ความคิดเห็นที่ 1 เรื่องราวผมทราบมาคร่าวๆ อ่านเจอบ้าง ถามชาวบ้านบ้าง ใครทราบข้อมูลที่แตกต่างหรือเพิ่มเติมขอเชิญเข้ามาร่วม "ค้น" กับผมได้นะครับ เหตุการณ์เกิดขึ้นราวๆปี 1970 ซึ่งเรื่องศิลปินติดยานั้นเป็นเรื่องปกติในสมัยนั้น ติดมากติดน้อยว่ากันไป แคลปตันซึ่งได้รับยศเป็นพระเจ้าตั้งแต่อายุยังน้อยก็คงไม่ได้เป็นผู้วิเศษมาจากไหนจึงจะเป็นข้อยกเว้นจากการพัวพันกับยาเสพติด แต่สาเหตุหลักของการติดจนโงหัวไม่ขึ้นก็มาจากนังผู้หญิงคนนี้เองที่ชื่อ Patti Boyd Harrison จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 9 ธ.ค. 48 00:12:50 ]

ความคิดเห็นที่ 2 จากนามสกุลก็คงทราบกันแล้วว่าเธอผู้นี้มีศักดิ์เป็นถึงเมียเพื่อน นั่นคือจอร์จ แฮริสันแห่ง The Beatles ผู้ร่วมแต่งเพลง Badge กับแกนั่นเอง (เห็นรูปน้องแพ๊ตแล้วขอหยุดกลืนน้ำลายหนึ่งอึก) ไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามีในขณะนั้นเป็นเช่นไร แต่เธอก็แอบมีกิจกรรมลับๆกับแคลปตันด้วย (สมกับเป็นยุค Swinging London จริงๆ) แต่ต่อมาอาจสำนึกผิด จึงขอถอนตัว เทพเจ้าก็เทพเจ้าเหอะ ยามหมดฤทธิ์เดชก็หันไปฝากเนื้อฝากตัวกับยาเสพติดมากขึ้น เมื่อรวมหัวกับแก๊งวงดนตรีตั้งใหม่ในช่วงนั้นคือ Derek & Dominoes ที่ขี้ยาทั้งทีมก็ยิ่งกอดคอกันลงนรกไปกันใหญ่ Derek ช่วงนั้นทำอัลบัม Layla & Other Assorted Love Songs ซึ่งไตเติ้ลแทร็กคือเพลงสื่อรักที่เอริคกะเอาไว้ออดอ้อนแพ๊ตตี้โดยเฉพาะ นอกจากนั้นยังมีเพลงคัฟเวอร์ที่เนื้อหาช่างตรงใจเขาเสียเหลือเกิน คือ Have You Ever Loved A Woman ซึ่งมีประโยคเด็ดว่า "She belongs to your very best friend!" จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 9 ธ.ค. 48 00:18:01 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แม้ผลลัพธ์จะกลายเป็นร๊อคอัลบัมชิ้นเยี่ยมชุดหนึ่งแห่งวงการร๊อค แต่ตลาดอเมริกาในช่วงนั้นกลับหมางเมิน Layla ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคิดว่าเป็นวงดนตรีใหม่ โนเนม แคลปตันที่เดิมก็ไม่อยากให้คนรู้ว่าเป็นตัวเองกลับเกิดอาการเสียใจที่มันแป้ก ยิ่งถลำลึกเข้าหายาเพิ่มไปอีก ประกอบกับเหตุการณ์การเสียชีวิตของเพื่อนฝูงอย่าง Duane Allman และ Jimi Hendrix รวมถึงคุณตาผู้เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็กด้วย ทำให้อาการหนักขนาดกู่ไม่กลับ ที่น่าแปลกก็คือแคลปตันตอนนั้นก็มีแฟนสาวเป็นของตัวเองอยู่แล้วชื่อ Alice Ormsby-Gore (อยู่ดีๆไม่ชอบ) คู่นี้ก็เลยกอดคอกันเป็นทาสเฮโรอีนโดยที่วันๆไม่ทำอย่างอื่นๆ เมื่อเงินทองไม่พอใช้ แคลปตันก็เลยหันเข้าหาโรงรับจำนำ เอาของรักของหวงไปตึ๊งเพื่อเอาเงินสดมาซื้อยา ประทังชีวิตไปวันๆ แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 48 22:03:25 จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 9 ธ.ค. 48 00:22:16 ]

ความคิดเห็นที่ 4 พีท ทาวน์เชนแห่ง The Who ทนเห็นสภาพเพื่อนใกล้ลงแดงไม่ไหว จึงชักชวนเพื่อนฝูงระดับซูเปอร์สตาร์ช่วยกันจัดคอนเสิร์ต Rainbow เพื่อให้เขาหันมาสนใจดนตรีอีกครั้ง แต่นั่นก็ยังไม่ได้ผลสักทีเดียว จนกระทั่งเขาหันไปใช้วิธีฝังเข็มจึงเลิกยาได้สำเร็จ ผลงานต่อจาก Layla จึงเกิดขึ้นชื่อ 461 Ocean Boulevard ซึ่งทิ้งช่วงห่าง 3-4 ปี ในยุคนั้นการหายไป 4 ปีถือว่านานพอที่จะทำให้คนเชื่อว่าล้มหายตายจากไปแล้ว โชกโชน (หรือโชกเลือด) ดีไหมครับชีวิตของลุงเอริค? จากคุณ : SOS (SamOfSound) - [ 9 ธ.ค. 48 00:28:24 ]

ความคิดเห็นที่ 5 โห... ไม่ธรรมดาเลยครับ เรื่องราวของลุงแกเนี่ยครับ จากคุณ : กึ่งยิงกึ่งผ่าน - [ 9 ธ.ค. 48 01:26:37 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ฝังเข็มเลิกยาได้จริงช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้อีกหลาย จากคุณ : Thebrightestsunisthepurestgun - [ 9 ธ.ค. 48 01:57:05 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณคราบบบ  ลุงแกเหมือนแมวเก้าชีวิตเลยเนอะ เพราะยังมีแฟนเพลงรุ่นใหม่ๆ เรื่อย ๆ จากคุณ : 5150_b - [ 9 ธ.ค. 48 07:12:49 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อ่านแล้วหดหู่ ชอบป๋า ชอบเสียงกีตาร์ป๋า แต่หวังว่าคงไม่มีใครเอาเยี่ยงอย่างการแก้ปัญหาชีวิตในช่วงนั้นของป๋า จากคุณ : น้ำใส - [ 9 ธ.ค. 48 07:15:10 ]

ความคิดเห็นที่ 9 แล้วลูกป๋าแกก็มาเสียชีวิตไปอีกเนอะ ชีวิตคนเรา เฮ้อ.... แต่เลิกยาได้เนี่ย ดีมั่กๆๆ แล้ว ขอบคุณสำหรับความรู้ค่า จากคุณ : cactusjuice - [ 9 ธ.ค. 48 09:13:13 ]

ความคิดเห็นที่ 10 .... การหลุดพ้นออกมาจากช่วงเวลาแห่งนรกนั่นได้ถือว่าสุดยอดแล้วครับ... ที่น่าเยินยอก็คือจิตใจอันเด็ดเดี่ยวในช่วงเลิกยานั่นเอง... ... ผมเพิ่งเห็นหน้า Patti Boyd Harrison  ชัด ๆ ก็คราวนี้เอง... ถึงว่า ป๋าถึงได้จะเป็นจะตาย... จากคุณ : noprock - [ 9 ธ.ค. 48 09:44:24 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แนะนำให้ดูมิวสิควีดีโอเพลง Something ของ The Beatles ครับ มี Patti อยู่ด้วย แถมควงกะจอร์จอีก จะเห็นว่าในบรรดาภรรยาของ The Beatles ในช่วงนั้นแต่ละคน Patti ดูดีที่สุดเลย ผมชอบอัลบั้ม Layla มากครับ เพลงบลูส์ในอัลบั้มนี้หลายๆ เพลงมีคุณค่ามากครับผม Layla เป็นอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมที่สุดของแคลปตันเลยครับ ฟันธง !!!! จากคุณ : Agent Fox Mulder - [ 9 ธ.ค. 48 10:43:05 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ศิลปิน กับ ยา ของคู่กัน ??? จากคุณ : โตนิค - [ 9 ธ.ค. 48 11:51:05 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ^ ในสมัยช่วงปี 1970 ถือว่าเป็นของคู่กันเลยครับ ช่วงนั้นบุปผาชนเบ่งบาน สูบกัญชาริมถนนเหมือนเคี้ยวหมากฝรั่ง ศิลปินมีเงินมีทอง ก็หาของหนักๆ มาเสพ แต่สมัยนี้ไม่ใช่ครับ ถ้าเราอ่านในกระทู้ ให้นึกภาพย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้วครับ ไม่ใช่เอามาเทียบกับศิลปินในยุคสมัยนี้ครับ จากคุณ : กึ่งยิงกึ่งผ่าน - [ 9 ธ.ค. 48 12:17:02 ]

ความคิดเห็นที่ 14 สมัยก่อนเกรงว่าจะไม่ได้มีแค่ยาเสพติดซะทีเดียวอ่ะ ยังมี สุรา นารี บุหรี่ อีก เห็นแล้วก็อ่ะนะ จากคุณ : HTK (HTK) - [ 9 ธ.ค. 48 13:39:10 ]

ความคิดเห็นที่ 15 สมัยนั้นน่ะครับ จากคุณ : น้ำใส - [ 9 ธ.ค. 48 15:11:48 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าไม่มียา ศิลปินจะสามารถเล่นได้สุดยอดอย่างที่เป็นหรือไม่ ??? มีใครบ้างในยุคนั้น ที่ไม่เกี่ยวข้องกับยาเลย ??? ตกลงผลงานสุดยอดทั้งหลายในยุคนั้น (โดยเฉพาะในแง่ปริมาณ ที่ไม่น่าเชื่อว่า ออกอัลบั้ม 3-4 ชุดในเวลาแค่ 2-3 ปี)เ ป็นเพราะฝีมือ หรือฤทธิ์ยากันแน่ ? แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 48 15:50:29 จากคุณ : Analog Kid - [ 9 ธ.ค. 48 15:49:16 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนได้เลยว่า ยาเสพติดไม่ทำให้เจริญครับ จากคุณ : blueframe - [ 9 ธ.ค. 48 17:44:09 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เข้าใจอีริคนะ เลิกยาเสพติดมันยากมาก คนไม่ติดจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเลิกได้ยากขนาดนั้น แต่คนติดยาแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเลิก จากคุณ : Darth Phoenix. - [ 9 ธ.ค. 48 20:04:21 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ตอนเลิกยาคงต้องใช้ความอดทนอย่างมาก แต่มันน่ายินดีถ้าพ้นช่วงนั้นมาได้ จากคุณ : d:r:e:a:m:e:r - [ 9 ธ.ค. 48 23:50:07 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ชื่นชมเค้านะ วันก่อนก้ได้ยินเรื่องรักสามเศร้านี้ ทางคลื่นสมูทเหมือนกัน วงการนี้ กับสุรานารี มันก้เป็นของคู่กัน หึหึ ชอบคับ ลุงอีริค จากคุณ : zombitzh - [ 19 ธ.ค. 48 00:25:22 ]