CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    All I have to do is dream Yesterday If you leave me now Puff (the magic dragon) Too much heaven Alone again (naturally)

    เพลงที่ผมเลือกมาเขียนมีทั้งหมด 15 เพลงครับ เป็นเพลงช่วงยุค 70 ลงไปที่ดังๆของแต่ละศิลปิน คิดว่าทุกคนน่าจะรู้จักครับ (เป็นเพลงช้าๆและฟังสบายล้วนๆ ไม่ได้มีเพลงเร็วรวมอยู่ครับ) ผมว่าเพลงยุคนี้ฟังกี่ทีก็ยังอมตะอยู่นะครับ

    "Yesterday, all my troubles seemed so far away.....now it looks as though they're here to stay.....oh, I believe in yesterday......suddenly, I'm not half the man I used to be.....there's a shadow hanging over me.....oh, yesterday came suddenly..........."

    - เพลง Yesterday อยู่ในอัลบั้ม Help อัลบั้มนี้ตอนออกครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 1965 ก็ขึ้นชารต์อัลบั้มอันดับหนึ่งที่อังกฤษทันทีซึ่งยังไม่เคยมีศิลปินวงไหนทำได้มาก่อนเลย ตัวเพลงนั้นไปสูงสุดที่อันดับ 8 ที่อังกฤษแต่ขึ้นอันดับ 1 สี่สัปดาห์ที่อเมริกาเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1965 พอล แมคคาร์ทนี่ย์แต่งเพลงนี้โดยส่วนหนึ่งมาจากแรงบันดาลใจของแม่แฟนคนเก่าที่เคยพูดว่า ตัวเขาเป็นพวกไม่มีความรู้สึก เขาแต่งเพลงนี้ขณะขับรถโดยใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงตอนไปพักตากอากาศทางใต้ของโปรตุเกศ ช่วงพฤษภาคม ปี 1965 หลังจากแต่งเสร็จก็ร้องให้เจ้าของบ้านพักตากอากาศที่นั่นฟังด้วยกีต้าร์ของเจ้าของบ้านหลังนั้นเองครับ เพลงนี้ถือว่าเป็นเพลงที่มีคนนำกลับมาร้องใหม่สูงที่สุดเลยจนลงกินเนสบุ๊คไปแล้วครับ พูดถึงเพลงนี้คงจะเหงาๆดีนะครับ เพราะเพลงนี้เป็นเพลงที่พอลบันทึกเพลงอยู่คนเดียวโดยที่เพื่อนของเขาอีกสามคนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยครับ

    "Nobody gets too much heaven no more....it’s much harder to come by....I’m waiting in line....nobody gets too much love anymore...it’s as high as a mountain...and harder to climb...."

    - เป็นเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อเป็นกองทุนช่วยเหลือเด็กให้กับยูเอ็น โดยที่มีศิลปินเข้าร่วมโครงการแต่งเพลงนี้อีกมากมาย หลังจากที่ได้มีการประชุมกันก่อนหน้านี้ในปี 1978 เพลงนี้อยู่ในอัลบั้ม Sprits having flown ของ Bee Gees ในปี 1979 ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 มกราคม 1979 และอยู่ตำแหน่งนั้นได้ 2 สัปดาห์ วงนี้ยังทำเพลงหนังอย่าง Saturday Night Fever ปั่นวงการดิสโก้กลับมามีสีสันได้อีกครั้งหนึ่งด้วย และยังมีเพลงที่ร้องคู่กับ Samantha Sang ที่ แบร์รี่ และโรบินเขียนให้กับเพื่อนเก่าคนนี้ด้วยและร่วมร้องประสาน เพราะดีครับ ขอฮัมนิดหน่อยแล้วกันเป็นการทิ้งท้ายกับวงที่มีเพลงเพราะเยอะจริงๆ "It's over and done but the heartache lives on inside....and who is the one you’re clinging to, instead of me tonight…….”

    “Puff, the magic dragon lived by the sea…..and frolicked in the autumn mist in a land called Honalee…..little Jackie Paper loved that rascal…..puff and brought him strings and sealing wax and other fancy stuff…..”

