CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    เพลงสากลในอดีต

    เพลงที่ผมเลือกมาเขียนมีทั้งหมด 30 เพลงครับ (ทั้งเพลงช้าและเพลงเร็ว) จากศิลปินหลากหลาย ทุกเพลงจะอยู่ในยุค 70 กับ 80 ทั้งหมดโดยเริ่มนับตั้งแต่ 1 มกราคม ปี 1970 จนถึง 31 ธันวาคม ปี 1989 มาเริ่มกันเลยครับ

    "We're talking away.....I don't know what I'm to say.....I'll say it anyway.....today's another day to find you...shying away.....I'll be coming for your love, OK?..........take on me.....take me on.....I'll be gone.....in a day or two...."

    - ใครจำมิวสิควีดีโอนี้ได้บ้างครับ ทั้งคนและเทคนิคเอนิเมชั่นเข้ามาเกี่ยวข้องกัน กลุ่มนักร้องจากนอร์เวย์ A-ha 3 คนมุ่งสู่ลอนดอนเพื่อเส้นทางสายดนตรี ซิงเกิ้ลนี้เป็นซิงเกิ้ลแรกในอัลบั้ม Hunting high and low และก็ขึ้นอันดับ 1 หนึ่งสัปดาห์เดือนตุลาคม ที่อเมริกาและเดือนพฤศจิกายนอีก 2 สัปดาห์ที่ออสเตรเลียในปี 1985 ช่วงนั้นวงดนตรีนี้โดนวิจารณ์ไปในแง่ลบว่ามีผลงานแบบขอไปที ในปีต่อมาก็ออกอัลบั้มที่สองที่เน้นไปทางแนวอัลเทอร์เนทีฟร๊อคมากขึ้นแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ อ้อ วงนี้ยังเคยแต่งเพลงให้กับหนังเจมส์ บอนด์ ด้วยนะ ทำเป็นเล่นไป

    "Nobody gets too much heaven no more....it’s much harder to come by....I’m waiting in line....nobody gets too much love anymore...it’s as high as a mountain...and harder to climb...."

    - เป็นเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อเป็นกองทุนช่วยเหลือเด็กให้กับยูเอ็น โดยที่มีศิลปินเข้าร่วมโครงการแต่งเพลงนี้อีกมากมาย หลังจากที่ได้มีการประชุมกันก่อนหน้านี้ในปี 1978 เพลงนี้อยู่ในอัลบั้ม Sprits having flown ของ Bee Gees ในปี 1979 ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 มกราคม 1979 และอยู่ตำแหน่งนั้นได้ 2 สัปดาห์ วงนี้ยังทำเพลงหนังอย่าง Saturday Night Fever ปั่นวงการดิสโก้กลับมามีสีสันได้อีกครั้งหนึ่งด้วย และยังมีเพลงที่ร้องคู่กับ Samantha Sang ที่ แบร์รี่ และโรบินเขียนให้กับเพื่อนเก่าคนนี้ด้วยและร่วมร้องประสาน เพราะดีครับ ขอฮัมนิดหน่อยแล้วกันเป็นการทิ้งท้ายกับวงที่มีเพลงเพราะเยอะจริงๆ "It's over and done but the heartache lives on inside....and who is the one you’re clinging to, instead of me tonight…….”

    "First when there's nothing.....but a slow glowing dream.....that your fear seems to hide.....deep inside your mind.....all alone I have cried.....silent tears full of pride in a world made of steel.....made of stone....."

