จากที่พวกเขาได้ทำชื่อเสียงให่แก่วงศ์ตระกูลได้แล้ว ต่อจากนี้ไป คือ

การเผชิญกับผู้คนมากหน้าหลายตาของพวกเขาไม่ใช่แค่เพียงใน

การอัดรายการหรือแสดงตามคลับ ตามสนามแข่งรถ และครั้งนี้

พวกเขาได้ทำความท้าทายอย่างมาก พวกเขานับถือวงเดอะบีทเทิ่ล

เยี่ยงพระเจ้า อิอิ เว่อร์ไป และในเวลาเดียวกันบีทเทิ่ลได้มาออสเตรเรีย

ทำให้วงหน้าใหม่อย่างบีจีส์ตื่นเต้นอย่างมาก พวกเขาเห็นว่าผู้คน

ช่างคลั่งไคล้ในตัวของชาวลิเวอร์พูลสี่คนอย่างเหลือเกินถึงขนาด

ในดีวีดีแผ่นนึง แฟนคลับถึงกับกระโดดเกาะรถไปด้วย บีจีส์เห็นแล้ว

คงเกิดความคิดอะไรหลายๆอย่างที่เป็นข้อแตกต่างในตอนนี้แต่สิ่ง

ที่เหมือนกันระหว่างสองวงนี้คือเป็นวงดนตรีอังกฤษเหมือนกัน

โดยที่วงบีทเทิ่ลมีเสียงร้องประสานที่เข้ากันเนื่องจากพวกเขามาจาก

ที่เดียวกันหรือเมืองลิเวอร์พูลนั่นเองแต่ในทางกลับกันวงบีจีส์เป็นวง

พี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกันและอาจเป็นเหตุที่ทำให้ระดับเสียงของ

พวกเขาสามคนถึงได้มีโทนเสียงที่เข้ากันขนาดนี้ โดยในเวลานั้น

บีทเทิ่ลมีเพลงPaperback Writerที่กำลังโด่งดังอยู่

ส่วนบีจีส์มีเพลงLonely Winterที่เพิ่งคลอดอย่างสดๆร้อนๆ

หากจำไม่ผิดรู้สึกว่าทางบีจีส์จะชอบความเป็นตัวของPaul

Macartneyเอามากๆ บีจีส์ได้มีงานเพลงมากมายในช่วง

ปี ค.ศ.1960-1964 ไม่ว่าจะเป็นเพลงHow many bird เพลงที่

แสดงเสียงดิบของแบรี่ออกมาคล้ายๆกับงานเพลงบางเพลงของ

บีทเทิ่ลที่จอห์นชอบร้องเสียงดิบๆในเพลงTwist and Shout

,Wine & Women เป็นเพลงที่มัวริซเริ่มเล่นกีต้าร์ในขณะอัดเสียง

ซึ่งผมเคยดูตอนเขาเล่นกันสามคน มัวริซนั่งเก้าอี้ซ้าย แบรี่นั่งเก้าอี้ขวา

และโรบินยืนขนาบทั้งสองคน เป็นภาพที่ลงตัวสุด ทั้งสองนักกีต้าร์

ก็สับดีต้าร์ด้วยเสียงของกีต้าร์โปร่งอัดไพเราะเพราะพริ้งและ

เสียงร้องก็เริ่มขึ้นเมื่อพวกเขาทั้งสามเอ่ยWine & Women and

song but all they make me sadเพียงเท่านี้ก็น่าจะได้ทราบ

ถึงความหลักแหลมของผู้แต่งเพลงนี้หรือในนามสามพี่น้องตระกูล

กิ๊บบ์นั่นเอง เพลงได้บรรเลงไปจนถึงท่อนเบรคและเริ่มต้นด้วยเสียง

อันชวนหลงใหลของโรบินว่าWhat shall i doจากนั้นมัวริซ

หน้าที่แบคอัพก็ร้องต่อเป็นเอคโคด้วยคำเดียวกันแต่เสียงดูเป็นเบส

เอามากๆทำให้เพลงนี้มีทุกอย่างครบครันอย่างเหมาะเจาะทีเดียว

,Second hand people เป็นเพลงที่เริ่มด้วยเสียงเบสหนักแน่น

เข้ามารบกวนในประสาทหูของเรามากขึ้น แต่ล้วนเป็นเสียงที่ทำให้

เพลงลงตกยิ่งขึ้น เนื้อหาผมแปลแล้วไม่ค่อยเข้าถึงตัวแบรี่เท่าไหร่

แต่รู้เพียงเป็นเพลงอกหักน่าสลดยิ่งนัก,I am the worldเพลง

แรกที่โรบินได้ออกเสียงเต็มที่อย่างไพเราะสุดๆ เพลงนี้คงจะเป็น

เพลงจีบสาวได้เลยในยุคนั้น เนื้อเพลงพรรณนาถึงตัวคนร้องที่

สามารถเป็นได้ทุกอย่าง สามารถทำได้ทุกสิ่งเพื่อเธอคนเดียว

เมื่อเวลาเธอโกรธ ฉันจะเป็นเวลายามค่ำคืนที่ดูสงบเย็น ฉันเป็น

ท้องฟ้า ทะเล ฉันเป็นได้ทุกๆอย่างขอเพียงเธอเอ่ยปากมาว่าอยากจะ

ให้ฉันเป็นอะไรเท่านั้น และนี่เองก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลายๆ

เพลงที่ควรแก่การจารึกไว้ไม่ให้ลืมเลือนว่าครั้งหนึ่งสามพี่น้อง

ตระกูลกิ๊บบ์ได้ผลิตงานเพลงชั้นเยี่ยมออกมาสู่โสตประสาทของ

ผู้คนทั่วโลก ซึ่งเพลงที่ผมนำหยิบยื่นมาเล่านั้นก็เป็นเพลงที่เคยฟังมา

ล้วนแล้วแต่ถูกใจอย่างมากทีเดียวครับ ต่อมาก่อนที่เหล่าบีจีส์จะย้าย

กลับอังกฤษนั้น เขาได้ฝากงานเพลงชิ้นโบแดงไว้หนึ่งเพลง เพลงนั้น

ก็คือ Spicks & Specks เพลงฮิตตลอดกาลในออสเตรเรียและ

เพลงนี้เองเป็นเพลงปูทางสู่ฝันต่อไปในการกลับไปสู่ประเทศบ้านเกิด

เมืองนอนของตน ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าข้างหน้าหนทางจะเป็นอย่างไร

เขาจะสามารถทำฝันของเขาให้เป็นจริงและสามารถผลิตงานเพลงได่

อีกหรือไม่โปรดติดตามตอนต่อไป

เกล็ดความรู้  เมื่อครอบครัวกิ๊บบ์ย้ายกลับอังกฤษนั้น พี่สาวคนโต

นามว่าเลสลี่ย์ได้ไปมีครศบครัวและได้อาศัยอยู่ที่ออสเตรเรียไม่ขอ

ตามกลับไปด้วย ท้ายนี้ขอทิ้งบทความสั้นๆคัดลอกจากเพลงหนึ่ง

ของพวกเขาWhere is the sun that shone on my head.The sun in my life.It is dead.It is dead.And

Where is the light that would play in my street.

All of my life.I follow yesterday.The Spicks &

Specks of my life gone away. ราตรีสวัสดิ์แล้วผมจะมาต่อ