    กลุ่มนักดนตรีโฟลค์ซอง Peter Paul & Mary ออกผลงานเพลงนี้ครั้งแรกกับค่ายวอร์เนอร์ในปี 1962 มีเพลง If I had a hammer ที่ดังในชุดนั้น (แต่จะมีอีกเพลงที่ผมจะขอเขียนทิ้งท้ายไว้สำหรับอัลบั้มชุดนี้) ในปีต่อมา อัลบั้มที่สองของพวกเขาออกจัดจำหน่ายในเดือนมกราคม ชื่อ Moving มีเพลงที่ผมเขียนอยู่เป็นเพลงที่ปีเตอร์แต่งตั้งแต่ตอนอยู่วิทยาลัย ตัวอัลบั้มแรกๆไม่ได้เปรี้ยงปร้างมากนัก จนกระทั่งวินาทีที่เพลงนี้ขึ้นทะยานสูงสุดที่อันดับ 2 ของอเมริกา กลายเป็นเพลงที่ชื่นชอบและหลงรักของเด็กๆ เป็นหนึ่งในเพลงที่เด็กชอบสูงสุดตลอดกาล และเนื่องจากเพลงนี้เองที่ทำให้ตัวอัลบั้มนี้ติดชาร์ตนานถึง 99 สัปดาห์ด้วยกัน อ้อ มีเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับที่มาของเพลงนี้มาฝากครับ วันหนึ่งในปี 1958 เพื่อนของปีเตอร์ ชื่อ ลีโอนาร์ด ลิปตั้น มาที่บ้านปีเตอร์และไม่เจอใคร จึงนั่งแต่งกลอนอันหนึ่งขึ้นมาเกี่ยวกับตัวเขาเองเนื่องจากตอนนั้นเขาอายุ 19 ปีแล้วและมีความรู้สึกว่าตัวเองได้ผ่านช่วงวัยเด็กอันสนุกสนานไป เลยนั่งแต่งกลอนนั้นออกมาโดยใช้เวลากับมันแค่ไม่กี่นาทีที่บ้านปีเตอร์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด ตอนลีโอนาร์ดกลับไป เขาก็ลืมกลอนนั้นทิ้งไว้ไม่ได้สนใจ เมื่อปีเตอร์กลับมาเห็นกลอนของเพื่อนเขาที่แต่งไว้ จึงเริ่มลงมือแต่งเพลงโดยอิงเนื้อหาจากกลอนนั้น หลายปีผ่านไป ต่างก็แยกย้ายกันไป จนเมื่อเพลงนี้ดังขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าของกลอนจึงเริ่มคุ้นกับเนื้อหาเพลงนั้นขึ้นมา แล้วทั้งคู่ก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่งครับ สุดท้ายครับ มาถึงเพลงที่จะขอทิ้งท้ายไว้ที่เกริ่นตั้งแต่ตอนต้น หวังว่าทุกคนคงยังไม่ลืมอีกเพลงของวงนี้ เรื่องราวของชายคนหนึ่งที่คิดถึงบ้านครับ ดังไม่แพ้กันเลยครับ ขอร้องให้ฟังนะครับ “If you miss the train I'm on…..you will know that I am gone…..you can hear the whistle blow a hundred miles…..hundred miles, a hundred miles…..a hundred miles, a hundred miles…..you can hear the whistle blow a hundred miles…..”

    "In a little while from now....if I’m not feeling any less sour....I promise myself to treat myself....and visit a nearby tower....and climbing to the top…..will throw myself off…..”

    - เกิดที่เมืองวอเตอร์ฟอร์ด ประเทศไอร์แลนด์ แต่มาโตที่อังกฤษ ช่วงวัยรุ่น กิลเบิรต์ (Gilbert O'Sullivan) ได้ลองแต่งเพลงและส่งเทปเดโมแต่ไม่เป็นผล จนได้มีโอกาสเซ็นสัญญากับค่ายซีบีเอส และวันที่ 29 กรกฏาคม 1972 เพลง Alone Again (Naturally) ก็ได้ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาสำเร็จ ติดต่อกัน 3 สัปดาห์ซ้อน ก่อนโดน Brandy ของ Looking Glass ล้มไป 1 สัปดาห์ แล้วก็ทวงบัลลังฆ์กลับคืนมาได้อีก 2 สัปดาห์ ทั้งหมด 5 สัปดาห์ในอันดับ 1 ครับ ซิงเกิ้ลเพลงนี้เป็นผลงานในอัลบั้มแรกที่กิลเบิรต์ได้วางตลาดเป็นครั้งแรกที่อเมริกาครับ อ้อ!.... Clair ปลายปี 1972 และ Get Down ในปีถัดมาก็ยังดังจนชนเพดานอันดับหนึ่งในชารต์ยูเคด้วย

    ".....We had joy, we had fun, we had seasons in the sun......but the hills that we climbed were just seasons out of time....."