    - ปี 1983 เจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์และดอน ซิมสัน สร้างหนังเล็กๆเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับสาวธรรมดาคนหนึ่ง (เจนนิเฟอร์ บิลส์) ที่มีอาชีพเป็นช่างเชื่อมในขณะเดียวกันมีใจมุ่งมั่นอยากจะเป็นนักเต้นด้วย ด้วยเนื้อเรื่องแค่นี้เองละครับ แต่พอมีเพลงประกอบภาพยนตร์นี้ขึ้นมา หนัง Flashdance ทำเงินในบ๊อกออฟฟิสขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง เพลงประกอบภาพยนตร์ด้วยเสียงร้องของไอเรนา คาร่า What a feeling ขึ้นอันดับ 1 ถึง 6 สัปดาห์ในอเมริกา ที่ออสเตรเลียปีเดียวกันยิ่งกระหึ่มเข้าไปใหญ่ถึง 8 สัปดาห์ แต่อังกฤษสูงสุดที่อันดับ 2 ครับ ไอเรนา คาร่าแต่งเพลงนี้ร่วมกับ Giorgio Moroder และ Keith Forsey เชื่อไหมครับว่า บริษัทผลิตเทปงงมากกับความดังของเพลงนี้ที่สุดขีดและสุดบรรยายจริงๆ เกือบลืม...เพลงนี้คว้าออสการ์ด้วยครับ แน่แค่ไหนคิดดู หลังจากนั้นปีต่อมาเพลงหนังเรื่อง Footloose ก็ทำสำเร็จที่อันดับ 1 เหมือนกันครับ อ้อ!.....มีความลับซุบซิบของหนังเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ฉากเต้นในหนังเรื่องนี้ นางเอกของเรื่องไม่ได้เต้นเองแต่เป็นสแตนอินที่ชื่อ มารีน ยาฮาน ครับ

    "In a little while from now....if I’m not feeling any less sour....I promise myself to treat myself....and visit a nearby tower....and climbing to the top…..will throw myself off…..”

    - เกิดที่เมืองวอเตอร์ฟอร์ด ประเทศไอร์แลนด์ แต่มาโตที่อังกฤษ ช่วงวัยรุ่น กิลเบิรต์ (Gilbert O'Sullivan) ได้ลองแต่งเพลงและส่งเทปเดโมแต่ไม่เป็นผล จนได้มีโอกาสเซ็นสัญญากับค่ายซีบีเอส และวันที่ 29 กรกฏาคม 1972 เพลง Alone Again (Naturally) ก็ได้ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาสำเร็จ ติดต่อกัน 3 สัปดาห์ซ้อน ก่อนโดน Brandy ของ Looking Glass ล้มไป 1 สัปดาห์ แล้วก็ทวงบัลลังฆ์กลับคืนมาได้อีก 2 สัปดาห์ ทั้งหมด 5 สัปดาห์ในอันดับ 1 ครับ เพลงนี้อยู่ในอัลบั้มแรกที่กิลเบิรต์ได้วางตลาดเป็นครั้งแรกที่อเมริกาครับ อ้อ!.... Clair ปลายปี 1972 และ Get Down ในปีถัดมาก็ยังดังจนชนเพดานอันดับหนึ่งในชารต์ยูเคด้วย

    ".....Yellow river...yellow river…..is in my mind and in my eyes.....yellow river yellow river is in my blood it's the place I love.....get no time for explanation got no time to lose.....tomorrow night'll find me.....sleeping underneath the moon at yellow river....."

    - แรกเริ่มทีเดียว เจฟ คริสตี้ หนุ่มชาวอังกฤษอยู่กับวงดนตรี Outer Limits แนวโฟลค์และแจ๊ส  ก่อนที่วงจะผันตัวเองมาเป็นแนวร็อคแอนด์โรล ตัวเขาเองทั้งยังมีความสนใจในการแต่งเพลงด้วย  หลังจากนั้น เขาจึงตัดสินใจสร้างวงกับเพื่อนเองอีก 2 คนตั้งชื่อในนาม Christie โดยใช้นามสกุลของเขาเอง แล้วก็เซ็นสัญญากับค่ายซีบีเอส มีเพลงนี้ที่ดังขึ้นอันดับหนึ่งในชารต์ยูเคเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 1970 และยืนยาวอยู่นานชารต์นานกว่า 22 สัปดาห์

    ".....We had joy, we had fun, we had seasons in the sun......but the hills that we climbed were just seasons out of time....."

