สืบเนื่องมาจากกระทู้
http://www.pantip.com/cafe/chalermkrung/topic/A3845631/A3845631.html
ผมเลยถือโอกาสมาขยายความในกระทู้ใหม่นะครับ
ในยุคโรแมนติกต้นศตวรรษที่ 19 มีการใช้เพลงพื้นบ้านเข้ามาเป็นส่วนประกอบในการประพันธ์เพลง
เช่น ลิสท์ (Franz Liszt) ได้ใช้ทำนองเพลงจากฮังการีในดนตรีของท่าน เช่นผลงานเพลงเปียโนชุด Hungarian Rhapsodies
ในยุคนั้น ดนตรีคลาสสิกมักนิยมประพันธ์ในแนวทางซิมโฟนีแบบเยอรมัน บัลเลต์แบบฝรั่งเศส และโอเปร่าแบบอิตาเลี่ยน ศิลปินหลายท่านเริ่มหันมาสนใจการสร้างดนตรีเพื่อแสดงถึงเอกลักษณ์ของชาติตนมากขึ้น เช่น เบดริก สเมทาน่า (Bedrich Smetana) ได้สร้างดนตรีแนวทางชาตินิยมของประเทศเช็ค ซึ่งเรียกกันว่าแคว้นโบฮีเมีย (Bohemia) ในสมัยนั้น
ในประเทศรัสเซีย มิคาอิล กลินคา (Mikhail Glinka, 1804-1847) ซึ่งได้รับการศึกษาทางด้านดนตรีในแนวทางของเยอรมัน-ฝรั่งเศส เริ่มเห็นความสำคัญของการสร้างดนตรีในแนวทางที่เป็นเอกลักษณ์ของรัสเซียเอง จึงเปลี่ยนแปลงแนวทางการประพันธ์เพลงโดยใช้ทำนองจากเพลงพื้นบ้าน และนิทานปรัมปราของรัสเซียเป็นเค้าโครงในการประพันธ์เพลงโอเปร่า
ต่อมา มิลิ บาลาคิเรฟ (Mily Balakirev, 1837-1910) รับแนวความคิดเรื่องดนตรีชาตินิยมรัสเซียมาจากกลินคา และเริ่มหาสมัครพรรคพวกจนตั้งเป็นกลุ่ม เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ทางดนตรีกัน โดยมีเขาเป็นหัวหน้ากลุ่ม นักดนตรีในกลุ่มนี้ประกอบด้วย บาลาคิเรฟ, เซซาร์ คุอิ (Caesar Cui, 1835-1908), โมเดสต์ มูซอร์กสกี้ (Modest Mussorgsky, 1839-1881), นิโคไล ริมสกี้-คอร์ซาคอฟ (Nikolai Rimsky-Korsakov, 1844-1908) และ อเลกซานเดอร์ โบโรดิน (Alexander Borodin, 1833-1887) แต่ละคนในกลุ่มนี้เป็นนักดนตรีสมัครเล่นทั้งนั้น ไม่มีใครได้รับการศึกษาทางดนตรีอย่างเป็นแบบแผน นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาสามารถแต่งเพลงขึ้นมาในแนวทางใหม่ ที่แหวกแนวไปจากระเบียบแบบแผนเดิมของทางยุโรป
รูปข้างล่าง จากซ้ายไปขวา: นักร้องสาว, Moussorgsky, Korsakov, (Stasov), Balakirev, Cui และ Borodin
แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 48 02:52:18
แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 48 02:13:15
แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 48 00:31:56