? น้องลูกหว้าถามว่า ไอ้กล่องที่นั่งทับอยู่มันคืออะไร?
คำตอบของบักแหมนไม่ได้ทำให้โลกคลายสงสัยเลยเมื่อเขาเรียกมันว่า 'กะห้อม' สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เขาสาธิตการสร้างเสียงบีตให้จังหวะจากไอ้เจ้ากะห้อมที่เขานั่งทับอยู่ด้วยสำเนียงของแร็พพันธุ์แท้ ผุ...ป๊ะ...ผุ...ผุ...ป๊ะ...ผุ นั่น เอาเข้าไป ก็สนุกสิคราวนี้ ดูบาดูร้องและเล่นเพลงบุษบาเวอร์ชั่นลืมป๊อดได้มันมาก เท่านั้นยังไม่พอ มีการแนมเอาเพลงลูกทุ่ง "แน่หรือพี่จ๋า บอกว่าจะมาขอหมั้น" มาด้วย อยากจะกระซิบดังๆ เลยนะว่า ลูกคอเด็ดดีอย่างนี้ น้องลูกหว้าไปร้องเพลงลูกทุ่งน่าจะรุ่งนะ รวยกว่าตั้งเยอะ
วงต่อมา ดูบาดู ก็ให้นักร้องพักอีก คราวนี้คุณโอ๋สวิงเพลงไทยเดิมได้ยอดเยี่ยมเหนือคำบรรยาย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเพลงลาวเสี่ยงเทียน ลงตัวนะลงตัว คิดได้ยังไงพ่อคุณ...
แต่ไอ้เพลงถัดมานี่สิ ปวดกบาลซีกซ้ายมาก ฉันฟังเนื้อร้องออกอยู่คำเดียวคือ 'คุณนายมะขาม' แต่ท่อนอื่นๆ ต้องขอยอมแพ้เพราะได้ยินแต่บะริบบะริบ ตะวิดตะวิด อะไรประมาณนั้นอยู่ทั้งเพลง โถ แม่คุณทูนหัวจะรีบไปไหนกันจ๊ะ นี่ถ้าใครมาทะเลาะกับน้องลูกหว้านี่ ซวยไม่มีลิมิต เถียงไม่ทันแน่นอน เพลงนี้นักดนตรีเล่นกันคึกคักมาก มีนักดนตรีญี่ปุ่นมาเล่นคลาริเนตด้วย อ้าว ไม่ใช่แฮะ ปิติซังนี่เอง ฝีมือเยี่ยมรับกับหน้าตาอินเตอร์ (ดูยังไง้ ยังไงหน้าก็เป็นญี่ปุ่น)
ดูบาดู ยังไม่หยุดทรมานผู้ชมด้วยความสนุกเกินพิกัด หนุ่มปะเด อดีตมือเบสซีเปียและสหายอีกหนึ่งหนุ่มทำเซอร์ไพรส์ด้วยการนำเครื่องลมทองเหลือง 'ทูบา' ขึ้นมาเสริมคุณบอมบังเกิดเป็นลิตเติ้ลบราสแบนด์เฉพาะกิจให้น้องลูกหว้าได้โชว์เพลงเก่ง 'ไม่ใช่ผู้ชาย' อย่างหรรษา แหม ถ้าได้นักดนตรีชุดนี้ไปเล่นแตรวงงานบวชนาคของลูกชายคุณป้าละก้อ พ่อนาคเป็นหนีบวชแน่
สนุกกันพอสมควรแล้ว น้องลูกหว้าขอออดอ้อนด้วยเพลงช้า 'เมื่อคืนนี้' ที่ฟังแล้วไม่อยากจะให้จบเลยไม่ว่าคืนนี้หรือคืนไหน นี่กระมัง ที่เขาเรียกว่า...เสียงละลายหัวใจ
ดูบาดู ยกเวทีให้เพื่อนรักหน้าแฝดแขกรับเชิญมือฉมัง ปิติ กับ โรเบิร์ต ได้ใช้ภาษาดนตรีร่วมรำลึกความสัมพันธ์แนบแน่นที่มีมาแต่ครั้งอยู่วง The Arnon Jazz Band ด้วยกัน เฮ้อ กินอะไรกันหนอ ถึงได้เก่งกาจกันปานนี้
คุณโอ๋กลับมายื่นข้อเสนอให้น้องลูกหว้าตีกลองแลกกับการที่จะให้เขาร้องเพลง โดยมีคุณบอมสลับไปเล่นเปียโนให้ เนื้อร้องเพลงจบด้วย What difference is.you เหมือนเป็นการย้ำเตือนว่าผู้ชมเป็นแขกพิเศษที่แตกต่างของเขาในค่ำคืนนี้
และแล้วสำเนียงสวิงก็ได้เว้นวรรคเมื่อ All of Me ใช้บรรยากาศของสแตนดาร์ดแจ๊สกระชากฝีมือของแต่ละคนหมดเปลือกแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นฝีมือของคนหนุ่มคนสาววัยเท่านี้เอง
เสียงปรบมือดังต่อเนื่องไม่ละราเมื่อจบเพลง It Don't Mean A Thing (If It Ain't Got That Swing) ซึ่งเป็นเพลงเดียวกับเพลงเปิดแต่แอมปลิจูดนั้นโอ่อ่าราวกับบิ๊กแบนด์
นักดนตรีกล่าวอำลาแต่ถูกคัดค้านด้วยเสียงปรบมือยาวนาน เพลงต่อมาจึงเป็นอังกอร์ที่ออกมาจากความปรารถนาของผู้ชมโดยแท้ สำเนียงสวิงของ Can't Take My Eyes Off You มาสานต่อจินตนาการของดูบาดูได้อย่างแนบเนียน ก่อนจะปิดท้ายด้วย 'ไม่ใช่ผู้ชาย' อีกครั้ง
กำลังใจของผู้ชมถ่ายทอดสู่สองมือนำเสียงอื้ออึงพร้อมด้วยความชื่นชมในฝีมือและประทับใจในความเป็นกันเองของพวกเขา ฉันเองให้ใจพวกเขาไปหมดเกลี้ยง แม้จะมีที่ไม่ชอบใจอยู่บ้างเล็กน้อย หนึ่งนั้นก็คือเสียงจิ๊ดจ๊าดจากการสแครชแผ่นของดีเจสไปด้ามังกี้- เมธี ขวัญบุญจัน นั่นแหละ ฉันคิดว่านอกจากไม่ได้ช่วยเสริมให้เพลงน่าฟังแล้วยังออกจะรกหูด้วยซ้ำไป
อีกหนึ่งก็คือการที่เรือนร่างของช่างกล้องมักจะแวบเข้ามาในสายตา โดยเฉพาะตอนพ่อโรเบิร์ตโซโลเปียโนจนอดเสียสมาธิไม่ได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการชดเชยบรรยากาศที่ถูกรบกวน จึงขอให้ทีมงานกรุณาจัดทำดีวีดีบันทึกการแสดงครั้งนี้ขึ้นมาให้จงได้ และถ้าฉันขอฟรีๆ ไม่ให้ จะขายราคาเท่าไหร่ก็จะซื้อ เพราะคอนเสิร์ตดีๆ และแตกต่างอย่างนี้ ไม่รู้จะไปหาดูที่ไหนได้อีก เว้นแต่ว่าทีมงานจะเนรมิตให้อีก
นึกถึงคำพูดของน้องลูกหว้าที่บอกว่า "อยากให้เห็นว่าอะไรก็เอามาเล่นกับสวิงแจ๊สได้" แล้วก็อมยิ้ม พวกคุณทำได้จริงๆ และก็ทำได้ดีด้วย
ฉันต้องขอโทษดูบาดู ที่ได้ดูแคลนยู ก่อนที่จะได้มามาดู แล้วฉันจะพาลูกๆ ตามไปดู...นะ
.......................................................
ชัยกร หาญไฟฟ้า เป็นวิศวกรหนุ่มใหญ่ที่ติดตามความเคลื่อนไหววงการศิลปวัฒนธรรม-บันเทิง โดยเฉพาะดนตรีมาอย่างต่อเนื่อง ในฐานะแฟนประจำของเซคชั่นจุดประกาย เขามีบันทึกถึงคอนเสิร์ต # 9 DOObaDOO plus มาฝากเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ด้วยคงเข้าใจว่าผู้จัดงานน่าจะ 'เขิน' ในการเขียนและรีวิวถึงงานของตัวเอง - กองบก.จุดประกาย
จากคุณ :
cu boy
- [
วันต่อต้านยาเสพติดโลก 00:44:01
A:202.176.109.21 X:
]