    - Terry Jacks หนุ่มชาวแคนนาดา มีความอยากจะเป็นนักดนตรีมากแม้ว่าได้รับแรงกดดันจากทางบ้านให้เป็นสถาปนิกก็ตามในตอนแรก และเคยได้ตั้งวงกับภรรยาและทีมงานที่รู้จักชื่อ The Poppy Family โดยเทอร์รี่ เล่นเป็นมือกีต้าร์ หลังจากหย่ากับภรรยา เทอร์รี่ก็ได้ไปทำงานอยู่กับวงบีชบอย และได้เสนอเพลงนี้ให้วงบีชบอยบันทึกเพลงนี้ เขาก็ทำแต่ไม่ได้ปล่อยผลงานนั้นออกมา หลังจากนั้นมีโอกาสออกมาสร้างผลงานเดี่ยวตนเอง ทันทีที่เพลงนี้ออก วันที่ 2 มีนาคม ปี 1974 ก็เข้าอันดับ 1 ติดกัน 3 สัปดาห์ในอเมริกา (และอยู่ในชารต์กว่า 3 เดือน) และอังกฤษอีก 4 สัปดาห์รวมทั้งอีก 4 สัปดาห์ในออสเตรเลีย และยังได้รับรางวัล Juno อีก 4 รางวัลด้วย ที่มาของเพลงนี้เศร้ามากครับเพราะเพลงนี้จริงๆแล้วเป็นผลงานของศิลปินชาวฝรั่งเศส Jacques Brel ที่เพื่อนของเทอร์รี่เป็นคนแปลภาษาฝรั่งเศสให้เขา ศิลปินท่านนี้แต่งเพลงนี้อันเนื่องจากตัวเขากำลังป่วยเป็นโรคมะเร็งและเขียนร่ำลาคนที่รักของเขาผ่านบทเพลงในปี 1961 ซึ่งชื่อเพลงแปลได้เป็นภาษาอังกฤษว่า The dying man และแล้วเขาก็จากโลกนี้ไปในเดือนตุลาคม ปี 1978 ครับ

    ".....Karma karma karma karma karma chameleon.....you come and go, you come and go.....loving would be easy if your colours were like my dream.....red gold and green, red gold and green...."

    - Boy George ร่วมกับเพื่อนอีก 3 คนตั้งวงดนตรีของตนเองขึ้นมาในปี 1981 หลังจากนั้นได้มีโอกาสไปทดสอบความสามารถกับค่ายอีเอ็มไอ แต่ไม่ผ่าน ต่อมา ต้นปี 1982 ได้มาเซ็นสัญญากับค่ายเวอร์จิ้น เร็คคอร์ด เพลง Do you really want to hurt me เป็นเพลงแรกในชีวิตพวกเขาที่ทะยานเข้าอันดับ 1 ในชารต์ยูเคและต่อมาในออสเตรเลียด้วย แต่ที่สุดกู่ก็เพลงนี้ครับ ที่ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกา 2 สัปดาห์ อังกฤษ 6 สัปดาห์ และออสเตรเลียอีก 5 สัปดาห์ ผมยังจำมิวสิคได้เลย ร้องและเต้นอยู่บนเรือที่ล่องตามน้ำไป

    "You fill up my senses.....like a night in the forest.....like a mountain in springtime.....like a walk in the rain.....like a storm in the desert.....like a sleepy blue ocean.....you fill up my senses.....come fill me again................................"

    - จอห์น เดนเวอร์ เป็นลูกชายนายทหารอากาศและตั้งชื่อเขาที่ใช้ในวงการเพลงโดยเอาชื่อเมืองที่อยู่บริเวณเทือกเขาร๊อคกี้ในรัฐที่เขาอาศัยอยู่ Annie's song เพลงที่แต่งให้กับภรรยาของเขาในช่วงที่ใกล้จะหย่ากัน เพลงนี้เขาใช้เวลาแต่งเพียง 10 นาทีเอง ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาเดือนมิถุนายน ปี 1974 สองสัปดาห์และเดือนตุลาคม ปีเดียวกันที่อังกฤษด้วยอีก 1 สัปดาห์ นอกจากเพลงนี้ Leaving on the jet plane โดยฝีมือสรรสร้างของ Paul Peter and Mary ก็ขึ้นอันดับ 1 ในปี 1969 และ Country road Take me home ของเขายังขึ้นสูงสุดอันดับ 2 ในปี 1971 ในอเมริกาอีกด้วยครับ

    "Agadoo doo doo.....push pineapple shake the tree.....agadoo doo doo push pineapple grind coffee.....to the left to the right jump up and down and to the knees.....come and dance every night sing with a hula melody....."

