ความคิดเห็นที่ 10
เผอิญได้อ่านเจอเห็นเป็นเรื่องเดียวกัน(ช่างบังเอิญจริงๆ) เลยเอามาฝากกันค่ะ
บทกวีในวรรณคดีไทยมีบทรัก บทพิศวาสของหญิงชายอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์หรือที่เรียกว่า "บทอัศจรรย์" ให้อ่านเล่นเพลินๆ สะท้อนให้เห็นถึงความเปรื่องปราชญ์ของกวีที่ประจงถ้อยคำได้อย่างไพเราะ อ่านแล้วไม่ดูน่าเกลียด
ในกลอนลิเกที่พระเอกร้องเกี้ยวนางเอกก็เว้ากันซื่อๆ มีการเปรียบเปรยความงามของนางเอกและนำไปสู่ความรู้สึกรักใคร่ผูกพัน จากนั้นนางเอกจะทำท่าทางเอียงอาย ขวยเขินและตัดพ้อ กลัวว่าพระเอกจะรักไม่จริง มีรักกับตนแล้วต่อไปก็จะหน่ายไปมีความรักกับหญิงอื่น
ส่วนผู้ร้ายหรือตัวโกงที่หลงรักนางเอก อยากได้นางเอกเป็นเมีย แต่นางเอกไม่เล่นด้วยก็ร้องว่า
"แม้ไม่รักกูจะปล้ำ เอ๊ย กูจะปล้ำให้หนำใจ เพื่อให้ได้มาเป็นเมีย.........." แล้วก็ว่าไป นางเอกจะพยายามวิ่งหนี คนดูจะเอาใจช่วย ไม่อยากให้นางเอกตกเป็นของตัวโกง เพราะนางเอกต้องคู่กับพระเอกเท่านั้น ตัวโกงจะแสดงความกักขฬะให้คนดูเกลียด
กลอนลำตัดจะงัดเอาถ้อยคำ ภาษาที่สองแง่สองง่าม วนเวียนอยู่กับเครื่องเพศและบทพิศวาสมาเชือดเฉือนตอบโต้กันระหว่างฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย
หญิงที่ขี้อายจะไม่นิยมดูลำตัด
สำหรับเพลงลูกทุ่ง เนื้อหาร้อยละกว่า 90 พูดถึงความรัก ความผิดหวัง
คำร้องในเพลงลูกทุ่งสมัยก่อน นักประพันธ์เพลงมีความพิถีพิถันในการกลั่นถ้อยคำออกมาเป็นเพลง ไม่มีลักษณะสุกเอาเผากิน ทำกันแบบหยาบๆ ลวกๆ ที่เขียนเพลงไม่มีสัมผัส อย่าว่าแต่สัมผัสในเลย แค่สัมผัสนอกก็ยังหาแทบไม่เจอ ภาษาวรรณคดีแทบไม่ต้องพูดถึง
คำร้องในเพลงลูกทุ่งยุคอดีตจึงเปี่ยมด้วยความไพเราะ หวานซึ้งตรึงใจ โดยเฉพาะบทรัก บทใคร่หรือบทพิศวาสไม่หยาบโลน
ทูล ทองใจ เป็นนักร้องลูกทุ่งที่โด่งดังในช่วงปี 2500 ขึ้นมา และชื่อเสียงกระฉ่อนสุดขีดราวปี 2502 เพลงของเขามีเอกลักษณ์พิเศษที่นักประพันธ์เพลงสร้างให้ผ่านบทเพลง เสียงของทูล และลีลาการร้องทำเอาแฟนเพลงใหลหลงไปเลยทีเดียว
ทูลจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับเมื่อค่ำวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2538 ขณะอายุได้ 67 ปี ด้วยโรคร้ายก้อนเลือดคั่งในสมองและความดันโลหิต สุดที่แพทย์จะเยียวยาฉุดรั้งชีวิตเขาไว้ได้ ทิ้งไว้แต่ผลงานเสียงอมตะและตำนานให้คนรุ่นหลังชื่นชม
มีครูเพลงหลายต่อหลายคนเขียนเพลงให้ทูลร้อง เช่น ไพบูลย์ บุตรขัน, เบญจมินทร์, มงคล อมาตยกุล, ป. ชื่นประโยชน์, พยงค์ มุกดา, ร้อยแก้ว รักไทย ฯลฯ
ขอนำบทเพลงที่ว่าด้วย บทรัก บทใคร่หรือบทพิศวาสที่ฟังแล้วรื่นหูจรุงจิตใจมาเสนอเพื่อประโยชน์ในการศึกษาและเพื่อเปรียบกับความเปลี่ยนแปลงของเพลงลูกทุ่งในปัจจุบันที่มีเพลงประเภทหยาบ กระด้าง ลามก ไร้ยางอาย ทั้งคนร้องและคนแต่งมากมายหลายเพลง
เริ่มกันที่เพลงของครูไพบูลย์-เพลงเดือนต่ำดาวตก ....เดือนต่ำดาวตก เสียงนกละเมอ เผลอร้องครั้งใด พี่แทบคลั่งไคล้ คิดถึงทรามวัยมิวางผวากายหมายโลมเนื้อเกลี้ยง พบเพียงหมอนข้างแทนที่แม่นาง น้องเจ้าเคยนอน
"หมายโลมเนื้อเกลี้ยง" โลม น่าตัดทอนมาจาก "เล้าโลม" หมายถึงการแสดงความรัก (บทรัก) ต่อกัน ส่วนเนื้อเกลี้ยงเป็นสรรพนามที่ใช้เรียกหญิงสาว (ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าเนื้อไม่เกลี้ยงจะเป็นเนื้อแบบไหน และไม่สวยอย่างไร)
เพลงกระดังงาลนไฟ เป็นอีกเพลงหนึ่งของครูไพบูลย์ คำร้องกล่าวถึงความหอมของสไบ แก้มสาว ดังเนื้อเพลงที่ว่า
"กลิ่นกรุ่นกรุนละมุนละไม ยิ่งถวิลกลิ่นสไบ กลิ่นร่ำมาลัยแทบเนื้อ พยอม นวลปรางน้องนางพี่เคยได้ดมได้ดอม ไม่เคยลืมแก้มหอมในห้วงฤทัย
ดอกเอ๋ย เจ้าดอกกระดังงา กลิ่นหอมเจ้าจะมีค่า เมื่อถูกนำมาลนไฟ เอ๋ย จริงหรือไม่เอย หอมลอยอ้อยอิ่ง กลิ่นสาบสาวหอมเสียยิ่งสิ่งหอมไกล..."
สมัยก่อนเมื่อ 50 ปี ที่แล้ว ยังไม่มีเครื่องประทินผิว ไม่มีเครื่องสำอางไม่มีน้ำหอมให้สาวบ้านนาซื้อมาทา แก้มยังหอมถึงปานนั้น
เห็นทีจะต้องไปต่อวันอาทิตย์หน้าเสียแล้วละครับ
คัดลอกมาจากหนังสือพิมพ์ มติชน คอลัมน์ มาลัยลูกทุ่ง โดยเลิศชาย คชยุทธ ฉบับวันที่ 25 ก.ย. 48
จากคุณ :
กระแตไทย
- [
26 ก.ย. 48 23:30:13
]
|
|
|