    - Terry Jacks หนุ่มชาวแคนนาดา มีความอยากจะเป็นนักดนตรีมากแม้ว่าได้รับแรงกดดันจากทางบ้านให้เป็นสถาปนิกก็ตามในตอนแรก และเคยได้ตั้งวงกับภรรยาและทีมงานที่รู้จักชื่อ The Poppy Family โดยเทอร์รี่ เล่นเป็นมือกีต้าร์ หลังจากหย่ากับภรรยา เทอร์รี่ก็ได้ไปทำงานอยู่กับวงบีชบอย และได้เสนอเพลงนี้ให้วงบีชบอยบันทึกเพลงนี้ เขาก็ทำแต่ไม่ได้ปล่อยผลงานนั้นออกมา หลังจากนั้นมีโอกาสออกมาสร้างผลงานเดี่ยวตนเอง ทันทีที่เพลงนี้ออก วันที่ 2 มีนาคม ปี 1974 ก็เข้าอันดับ 1 ติดกัน 3 สัปดาห์ในอเมริกา (และอยู่ในชารต์กว่า 3 เดือน) และอังกฤษอีก 4 สัปดาห์รวมทั้งอีก 4 สัปดาห์ในออสเตรเลีย และยังได้รับรางวัล Juno อีก 4 รางวัลด้วย ที่มาของเพลงนี้เศร้าครับเพราะว่า เพลงนี้จริงๆแล้วเป็นผลงานของศิลปินชาวฝรั่งเศส Jacques Brel แล้วเพื่อนของเทอร์รี่ก็เป็นคนแปลภาษาฝรั่งเศสให้เทอร์รี่ฟังเป็นภาษอังกฤษอีกที ศิลปินฝรั่งเศสท่านนี้แต่งเพลงนี้อันเนื่องจากตัวเขากำลังป่วยเป็นโรคมะเร็งและเขียนร่ำลาคนที่รักของเขาผ่านบทเพลงในปี 1961 ซึ่งชื่อเพลงแปลได้เป็นภาษาอังกฤษว่า The dying man และแล้วเขาก็จากโลกนี้ไปในเดือนตุลาคม ปี 1978 ครับ

    “Hello darkness, my old friend…..I've come to talk with you again….. because a vision softly creeping….. left its seeds while I was sleeping….. and the vision that was planted in my brain….still remains within the sound of silence…..”

    Paul Simon and Art Garfunkel สองคนนี้เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม ต่อมาช่วงปลายปี 50 เคยมีผลงานร่วมกัน มีชื่อวงครั้งแรกที่ตลกดีครับ ทอมแอนด์เจอรรี่ ในปี 1964 เขาได้มีอัลบั้มร่วมกันอีกครั้งชื่อ Wednesday Morning, 3 A.M. กับค่ายซีบีเอสที่มีเพลงนี้อยู่ด้วย เพลงนี้พอล ใช้เวลาแต่งประมาณ 6 เดือนครับ แต่ด้วยลักษณะเสียงที่ค่อนข้างดิบและดนตรีที่ยังไม่แน่นพอ เลยทำให้ไม่ประสบความสำเร็จและขายไม่ดีอย่างมาก อ้อ...ตอนนั้นเพลงนี้ใช่ชื่อว่า Sound of silence ไม่มีตัว The ครับ ต่อมาโปรดิวเซอร์ที่ค่ายเพลงโคลัมเบียมีแนวความคิดที่จะเอาวงแบ๊คอัพของบ๊อบ ดีแลนมาเสริมทำเพลงให้กับพอล ไซมอนและอาร์ท การ์ฟังเกลใหม่อีกครั้งในปี 1965 โดยใช้ท่วงทำนองโฟลค์ร็อคของบ๊อบ ดีแลนนั้น มีหลายเพลงของพอลถูกนำมาทำใหม่ ผลลัพธ์คือเพลงโด่งดังขึ้นมาทันทีเมื่ออกสู่สายตาประชาชน ยังไม่หมดครับ พอปี 1967 ไมค์ นิโคลส์ ผู้กำกับหนังเรื่อง The Graduate ก็ได้ให้พอล มาช่วยแต่งเพลงหนังเรื่องนี้ให้กับเขา มีเพลงที่ผมชอบอย่าง Scarborough Fair ขึ้นสูงสุดที่อันดับ 11 อยู่ด้วย (เพลงนี้อยู่ในอัลบั้ม Parsley, Sage, Rosemary and Thyme ด้วย) ยังมีเพลง Mrs.Robinson ที่ขึ้นถึงอันดับ 1 และเอา The Sound of Silence กลับมาทำใหม่อีกครั้ง (ไมค์ นิโคลส์ ได้รับออสการ์ผู้กำกับยอดเยี่ยมจากหนังเรื่องนี้แต่ตัวภาพยนตร์ไม่ได้ครับ แสดงโดยดัสติน ฮอฟแมนและแอน แบนครอสฟ์) เพลงที่ผมเขียนนี้ขึ้นอันดับหนึ่งที่อเมริกา เมื่อวันที่ 1 มกราคม ปี 1966 และโดน We can work it out ของ The Beatles ล้มลงไป 2 สัปดาห์ก่อนที่จะทวงบัลลังฆ์คืนมาใหม่อีก 1 สัปดาห์ ซิงเกิ้ลเพลงนี้ของพอลไม่ได้มีจำหน่ายที่อังกฤษแต่เพลงของเขาขึ้นอันดับสูงสุดที่ 3 ในอังกฤษได้โดยการเรียบเรียงใหม่ของวง The Bachelors ที่ประเทศอังกฤษครับ เนื้อหาของเพลง The Sound of Silence เข้ากับเนื้อเรื่องของหนังได้เป็นอย่างดี ความเงียบเปรียบเสมือนก้อนเนื้อร้าย ตราบใดที่ผู้คนในหนังมีความจริงใจให้แก่กันและกล้าที่จะพูดออกไป เรื่องต่างๆก็คงจะไม่เกิดขึ้น ท้ายสุดนี้ อย่าลืมเพลงดังอันดับหนึ่งต้นปี 1970 อีกเพลงของวงนี้ด้วยนะครับ Bridge over troubled water

    "You fill up my senses.....like a night in the forest.....like a mountain in springtime.....like a walk in the rain.....like a storm in the desert.....like a sleepy blue ocean.....you fill up my senses.....come fill me again................................"

    - จอห์น เดนเวอร์ เป็นลูกชายนายทหารอากาศและตั้งชื่อเขาที่ใช้ในวงการเพลงโดยเอาชื่อเมืองที่อยู่บริเวณเทือกเขาร๊อคกี้ในรัฐที่เขาอาศัยอยู่ Annie's song เพลงที่แต่งให้กับภรรยาของเขาในช่วงที่ใกล้จะหย่ากัน และเขาใช้เวลาแต่งเพียง 10 นาทีเอง ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาเดือนมิถุนายน ปี 1974 สองสัปดาห์และเดือนตุลาคม ปีเดียวกันที่อังกฤษด้วยอีก 1 สัปดาห์ นอกจากเพลงนี้ Leaving on the jet plane โดยฝีมือสรรสร้างของ Paul Peter and Mary ก็ขึ้นอันดับ 1 ในปี 1969 และ Country road Take me home ของเขายังขึ้นสูงสุดอันดับ 2 ในปี 1971 ในอเมริกาอีกด้วยครับ

    “Drea-ea-ea-ea-eam, dream, dream, dream…..drea-ea-ea-ea-eam, dream, dream, dream…..dhen I want you in my arms…..when I want you and all your charms…..whenever I want you, all I have to do is…..drea-ea-ea-ea-eam, dream, dream, dream…..”

    หลังจากที่วง The Everly Brothers ออกซิงเกิ้ลสองเพลงแรกที่ดังอย่าง Bye Bye Love และ Wake Up Little Susie ในปี 1957 ซิงเกิ้ลที่สามกลับเงียบลง ทางค่ายเพลงจึงต้องหาแนวเพลงที่มาปลุกความดังของวงนี้กลับคืนมา Boudleaux Bryant จึงแต่งเพลงนี้ขึ้นมา โดยวงนี้ทำการบันทึกเสียงเพลงนี้เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 1958 ซิงเกิ้ลนี้ถูกปล่อยออกมาเมื่อเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน และกลายเป็นเพลงที่ดังที่สุดของวงนี้ไปเลยครับ ขึ้นอันดับ 1 ที่อเมริกาเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1958 เป็นเวลา 4 สัปดาห์แต่ดังมากกว่าอีกในอังกฤษที่อันดับ 1 เมื่อวันที่ 5 กรกฏาคม ปีเดียวกันถึง 7 สัปดาห์ แต่เพลง Bird dog กลับไปดังอันดับหนึ่งที่ออสเตรเลียแทนในเดือนตุลาคม พอซิงเกิ้ลที่ผมเขียนออกตัวมาไม่นาน อัลบั้มแรกของพวกเขาก็ออกตามมาทันทีโดยใช้ชื่อว่า The Everly Brothers แต่แฟนเพลงมักจะเรียกชื่ออัลบั้มของเขาผิดเป็น "They're off and rolling" เนื่องจากคำนี้อยู่บนปกด้านหน้าของอัลบั้มนี้นั่นเอง อ้อ...ซิงเกิ้ลนี้เป็นซิงเกิ้ลแรกของพวกเขาด้วยนะครับที่เข้าสู่ประเทศอังกฤษ เขาทั้งสองยังจำวันที่ Boudleaux แต่งเพลงนี้ได้ด้วยว่า ทันทีที่พวกเขาฟัง "มันเป็นเพลงที่เพราะที่สุดของพวกเขา มันต้องดังแน่ๆ"

    ต่ออีก 7 เพลงด้านล่างครับ

    แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 48 21:51:11

    แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 48 16:17:41

    แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 48 15:34:38

    แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 48 13:24:32

    แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 48 13:05:36

    จากคุณ : ตี๋หล่อมีเสน่ห์ - [ 25 ก.ค. 48 12:00:53 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป