ความคิดเห็นที่ 1 จับการตลาดมาใส่       กำเนิดลูกทุ่งกลายพันธุ์       จะว่าไปแล้ว “การตลาด” กับ “เพลงลูกทุ่ง” ถือว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นมานานนม โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไปอาจยังพอจำความกันได้ว่า ลูกทุ่งเบิกบานที่สุดเมื่อครั้งธุรกิจขายยาจำพวกแป้งน้ำ กับครีมกวนอิม ของนายห้างประจวบ จำปาทอง ที่ใช้ระบบเดินวง และการฉายหนังเพื่อขายของ ซึ่งนักร้องก็อาศัยช่วงเวลานี้โปรโมตเพลงของตนพ่วงไปกับสินค้าแบรนด์ต่างๆ ถ้าหน้าตาดี ร้องเพลงเพราะก็สามารถออกเพลงแผ่นใหญ่ได้ หากเก่งน้อยลงมาก็ออกแบบแผ่นขนาดเล็กลงมา แต่ถ้าเป็นประเภทลูกผีลูกคนก็จะออกคู่กับศิลปินนักร้องอีกคนแต่คนละด้าน ซึ่งในช่วงนั้นยังไม่มีสื่อมากมายเช่นปัจจุบัน สิ่งนักร้องต้องทำเพื่อสร้างชื่อ และให้เพลงเป็นที่รู้จักคือต้องตระเวนร้องเพลงไปเรื่อยๆ จนกว่าชาวบ้านจะติดใจจึงค่อยมาอัดเสียง              สำหรับปัจจุบัน “การตลาด” กับ “เพลงลูกทุ่ง” ยิ่งผูกพันมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เห็นได้จากหลายสินค้าหันมาใช้เพลงลูกทุ่งเพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของตนมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่สินค้าที่จับกลุ่มผู้ใช้แรงงานเท่านั้น แต่สินค้าไฮเทคโนโลยี และสินค้าที่เกี่ยวกับความสวยความงามที่เป็นแบรนด์อินเตอร์ก็ใช้นักร้องลูกทุ่งเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสินค้าของตนกับกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น (อ่านล้อมกรอบ การตลาดกับเพลงลูกทุ่ง Music marketing never die)              อันที่จริงการกลายพันธุ์ของเพลงลูกทุ่งหาได้เพิ่งเริ่มเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ เหมือนกับที่หลายคนเพิ่งพูดกันไม่ หากจำกันได้ความเปลี่ยนแปลงเรื่องท่วงทำนอง และการร้องให้เห็น เชื่อว่าเริ่มตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว เมื่อยอดรัก สลักใจ ขยายมาร้องเพลงลูกกรุงเพื่อขยายฐานผู้ฟัง หลังจากประสบความสำเร็จในตลาดเพลงลูกทุ่งพอสมควร ซึ่งการขยายตลาดกลุ่มผู้ฟังครั้งนั้นทำให้ภาพลักษณ์ของเจ้าของเพลงไอ้หนุ่มตู้เพลงที่ดังกระหึ่มเวลานั้น “เป๋” ไปพอสมควร ซึ่งไม่เพียงแต่ยอดรักเท่านั้นแต่นักร้องคนอื่นๆอย่างสุนารี ราชสีมา ก็อาศัยโมเดลเดียวกันในการขยายฐานกลุ่มผู้ฟังด้วยเช่นกัน ช่วงเวลาที่ตลาดเพลงลูกทุ่งอยู่ในสภาพ “ฟองแฟ่บ” ทางค่ายแกรมมี่ของ “อากู๋”ไพบูลย์ ชัยดำรงธรรม มองเห็นว่าสภาพการณ์ของตลาดเพลงลูกทุ่งที่เป็นเช่นนั้นเกิดมาจากความไม่มีระเบียบของผู้คนในการทำงาน การจัดการ การดูแลผู้คน การผลิต และการทำตลาด              กริช ทอมมัส กรรมการผู้จัดการ แกรมมี่ โกลด์ กล่าวกับ “ผู้จัดการรายสัปดาห์” ว่า ตอนนั้นเรามองว่าถ้าธุรกิจการแต่งเพลงลูกทุ่งหยิบการดำเนินงานจากสตริงมาใช้ มีการตอบแทนอย่างถูกต้องจากผู้คิดสร้างสรรค์ย่อมเป็นกำลังใจให้เขาสร้างสิ่งที่ดีขึ้น เพราะคุณแต่งเพลงดังคุณต้องได้เงินส่วนแบ่ง แต่ที่ผ่านมาคนแต่งไม่รู้ว่าดังเพราะความสามารถของคนแต่งเพลงเอง หรือดังเพราะแรงเชียร์ ซึ่งหากไม่มีแรงเชียร์อาจจะเจ๊งไปแล้วก็ได้ คนแต่งเพลงเลยไม่รู้ จึงทำให้เพลงไม่มีการพัฒนา              นอกจากนี้การทำธรกิจเพลงช่วงก่อนหน้านั้น ไม่ได้มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ บางปีค่ายมีเพลงดีออกมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จ แต่บางปีไม่มีเพลงดีออกมาก็อาจประสบกับภาวะขาดทุน ซึ่งทางแกรมมี่มองว่าการดำเนินการเช่นนี้ไม่ถูกต้องในเชิงธุรกิจ จึงต้องสร้างในสิ่งที่กริชอุปมาว่าเป็นโรงงานผลิต เพื่อให้ธุรกิจการทำเพลงเกิดความนิ่ง ไม่วูบวาบ เพื่อให้สามารถวางแผนในเชิงธุรกิจได้ และที่สำคัญการทำเช่นนี้จะทำให้ค่ายเพลงรู้ว่าศิลปินคนนี่จะเหมาะกับเพลงอะไร รูปแบบไหน              “ลูกทุ่งรุ่นแรกเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของผู้ชายคนจนที่โดนแย่งแฟนวันยังค่ำ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักมาตลอด ส่วนผู้หญิงจะโง่ โดนหลอก เพราะจนไม่ได้เรียนหนังสือ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความจนทั้งหมดเลย แล้วปัญหาจากความจนมันมีแค่นี้หรือ มันไม่ใช่มั้ง เราก็ทำผิดทำถูกมาเรื่อยๆ เริ่มคลำเป้าได้ครั้งแรกตอนไมค์ ภิรมย์พร คือเราเอาความจนมาเป็นความภูมิใจ”              “ไมค์” เป็นศิลปินคนแรกของแกรมมี่ โกลด์ ที่มีการแต่งเพลงให้สอดคล้องกับคาแรกเตอร์ที่วางไว้ว่าเป็นคนต่อสู้ชีวิต เป็นตัวแทนของผู้ใช้แรงงาน ซึ่งต่างจาก “ก๊อด” จักรพรรณ์ อาบครบุรี ซึ่งจริงแล้ว “ก๊อด” ถือเป็นระเบิดลูกแรกของค่ายแกรมมี่ที่ส่งออกมา และสร้างกระแส“บูม” ให้เกิดขึ้นกับตลาดเพลงลูกทุ่ง เพียงแต่เพลงของก๊อดไม่ได้ถูกสร้างมาตามคาแรกเตอร์ แต่จะเป็นการนำเพลงดังที่เคยได้รับความนิยมในอดีตมาอัด มาร้องใหม่ ซึ่งในเพลงชุดแรกปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เพราะวิธีการร้องยังไม่ “โดนใจ” กลุ่มผู้ฟังเป้าหมาย จนกรั่งต้องปรับเปลี่ยนวิธีการร้องใหม่ ด้วยการให้ เจนภพ จบกระบวนวรรณ มาช่วยเทรนวิธีการร้องให้              “ลูกทุ่งเพลงใหม่ที่สร้างขึ้นเริ่มจากไมค์ ทุกวันนี้ถ้าเปิดเพลงฟังแล้วได้ยินเสียงดนตรี คุณจะรู้เลยว่าเป็นไมค์ โดยที่ยังไม่ต้องขึ้นเสียงร้อง นี่คือการวางโพสิชั่นนิ่งของสินค้า ถ้าเอาทฤษฎีสื่อสารมาวัดคือ ใครพูดอะไร ทำไมถึงพูด และพูดกับใคร คุณจะเห็นว่านักร้องแต่ละคนของเราพูดกับคนฟังแตกต่างกัน จากนั้นก็เป็นเอกราช และสุรชัย ซึ่งเราก็ลองมาเรื่อย ทำมาเรื่อย ขานึงก็จะก้าวข้างหน้า อีกขาก็จะกลับบ้านท่าเดียวเหมือนกัน” กรรมการผู้จัดการหนวดงามของแกรมมี่ โกลด์ เล่าให้ฟัง จากคุณ : mariah-myall - [ 8 ต.ค. 48 02:51:02 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ทว่า จากการโพสิชั่นนิ่งนักร้องภายใต้แนวคิดที่ “กริช” บอกว่า 360 องศา ซึ่งเป็นการวางตำแหน่งที่ไม่เคยมีค่ายเพลงใดทำมาก่อน ทำให้แกรมมี่ในช่วงปี 2547 มีอัตราการเติบโตในมาร์จิ้นแบบก้าวกระโดดคือได้ถึง 250 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีเพียงร้อยกว่าล้านบาทเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันแกรมมี่เข้าไปกินส่วนแบ่งตลาดในเพลงลูกทุ่งประมาณ 70% และทำให้มูลค่าตลาดเพลงลูกทุ่งในปัจจุบันขยับขึ้นมา บางคนประมาณว่ามีมูลค่าประมาณ 500-1,000 ล้านบาท ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ตัวเลขห่างกันมากเช่นนี้ ขึ้นกับว่าแต่ละค่ายส่งผลงานเพลงเข้าสู่ตลาดมากน้อยเพียงใด และเพลงที่ถูกส่งออกมาได้รับการตอบรับจากผู้ฟังมากน้อยเพียงใด              “ไดเรคชั่นขั้นต่ำเรายังทำแค่ไม่กี่องศาเอง เพราะถ้าเราไม่ทำอย่างนี้มันจะเกิดปัญหาเหมือนบางค่ายที่เคยประสบมาก่อน เช่น คนนี้ได้เพลงดังมาคนนี้ก็ร้องไป พอได้อีกเพลงมาก็ให้อีกคนหนึ่งร้อง ทั้งที่เป็นเพลงแบบเดียวกับคนแรก ปรากฏว่านักร้องในค่ายมี 10 คน ร้องเพลงแนวเดียวกันทั้ง 10 คน มันก็เกิดทะเลาะกันเองภายใน” กริช อธิบายเพิ่มเติม              อย่างไรก็ตาม เสียงกล่าวขานถึงการกลายพันธุ์ของเพลงลูกทุ่งที่มีขึ้นอย่างหนาหูในช่วงเวลานี้ จนทำให้หลายคนเกิดความเป็นห่วงว่าเอกลักษณ์ของเพลงลูกทุ่งจะสูญหายไปนั้น เนื่องมาจาก ค่ายเพลงแทบทุกค่ายนำ “การตลาด” มาใช้เคลือบตัวศิลปินเพื่อสร้างความแตกต่างจากศิลปินคนอื่นๆมากขึ้น-มากขึ้นทุกวัน ทั้งในเรื่องการแตกต่าง บุคลิกรูปร่างหน้าตา แนวเพลง เราจึงเห็นศิลปินเพลงลูกทุ่งแบบแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็น เด็กชาย เด็กหญิง เพศที่สาม หรือแม้แต่ศิลปินรุ่นเก่าที่แต่งตัวเป็นวัยรุ่นเพื่อทำให้ตัวเองไม่แก่เกินไปในสายตาของกลุ่มเป้าหมาย ออกมาให้เห็นตาแผงเทป และหน้าจอโทรทัศน์มากขึ้น              ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เพลงลูกทุ่งกับเพลงสตริงบางเพลงเริ่มมีความใกล้เคียงกันมากจนแทบแยกไม่ออก บางคนไม่รู้ว่าเพลงที่ฟังเป็นเพลงสตริง หรือเพลงลูกทุ่งกันแน่ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่นักร้องเพลงสตริงหันมาร้องเพลงลูกทุ่งกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ทัช ณ ตะกั่วทุ่งของค่ายอาร์เอส ใหม่ สิริวิมล หรือแม้แต่อัลบัม 10 ปีแกรมมี่ โกลด์ ที่นำนักร้องเพลงสตริงมาขยับลูกคอร้องเพลงลูกทุ่งกันครื้นเครง หรือแม้แต่ข่าวแว่วว่า ธงไชย แมคอินไตย์ กำลังจะออกเพลงลูกทุ่งกับเขาด้วยเช่นกัน              ครูเพลงบางคนถึงกับกล่าวว่า เพลงลูกทุ่งในสมัยนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะขาดเอกลักษณ์ของการขึ้นต้น เรื่องราวตรงกลาง และตอนจบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดสัมผัสนอก-ใน ตลอดจนการเปรียบเทียบ              สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาของการกลายพันธุ์ หรือการเปลี่ยนแปลงของเพลงลูกทุ่งไม่เพียงแต่ทำให้ตลาดเพลงลูกทุ่งขยายตัวอย่างมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา เห็นได้จากสถานีวิทยุคลื่นเอฟเอ็มในปัจจุบันมีคลื่นเพลงลูกทุ่งถึง 3 สถานีด้วยกัน อาทิ เอฟเอ็ม 95 ลูกทุ่งมหานครของอสมท เอฟเอ็ม 107.25 ของค่ายอาร์เอสที่ทำขึ้นเพื่อจับคอเพลงลูกทุ่งโดยเฉพาะ ภายใต้คอนเซปต์ วิทยุทีวีแห่งแรกของไทย ที่ผู้ชมสามารถรับชมการจัดรายการวิทยุแบบสดๆได้ทาง ทีทีวี ทุกช่อง 1-10 ตั้งแต่เวลา 09.00-14.00 น. และ 24.00-06.00 น.              การเปลี่ยนแปลงนี้ยังทำให้เพลงลูกทุ่งที่หลายคนเคยบอกว่ากำลังจะตาย กลับฟื้นคืนชีวิตและสนุกสนานขึ้นมาอีกครั้ง จากคุณ : mariah-myall - [ 8 ต.ค. 48 02:51:26 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ลูกทุ่งหากไม่อยากสูญ       ต้องเปลี่ยนแปลง          แม้จะมีนักร้อง หรือครูเพลงลูกทุ่งรุ่นเก่าบางคนไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงของเพลงลูกทุ่ง เพราะเห็นว่าขาดเอกลักษณ์ดั้งเดิมที่เคยเป็นมาตลอด 50 ปี จนกลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนไทยไปแล้ว แต่ก็มีอีกหลายคนกลับมีความเห็นตรงกันข้าม              “ผมมองว่าตรงนั้นเป็นวิวัฒนาการ เหมือนรูปในกรอบนับวันจะจืดจางลง เหมือนกับเพลงลูกทุ่งถ้าอยู่อย่างนั้นมันก็จะจืดจางลง เหมือนกระถางบอนไซ ส่วนจะร้องดีหรือไม่เป็นอีกเรื่อง เพราะศิลปินที่ขาดอิสระศิลปะก็จะไม่งอกงาม ดังนั้น มันจึงต้องกลายพันธุ์แน่นอน แต่จะเป็นพันธุ์ที่เขายอมรับเอาไปปลูกต่อหรือไม่ หรือจะเป็นพันธุ์ที่เขาทิ้งไปเลยหรือไม่ มันก็มีกลุ่มของเขา” ชินกร ไกรลาศ ศิลปินแห่งชาติ ที่ไม่ว่าลูกทุ่งจะฟุบ หรือเฟื่อง ก็ยังคงความนิยมในทุกช่วงเวลา              เป็นความเห็นที่สอดคล้องกับ วิทยา ดีเจเสียงแหบผู้คลุกคลีในวงการวิทยุมาตั้งแต่ปี 2513 ที่กล่าวว่า จะว่ากลายพันธุ์เลยทีเดียวอาจจะมีบ้าง แต่ถ้าต้องการพัฒนามันก็ใช่ ถ้าไม่มีการพัฒนาก็ไม่มีสิ่งใหม่เกิดขึ้น ถ้าทุกคนมายืนทื่อร้องเพลงใส่สูท ร้องแบบชาย เมืองสิงห์ หรือสุรพล สมัยก่อน เพลงลูกทุ่งมันก็ต้องตาย ซึ่งคำว่าตายในที่นี้หมายถึงคนฟังน้อยลง จำกัดขอบเขต ตัวอย่างเหมือนเพลงไทยเดิมที่มีอยู่แค่นั้นก็มีแต่จะหายไป แต่ต่อมาเพลงไทยเดิมกลับมาดังขึ้นเพราะใคร เพราะบรู๊ซ แกสตัน เอามาพัฒนา จากคุณ : mariah-myall - [ 8 ต.ค. 48 02:51:59 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ลูกทุ่งลุยอินเตอร์        การกลับมาของลูกทุ่งภายใต้รูปโฉมใหม่ ไม่ใช่จะประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับจากผู้ฟังในบ้านเราเท่านั้น แต่เพลงลูกทุ่งกำลังจะไปขายต่างประเทศ โชว์ลีลาขยับลูกกระเดือกให้ฝรั่งได้รู้จัก              ที่ผ่านมามีความพยายามของศิลปินในบ้านเราหลายคนพยายามโก อินเตอร์ แต่หลายคนไม่ประสบความสำเร็จ อาจจะมีบ้างในกรณีทาทา ยัง แต่นั่นไม่ใช่เพลงลูกทุ่ง เพราะเธอไปแบบเพลงฝรั่ง สไตล์อินเตอร์ ส่วนศิลปินเพลงลูกทุ่งบางคนที่เคยเดินทางไปต่างประเทศนั้น ส่วนใหญ่จะไปในรูปแบบคอนเสิร์ตโชว์ตัวให้คนไทยในต่างแดนได้ยลโฉมกันเองมากกว่าจะเอาเพลงลูกทุ่งไปขายให้คนฟังได้เสพ              แต่นับจากนี้มีความพยายามของค่ายเพลง และบางบุคคลจะส่งออกเพลงลูกทุ่งไปขายต่างประเทศบ้าง เนื่องจากเพลงอิสาน และเพลงลูกทุ่งในรูปแบบต่างๆ จะมีเอกลักษณ์สนุกสนานเป็นความแตกต่างเฉพาะตัว ซึ่งคนต่างประเทศไม่เคยได้ยินได้ฟังเพลงแบบนี้มาก่อน              “ตอนนี้แนวเพลงทั้งโลกเปลี่ยน เพลงที่มีกลิ่นที่มาของท้องถิ่นจะมีโอกาสสำเร็จในตลาดโลก นำคอนเสิร์ตของครูสลาไปเปิดให้ศิลปินวงโอเอซิสซึ่งเป็นฝรั่งฟัง ปรากฏว่าเขาตกใจกับเพลงของเรา เพราะมันเป็นวัฒนธรรม ตอนนี้เทคโนโลยีในการบันทึกเสียงเราอาจจะไม่เก่ง แต่ในอนาคตเป็นไปได้ว่าเราอาจเอาฝรั่งมารีมิกซ์เพลงแล้วส่งไปให้เป็นมาตรฐานเสียงโลกแล้วไปขายเมืองนอก พวกหมอลำ ลูกทุ่ง ที่มีออริจินอล ซาวด์ ซึ่งฝรั่งชอบ” กริช เล่าให้ฟัง              ไม่ใช่แต่ค่ายแกรมมี่ โกลด์ เท่านั้น ที่พัยายามพัฒนาเพลงลูกทุ่งให้มีระดับแต่ครูเพลงที่เป็นศิลปินแห่งชาติ อย่าง ชินกร ก็กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาเพลงแหล่ให้ออกมาอลังการจากการบรรเลงโดยวงออร์เคสตร้าเช่นกัน จากคุณ : mariah-myall - [ 8 ต.ค. 48 02:52:32 ]

ความคิดเห็นที่ 5 การตลาดกับเพลงลูกทุ่ง       Music marketing never die              การดำเนินกลยุทธ์การตลาดในปัจจุบัน นอกจากสินค้าจะต้องตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคแล้วยังจำเป็นที่จะต้องเข้าถึงความรู้สึก เข้าถึงจิตวิญญาณของผู้บริโภคเพื่อฝังแบรนด์สินค้าให้อยู่ในใจผู้บริโภคเพื่อให้เกิดความผูกพันและระลึกถึงสินค้านั้นเป็นแบรนด์แรกในการตัดสินใจซื้อ จะเห็นได้ว่าธุรกิจต่างหันมาใช้กลยุทธ์การตลาดเชิงอารมณ์ Emotional Marketing มากขึ้น โดยเกาะติดกับวัฒนธรรมการดำรงชีวิต ไลฟ์สไตล์ ของกลุ่มเป้าหมาย              ทั้งนี้ในการทำให้ผู้บริโภค รับรู้ จดจำ และซื้อนั้น จะต้องใช้การสื่อสารไปสู่กลุ่มเป้าหมายซึ่งมีทั้งการโฆษณาผ่านสื่อ (Above The Line) และ การทำกิจกรรมการตลาด (Below The Line) ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่าบางครั้งการทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อโฆษณาสร้างแบรนด์ไม่คุ้มค่า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี อีกทั้งค่าสื่อก็แพงขึ้น อีกทั้งยังไม่สามารถวัดผลได้ ดังนั้นหลายรายจึงหันมาให้ความสำคัญกับการทำกิจกรรมการตลาดเนื่องจากเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจนและใช้งบประมาณที่น้อยกว่า สามารถวัดผลจากยอดขายได้ แต่บางครั้งก็มีการใช้ทั้งโฆษณาและกิจกรรมการตลาดควบคู่กันไปเพื่อสร้างการรับรู้อย่างทั่วถึงก่อนจะทำตลาดเชิงลึกสู่กลุ่มเป้าหมาย              กลยุทธ์มิวสิคมาร์เก็ตติ้งถือเป็นกิจกรรมการตลาดที่สร้างอรรถประโยชน์เชิงอารมณ์ทำให้ผู้บริโภครับรู้และจดจำ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเพลงลูกทุ่งเป็นแนวดนตรีที่ฝังรากลึกในจิตใจของผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่ จะเห็นได้ว่าในอดีตค่ายเพลงที่เคยเน้นแนวสตริงไม่ว่าจะเป็นนิธิทัศน์ หรือ แกรมมี่ ต่างหันมาทำเพลงลูกทุ่งมากขึ้นเนื่องจากตลาดมีขนาดใหญ่ สามารถสร้างเม็ดเงินเป็นมูลค่ามหาศาล ดังนั้นเวลาที่สินค้าต้องการจะขยายฐานตลาดไปสู่รากหญ้าทั่วประเทศจึงมักใช้มิวสิคมาร์เก็ตติ้งแนวลูกทุ่ง จากคุณ : mariah-myall - [ 8 ต.ค. 48 02:53:06 ]

ความคิดเห็นที่ 6 มิวสิคมาร์เก็ตติ้ง       มีดเล่มเก่าเหลาให้คม        จะว่าไปแล้วการใช้มิวสิคมาร์เก็ตติ้งถือเป็นกลยุทธ์การตลาดที่มีมานานแล้ว ย้อนหลังไปสัก 20 กว่าปีที่ผ่านมา ทุกคนต่างรู้จัก ครีมไข่มุกกวนอิม ของ ประจวบ จำปาทอง อย่างดีเพราะมีการทัวร์คอนเสิร์ตลูกทุ่งพ่วงไปกับการขายสินค้า อีกทั้งยังมีการทำรายการทั้งทีวีและวิทยุเพื่อประกวดนักร้องลูกทุ่งซึ่งทำให้ผู้บริโภคทั่วประเทศรู้จักครีมไข่มุกกวนอิมเป็นอย่างดี              ในขณะที่ยูนิลีเวอร์ ซึ่งสมัยนั้นยังใช้ชื่อว่า ลีเวอร์บราเธอร์ก็มีการใช้เพลงลูกทุ่งเป็นแม่เหล็กดึงดูดลูกค้าในต่างจังหวัดเพื่อขายผงซักฟอกบรีสซึ่งประสบผลสำเร็จด้วยดี ทำให้กลยุทธ์ดังกล่าวขยายวงกว้างจากคอนซูมเมอร์โปรดักส์ไปสู่เครื่องดื่มชูกำลัง              ทั้งนี้ นอกจากรูปแบบการขายพ่วงสินค้าไปกับคอนเสิร์ตแล้ว ก็ยังมีกลยุทธ์ที่เห็นยอดขายทันตาเห็นก็คือการให้ผู้บริโภคนำฝาหรือชิ้นส่วนของสินค้ามาแลกบัตรจึงจะเข้าชมคอนเสิร์ตได้ นั่นหมายถึงถ้ามีคนดูคอนเสิร์ต 10,000 คนก็เท่ากับว่าขายสินค้าได้แล้ว 10,000 ชิ้น              หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 บริษัทข้ามชาติทั้งหลายต่างตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีการใช้จ่ายงบประมาณอย่างรอบคอบ งบโฆษณาถูกชะลอ แต่ก็มีงบสำหรับการทำกิจกรรมการตลาดประกอบกับในช่วงเวลาดังกล่าวกระแสเพลงลูกทุ่งเริ่มกลับมาได้รับความนิยมมากขึ้นอีกครั้ง รวมถึงผู้บริโภคในต่างจังหวัดก็มีกำลังซื้อจากเม็ดเงินกองทุนหมู่บ้าน ทำให้สินค้าหลายรายรุกตลาดต่างจังหวัดอย่างหนักโดยอาศัยเพลงลูกทุ่งเป็นตัวนำทาง              ยูนิลีเวอร์มีการจัด "คอนเสิร์ตลูกทุ่งกับยูนิลีเวอร์" เพื่อกระตุ้นยอดขายสินค้า 4 แบรนด์คือ ซันซิล ซันไลท์ บรีส และใกล้ชิด ในขณะที่คายสหพัฒนพิบูลก็มีการออกกิจกรรมลูกทุ่งเพื่อดันยอดขายไลปอนเอฟและผงซักฟอกเปา ส่วนค่ายนีเวียก็เป็นสปอนเซอร์ให้กับคอนเสิร์ตของจินตหรา พูนลาภ เพื่อขยายฐานลูกค้าลงมาสู่ระดับล่าง              นอกจากนี้ยังมีค่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่หันมาใช้มิวสิคมาร์เก็ตติ้ง เช่นการจัดคอนเสิร์ตลูกทุ่งของบะหมี่ไวไว ซึ่งผู้บริโภคต้องนำซองเปล่า 2 ซอง บวกเงินอีก 10 บาท จึงสามารถเข้าชมคอนเสิร์ตได้ ซึ่งในช่วงแรกใช้ทั้งลุกทุ่งและหมอลำอย่างจินตหรา พูนลาภ และศิริพร อำไพพงศ์ เพื่อจับตลาดภาคอิสานแต่พอมาทำกิจกรรมที่ภาคกลางก็เปลี่ยนศิลปินมาเป็น ก๊อต จักรพรรณ์ อาบครบุรี และวงโลโซ เนื่องจากเป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคภาคกลาง จากคุณ : mariah-myall - [ 8 ต.ค. 48 02:53:40 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เครื่องดื่มชูกำลังแข่งหนัก       ลูกทุ่งเดินสายทั่วประเทศ        การแข่งขันของเครื่องดื่มชูกำลังในยุคแรกคือการเปิดฝาลุ้นรางวัล ซึ่งต่อมาถูกกฎหมายจำกัดการทำตลาดด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว รวมถึงจำกัดการโฆษณาทำให้บรรดาเครื่องดื่มชูกำลังทั้งหลายต้องหันมาเน้นการทำกิจกรรมการตลาด ซึ่งทุกรายต่างใช้มิวสิคมาร์เก็ตติ้งโดยเลือกศิลปินที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายซึ่งตลาดส่วนใหญ่ก็คือผู้ใช้แรงงานและตลาดต่างจังหวัดซึ่งชอบเพลงลูกทุ่งมากกว่าแนวอื่น              เอ็ม 150 จากค่ายโอสถสภาผู้นำตลาดที่เคยใช้สปอร์ตมาร์เก็ตติ้งมาก่อนหันมาทำมิวสิคมาร์เก็ตติ้งด้วยการเซ็นสัญญากับนักร้องลูกทุ่งชั้นนำเช่น ยุ้ย ญาติเยอะ ต่อด้วย เอกชัย ศรีวิชัย ซึ่งเน้นตลาดภาคใต้ ส่วนก๊อต จักรพรรณ์ อาบครบุรี ใช้เป็นแม่เหล็กในการดึงดูดให้ผู้หญิงหันมาทดลองบริโภคเนื่องจากก๊อตเป็นที่ชื่นชอบของผู้หญิงเวลาไปแสดงคอนเสิร์ตที่ไหนมักมีผู้หญิงเข้าไปชมค่อนข้างมาก แต่สำหรับตลาดกรุงเทพฯเอ็ม 150 ใช้ศิลปินแนวสตริงนำโดยเสกโลโซเพราะเป็นที่ชื่นชอบของคนกรุงมากกว่าแนวลูกทุ่ง              ส่วนกระทิงแดงจะทำกิจกรรมแบบงานวัด มีเครื่องเล่น และคอนเสิร์ตลูกทุ่ง ทั้งนี้การที่กระทิงแดงไม่โฟกัสไปที่ลูกทุ่งอย่างเดียวอาจมีเหตุผลมาจากการที่คู่แข่งเซ็นสัญญากับศิลปินชั้นนำอย่างโอสถสภาจับมือกับแกรมมี่ ส่วนคาราบาวแดงก็มีนักร้องเป็นเจ้าของ ทำให้กระทิงแดงเหลือตัวเลือกไม่มากนัก              ในขณะที่แรงเยอร์ก็มีการใช้จินตหรา พูนลาภ และพลพล กองเส็ง เป็นพรีเซ็นเตอร์ภายใต้คอนเซ็ปต์แรงใจไม่มีวันหยุดซึ่งเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายซี่งต้องทำงานหนักพบอุปสรรคมากมายแต่ท้อแท้ไม่ได้ ซึ่งนอกจากการทำโฆษณาแล้วก็ยังมีการทัวร์คอนเสิร์ตโดยลูกค้าที่ซื้อบัตรเข้าชมจะได้แรงเยอร์ไปคนละขวดเป็นการทำให้ผู้บริโภคเกิดการทดลองใช้ซึ่งหากถูกใจในรสชาติก็จะเกิดการสวิทชิ่งแบรนด์ในที่สุด จากคุณ : mariah-myall - [ 8 ต.ค. 48 02:54:07 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ค่ายมือถือดึงลูกทุ่ง       กระตุ้ต่างจังหวัด        การแข่งขันของบรรดาผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือซึ่งมีเอไอเอสเป็นผู้นำตลาดเนื่องจากมีเครือข่ายการให้บริการที่ครอบคลุมกว่าคูแข่ง ดังนั้นผู้ตามอย่างดีแทคและออเร้นจ์ที่พยายามขยายฐานผู้ใช้บริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศจึงเลือกใช้บริการศิลปินลูกทุ่งเพื่อจับตลาดดังกล่าว              ที่ผ่านมาดีแทค วางคอนเซ็ปต์แบรนด์ในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม มีการทำโครงการสำนึกรักบ้านเกิด ในช่วงนั้นจึงใช้ศิลปินเพื่อชีวิตอย่าง พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ และวงแฮมเมอร์ เพื่อตอกย้ำแบรนด์สู่รากหญ้า ต่อมาก็มีการใช้ เอกชัย ศรีวิชัย ในการทัวร์คอนเสิร์ตที่ภาคใต้โดยเน้นการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าผู้บริโภคในภาคใต้รักพวกพ้องอยมรับคนในท้องถิ่นมากกว่า การใช้เอกชัยเดินสายที่ภาคใต้ทำให้ดีแทคสามารถฝังแบรนด์สู่จิตใจของผู้บริโภคได้อย่างดีจะเห็นได้ว่ในช่วงดังกล่าวดีแทคสามารถกระตุ้นยอดขายให้เติบโต              อย่างไรก็ดีการใช้ศิลปินลุกทุ่งของดีแทคเป็นการจับตลาดในต่างจังหวัด แต่สำหรับผู้บริโภคในกรุงเทพฯดีแทคเคยร่วมมือกับเบเกอรี่มิวสิคทำกิจกรรมการตลาดโดยใช้ศิลปินวงพรูเป็นแม่เหล็ดึงดูดผู้บริโภค              ในขณะที่เบอร์ 3 อย่างออเร้นจ์ก็พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไล่กวดหมายเลข 2 อย่างดีแทค ก่อนวางเป้าชิงบัลลังก์แชมป์จากเอไอเอส ออเร้นจ์มีการใช้โปรโมชั่นต่างๆนานากระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาทดลองใช้ถึงขั้นแจกซิมการ์ดฟรี แต่การทำการตลาดในขณะที่เครือข่ายยังไม่พร้อมทำให้ภาพของออเร้นจ์กลายเป็นเครือข่ายที่มีปัญหาเรื่องสัญญาณ ออเร้นจ์พยายามแก้ภาพลักษณ์ด้วยการโฆษณาว่ายังมีมเดเงินลงทุนอีกมหาศาลที่จะใช้ในการขยายเครือข่ายสัญญาณ ขณะเดียวกันก็มีการใช้ สุนารี ราชสีมา เป็นพรีเซ็นเตอร์ในการโฆษณาเพื่อแก้ภาพลักษณ์เรื่องสัญญาณ และเป็นการขยายฐานไปสู่ตลาดต่างจังหวัด              ส่วนกรณีของเอไอเอสที่เป็นผู้นำตลาดอยู่แล้วก็พยบายามฉีกหนีคู่แข่งโดยชูว่าตัวเองเหนือระดับกว่า ดังนั้นศิลปินส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ทำการตลาดจึงเป็นศิลปินรุ่นใหม่ อย่างปาล์มมี่ เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับ วัน ทู คอล เพื่อจับตลาดวันรุ่น ส่วนจีเอสเอ็มแอดวานซ์ก็มีการจัดคอนเสิร์ตศิลปินต่างชาติเพื่อตอกย้ำคอนเซ็ปต์ชีวิตเหนือระดับ              ยังมีสินค้าอื่นๆที่ใช้ศิลปินลูกทุ่งในการขยายฐานลูกค้าเช่นเครื่องสำอางขายตรงยูสตาร์ที่ใช้ศิลปินมากถึง 4 คนเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อเจาะกลุ่มต่างๆ ซึ่งนอกจากจะมี ธงชัย แมคอินไตย์, แคทรียา อิงลิช และ นัท มีเรีย แล้วก็ยังมี จินตหรา พูนลาภ ซึ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์คนสำคัญที่ทำให้ยูสตาร์เข้าถึงตลาดล่างและต่างจังหวัดได้ดี จากคุณ : mariah-myall - [ 8 ต.ค. 48 02:54:34 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ผมมองว่าเป็นเรื่องปกติครับ....ทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขของกาลเวลาและเทคโนโลยี่ ที่เปลี่ยนไป คนที่ชอบเพลงลูกทุ่งยังชอบไม่เหมือนกันเลยครับ บางคนชอบแบบสายัณห์ บางคนชอบศรเพชร ยอดรัก ทูล สุรพล ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนก็มีลักษณะของเพลงและลีลาการร้องที่ไม่เหมือนกัน  ผมยกตัวอย่างทูล ทองใจ กับเพลิน พรมแดน เพลงและลีลาการร้องคนละเรื่องกันเลยครับ แต่ก็เป็นลูกทุ่งเหมือนกัน......นานาจิตตัง อย่าคิดมาก จากคุณ : p เสื้อเหลือง - [ 8 ต.ค. 48 10:42:01 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ   ผมเชื่อว่าถึงอย่างไรคนไทยใน ต่างจังหวัดก็ยังนิยมลูกทุ่งมากกว่าสตริง  ส่วนรูปแบบการร้อง  เนื้อเพลง  อาจจะดูไม่เป็นลูกทุ่งแท้ๆเหมือนยุคก่อนๆ  แต่เพลงพวกนี้ก็ยืนระยะได้ไม่นาน  คนฟังเพลงลูกทุ่งจริงๆ ยังคงต้องการฟังเพลงลูกทุ่งที่มีเนื้อเพลงสละสลวย  การร้องที่มีลูกเอื้อน  ลูกคอ  ผมว่าลูกทุ่งที่กลายพันธ์ มันเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นครับ  เมื่อไม่ได้รับความนิยมในที่สุดก็ต้องกลับมาหาของแท้ จากคุณ : กร คนเก่า (ขอพูดด้วยคน) - [ 16 ต.ค. 48 22:01:28 ]