    - วง Blacklace เคยเป็นตัวแทนอังกฤษเข้าการแข่งขันร้องเพลงระดับชาติมาแล้ว หลังจากนั้นได้มีโอกาสออกเทปคู่ในปี 1983 ครั้งแรก ซิงเกิ้ลแรกคือ Superman ดังจนติดท๊อปเทนยูเค และปีต่อมาซิงเกิ้ลแนวดิสโก้ที่พูดอยู่นี้ขึ้นถึงอันดับ 2 ในชาตร์ยูเค (โดนเพลง Careless whisper แย่งอันดับ 1 ไป) และติดอยู่ในชาตร์นานกว่า 30 สัปดาห์ อ้อ...แต่เดิม เพลงนี้แต่งโดยชาวฝรั่งเศสครับ พอดีเขาได้ยินเพื่อนเขาฮัมทำนองเพลงนี้ขึ้นมา เลยเอามาแต่งเป็นเพลง โด่งดังในช่วงปี 1974 ตามคลับในฝรั่งเศส จนกระทั่งปี 1984 ที่วงนี้เอามาแปลเป็นภาษาอังกฤษนี่แหละครับถึงดังไปทั่วโลกเลย

    ".....Don't you draw the queen of diamonds boy.....she'll beat you if she's able....you know the queen of hearts is always your best bet.....now it seems to me, some fine things have been laid upon your table....but you only want the ones that you can't get....."

    - เคยเป็นวงแบ๊คอัพในปี 1971 อยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้น The Eagles ก็ได้ออกอัลบั้มแรกในปี 1972 มีเพลงที่ดังอย่าง Take it easy แต่ในอัลบั้มที่ 2 Desperado ชื่ออัลบั้มกับเพลงที่ผมเขียนเป็นชื่อเดียวกัน กลับไม่ค่อยประสบความสำเร็จในชารต์เมื่อเทียบกับ Tequila Sunrise แต่เสียงของ Don Henley กับเพลงนี้ประทับใจผมมาก (จริงๆก็ลังเลที่จะเลือกเพลงนี้กับ Lyin eyes ของวงนี้มาเขียนเหมือนกัน) เพลงนี้ Don Henley แต่งตอนปลายยุค 60 แต่ยังไม่ได้มีการบันทึกใดๆทั้งนั้นครับ จนกระทั่งเกลน เฟรย์เข้ามาร่วมแต่งด้วย เพลงนี้ถ้าฟังก็จะพอรู้ว่าเป็นเพลงออกแนวคาวบอยตะวันตกนิดๆของชาวอเมริกันครับ แต่เพลงนี้กลับไปอัดและบันทึกเสียงที่ประเทศอังกฤษโดยโปรดิวเซอร์ชาวอังกฤษ แต่ที่ทุกคนรู้จักแน่นอนก็คือเพลงที่สัมผัสกับอันดับ 1 Hotel California ครับ ในปี 1976 ครับ ไหนๆพูดถึงดอน เฮนรี่ แล้วเขาเคยออกอัลบั้มเดี่ยวในปี 1982 I can’t stand still และเพลงนี้ถึงแม้จะไม่ดังในชาตร์แต่ผมชอบครับ ร้องเลยแล้วกัน "Football, baseball, basketball games.....drinkin' beer, kickin' ass and takin' down names.....with the top down, get-a-round, shootin' the line.....summer is here and Johnny's feelin' fine....."

    มีต่อความคิดเห็นที่ 1 ครับ (เพลงที่ 11- 20)

    แก้ไขเมื่อ 24 ก.ค. 48 11:19:18

    แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 48 23:54:49

    แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 48 21:55:22

    จากคุณ : ตี๋หล่อมีเสน่ห์ - [ 13 ก.ค. 48 18:31:59 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป