http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=historyandphilosophy&group=9
เบโธเฟ่นมี Symphony ทั้งหมด 9 เพลง (ไม่นับหมายเลข 10ที่ยังเป็นที่ถกเถียงว่าเป็นของเขาหรือไม่) ซึ่งแต่ละเพลงมีความโด่งดังและมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง อย่างไรก็ตามมี Symphony ซึ่งไม่เหมือนใครเลยนั่นคือหมายเลข 6 ที่มีลักษณะ Program Music หรือดนตรีที่ต้องการสื่อถึงอะไรบ้างอย่างนอกเหนือจากความไพเราะที่เพลงนั้นมีอยู่แล้ว ดังเช่นเพลงของ Antonio Vivaldi คีตกวียุคบาร็อคที่บรรยายถึงความงามของยุโรปผ่านสี่ฤดูกาล นั่นคือ Four Seasons
(ภาพวาดตอนเบโธเฟ่นกำลังเดินเล่น)
Symphony หมายเลข 6 the "Pastoral" in F Major (Op. 68) ของเบโธเฟ่นนี้มีลักษณะสำคัญคือการกล่าวถึงความงดงามของชนบทและธรรมชาติ (คำว่า Pastoral หมายถึงทุ่งหญ้าหรือชนบท) เบโธเฟ่นนั้นเป็นที่รู้กันว่ารักธรรมชาติ ชอบเดินทางจากเมืองเวียนนาที่เขาพำนักอยู่ตลอดชีวิตไปพักผ่อนที่ชนบท และเดินเล่นไปเรื่อยๆ จนเกิดความคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับเพลงที่กำลังแต่ง ว่ากันว่าเบโธเฟ่นชอบเดินลัดทุ่งนาและร้องเพลงเสียงแหลมเล็กจนอีกาตกใจบินหนีไป
เบโธเฟ่นแต่ง Symphony หมายเลขหกไปพร้อมๆ กับหมายเลขห้าอันลือชื่อของเขา (ทุกคนจะค้นหูกันดีกับกระบวนแรก) แต่เมื่อนำหมายเลขหกมาแสดงในกรุงเวียนนาในปี 1808 กลับได้รับการต้อนรับอย่างเย็นชาจากผู้ชมเพราะไม่ชอบสไตล์เพลงที่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนเช่นหมายเลขหกนี้ อย่างไรก็ตามเพลงๆ นี้กลายเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายภาพยนตร์การ์ตูน Disney เพราะสามารถทำการ์ตูนให้สอดคล้องกับเพลงด้วยมีเนื้อหาที่ชัดเจนและไพเราะมาก ดังเรื่อง Fantasia (1940)
(ภาพภายนอกของโรงละคร Theater an Wien ซึ่งเป็นโรงละครที่เบโธเฟ่นใช้จัดแสดง Symphony หมายเลข 6 และยังเคยเป็นโรงละครที่จัดแสดงอุปรากรเรื่อง The Magic Flute ของ Wolfgang Amadeus Mozart)
Symphony หมายเลย 6 มีทั้งสิ้น ห้ากระบวน (Movement) ซึ่งแตกต่างจาก Symphony ทั่วไปที่จะมีเพียงสี่กระบวน มีความยาวทั้งสิ้น 40 นาที แต่ละกระบวนมีประโยคบรรยายประกอบ สั้นๆ แต่ได้ใจความดังต่อไปนี้
1.Allegro Ma Non troppo หรือความปิติสุขต่อการได้มาเยือนท้องทุ่ง (Awakening of joyous feelings upon arrival in the country) เพลงๆ นี้จะเริ่มต้นด้วยจังหวะเร็วแสดงให้เห็นถึงความสุขของผู้แต่งที่ได้มายังชนบท
2. Andante molto mosso หรือ ข้ามริมธาร (By Brook) เป็นจังหวะช้าๆ เนิบๆ ที่งดงาม ทำให้ผู้ฟังนึกถึงความงดงามของธรรมชาติข้างแม่น้ำสายเล็ก ๆ มีแสงแดดส่องทะลุกึ่งไม้ผ่านมากระทบกับพื้นน้ำเป็นประกาย
3. Allegro attacca หรือ การเต้นรำที่แสนสนุกสนานของชาวนา (Happy gathering of country folk) เป็นจังหวะที่เร็วแสดงถึงชีวิตชาวนาเมื่อยามว่างจากการทำนาแล้วจึงมาร้องรำทำเพลงจนหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
4. Gewitter หรือพายุ (Storm) ทันใดนั้นกลุ่มชาวนาก็แตกพลัดกระจัดกระจายเพราะพายุและฝนที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน กระบวนนี้บรรยายถึงความหวาดกลัวของผู้แต่งในฐานะมนุษย์ตัวกระจ้อยร่อยที่มีต่อความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ เพลงมีจังหวะเร็วและ รุนแรง ประดุจดังพายุไปพร้อมๆ กับเสียงกลองที่กระหน่ำเหมือนเสียงฟ้าผ่า
5.Allegretto หรือ บทอันแสนยินดีและความกตัญญต่อน้ำพระท้ยของพระเจ้าของคนเลี้ยงแกะหลังพายุได้พ้นผ่าน (Shepherd's song; cheerful and thankful feelings after the storm) เพลงกลับมาเร็วในระดับกลาง มีทำนองที่แจ่มใส อันแสดงให้เห็นว่าพายุได้พัดผ่านไปแล้ว แสงแดด และท้องฟ้าสีครามกลับมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วของนกบนต้นไม้ ประชันกับเสียงเพลงอันปิติของคนเลี้ยงแกะเคียงข้างฝูงแกะที่ติดอยู่ในซอกเขายามพบกับพายุ
เบโธเฟ่น เคยคิดจะฆ่าตัวตาย เพราะอาการหูหนวกของเขาที่กำเริบหนัก แต่ไม่สำเร็จ ด้วยความรักที่มีต่อเสียงเพลงและพระเจ้า นอกจากนี้ สุนทรียทัศน์ของโลกเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เบโธเฟ่นมีกำลังใจต่อสู้กับอุปสรรคทั้งปวง ให้เขาได้รู้ว่าความงามของชีวิตแท้ที่จริงไม่ใช่วัตถุของมีค่าหรือชื่อเสียงเลย หากแต่เป็นความงดงามของธรรมชาติที่สะท้อนภาพเข้ามาสถิตในหัวใจของเขานั่นเอง
จากคุณ :
Johann sebastian Bach
- [
25 ส.ค. 48 11:09:03
]