| ชอบมากๆ (8 คน) |
| ชอบ (19 คน) |
| เฉยๆ (19 คน) |
| ไม่ชอบ (7 คน) |
| ไม่ชอบมากๆ (7 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 60 คน |
...เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป อ่านความเห็นอื่นๆ และ ชวนไปแสดงความเห็น พูดคุยกันเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=01-2006&date=11&blog=1
คำสัญญา
คุณให้ความสำคัญกับคำสัญญามากน้อยแค่ไหน ?
... คุณเคยถูกใครทำผิดสัญญาหรือไม่ หรือ เคยผิดสัญญากับใครไปบ้าง ยังจำความรู้สึกของ คำสัญญา ที่ถูกลืมเลือนไปได้หรือไม่ว่าเป็นอย่างไร ใน The Promise การผิดคำสัญญาในเรื่องล้วนนำมาซึ่ง บาดแผลในใจ ของตัวละครที่ฝังมาจากในวัยเด็ก เป็นการเริ่มต้นของชีวิตที่น่าเศร้า และ บาดแผลทางกาย ที่จบลงด้วยความตายในตอนท้าย
...คำสัญญาก็เหมือนเส้นด้ายที่เชื่อมโยงคนเหล่านี้เข้าหากัน
อู่ฮวน ... ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตอย่างไร้ความสุขและน่าสงสาร เพียงเพื่อตามถอดถอนความรู้สึกบางอย่างที่ฝังใจ เพราะ ความรู้สึกเชื่อใจนั้นถูกทำลายไปจากคำสัญญา หลงเหลือแต่การถูกหลอกลวงและทรยศ ทำให้ชีวิตเขาจึงต้องผูกและขังคนอื่นไว้ตลอดเวลาเพราะไม่อาจเชื่อใจ (กรงทองขององค์หญิง / เสื้อคลุมดำของของมือสังหาร)
องค์หญิง ฉิงเจิง ... หญิงสาวผู้ที่ชีวิตถูกพันธนาการไว้ด้วยคำสัญญา เธอแลกชีวิตที่มั่งมีศรีสุขไปกับ ความรักแท้ ที่เธอจะไม่มีวันค้นพบไปชั่วชีวิต นอกจากว่า สายน้ำจะไหลย้อนกลับ , คนตายจะหวนฟื้นคืน และ หิมะจะตกในฤดูใบไม้ผลิ มิเช่นนั้นเมื่อใดก็ตามที่เธอพบความรักเธอจักสูญเสียมันไป
คุนหลุน ... ทาสหนุ่มที่ให้ความสำคัญกับ คำสัญญา มาตลอดโดยไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะกับเจ้านายหรือคนรัก และ คำสัญญาที่เขาให้ไว้กับ องค์หญิง ฉิงเจิง คือ จุดเริ่มต้นที่นำมาซึ่งความรัก
ชะตากรรม
..มนุษย์ทุกคนล้วนมีกรรมที่ติดตัวมา และ มีชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
กวนหมิง ต้องประสบกับความพ่ายแพ้ทั้งในการรบและเกมส์รัก แม้จะเก่งกาจเพียงใด แม้จะต่อสู้ชนะมากี่ศึกกี่สนามรบ แม้เขาจะสามารถรู้อนาคต แต่เขาก็ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมได้
คุนหลุน ต้องสูญเสียพ่อแม่พี่น้องจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แม้เขาจะวิ่งได้เร็วเพียงใด แม้จะสามารถย้อนเวลากลับไปหาอดีต แต่เขาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงมันได้
...ถึงแม้ชะตากรรม จะเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงได้ แต่ ความรัก คือ สิ่งที่มนุษย์สามารถกำหนดได้ด้วยตนเอง
ดังในเรื่อง การเข้าไปปกป้องฮ่องเต้ของกวนหมิง ดูน่าจะง่ายดายเสียกว่าการแก้คำสัญญาของ ฉิงเจิง ที่จะให้ สายน้ำไหลย้อนกลับ , คนตายหวนฟื้นคืน และ หิมะตกในฤดูใบไม้ผลิ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า สามสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กลับปรากฎขึ้น ไม่ใช่ เพราะ ปาฏิหาริย์ แต่มันเป็นเพราะ ความรัก
..ความรัก ทำให้ คุนหลุน รู้ว่า เขาจะวิ่งให้เร็วไปเพื่ออะไร
..ความรัก ทำให้ ฉิงเจิง ได้มีโอกาสหลุดพ้นพันธนาการ เพื่อไปพบกับ รักแท้
คำสัญญา ชะตากรรม ความรัก ... คุนหลุน อาจเป็น จุดเริ่มต้นของความรักในวันวาน ที่ทำให้ฉิงเจิงพบกับรักแท้และทำให้เธอหลงรักชายผิดคน นั่นคือ กวนหมิง ส่งผลให้เธอต้องสูญเสียกวนหมิง ชายผู้เป็นความรักในปัจจุบันไปเพราะ คำสัญญา ที่เธอเคยให้ไว้ และ เพราะชะตาลิขิต ของ กวนหมิง ที่ถูกขีดกำหนดไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว คำสัญญาที่คุนหลุนเคยให้ไว้กับฉิงเจิง และ ความรักที่เขามีให้กับเธอ ก็พาเธอกลับไปจุดเริ่มต้นเพื่อกำหนดโชคชะตาความรักในอนาคต อีกครั้งด้วยตัวเธอเอง
...คนที่ได้ไปดู คนม้าบิน มาก่อนหน้าผมหลายคนพูดถึงว่าต้องทำใจเผื่อความผิดหวังไว้บ้าง แต่ผมเองก็ยังคงแบกความคาดหวังไว้สูงด้วยดีกรีที่ว่านี่คือ 1. หนังของ เฉินข่ายเก๋อ ผู้กำกับที่เคยมีผลงานคุณภาพอย่าง Farewell My Concubine, Temptress Moon, Together และ หนังเลิฟซีนพันธุ์ดุอย่าง Killing Me Softly 2. เป็นหนังที่เป็นตัวแทนของจีนเข้าชิงชัยในเวทีออสการ์(ขณะนี้เป็นหนึ่งในห้ารายชื่อหนังเข้าชิงลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม) และ 3.เป็นหนังที่ใช้ทุนสร้างสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีน ด้วย 3 ข้อนี้ผมจึงหวังไว้ว่าถึงจะแย่อย่างไร The Promise ต้องมี ของดี ในตัวอยู่บ้าง
...และเป็นความจริงที่หนังมี ของดี ในตัว ทั้งประเด็นและธีมที่น่าสนใจ แต่หนังกลับนำเสนอออกมาได้อย่างบางเบา ตัวหนังแกว่งมาก ไม่มีความคงเส้นคงวาของเนื้อเรื่องและคาแรคเตอร์ตัวละคร ทั้งจาก ความเว่อร์เกินเหตุ ความแฟนตาซีเกินเหตุ มุกตลกหลุดๆ จนมันทำให้สิ่งดีๆของหนังเหมือนกับ การกินซุปหนึ่งถ้วยที่มีของดีๆอยู่จริงแต่มีน้ำมากมายจนบางครั้งคนกินอาจหาของดีในซุปถ้วยนั้นไม่เจอ
ผมเคยดู Chinese Odyssey 2002 ที่ เหลียงเฉาเหว่ย และ เฟย์ หว่อง เล่น เป็นหนังย้อนยุคกำลังภายในเรื่องราวเกิดในวังหลวง เป็นเรื่องของความรัก ที่อุดมไปด้วยมุกตลกแบบ ติงต๊อง + บ้าบอคอแตก ที่สุด แต่ความ บ้าบอคอแตก นั้น สร้างความประทับใจให้ผมมาก เพราหนังสามารถทำให้ความตลก และ ซาบซึ้ง ไปด้วยกันได้ หนังมีความเป็นเอกภาพชัดเจน ว่าจะเล่าอะไรและไปในทิศทางไหน ต่างจาก The Promise ที่ผมมองว่า หนังขาดจุดยืนที่ชัดเจน ทำให้หนังออกมากระท่อนกระแท่น เหมือนหนังเลือกที่ยืนไม่ถูกว่า ตัวเองจะเป็นหนังที่ เคร่งขรึมจริงจัง หรือ ทีเล่นทีจริง
ทั้งที่หนังมีแก่นที่ชัดเจนแล้วก็น่าจะเลือกเดินไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งให้มันชัดๆ เช่นจะเลือกทิศทางหนักแน่นไปเลยอย่าง Hero , Crouching Tiger Hidden Dragon หรือ House of flying dagger หรือ จะเลือกตลกหลุดโลกแฟนตาซีกันไปสุดๆอย่าง Kungfu hustle , Chinese Odyssey 2002 น่าจะทำให้หนังส่งสารในตัวเข้าถึงคนดูให้จดจำได้ดีกว่านี้ แต่การที่หนังทำตัวเก้ๆกังๆเช่นนี้ทำให้สารสาระของมันไม่สามารถที่จะถ่ายทอดออกมาได้อย่างเต็มที่ คนดูถูกดึงความสนใจจากสาระของหนังไปตามแต่ละองค์ประกอบในเรื่องจะแกว่งพาไป แม้แต่สิ่งเล็กน้อยๆเช่น หรือ การปรากฏตัวของเทพธิดาพยากรณ์ที่เธอก็น่ารักได้ใจดี แต่เชื่อว่าการปรากฏตัวของเธอพร้อมวงแหวนหมุนติ้วๆบนหัวต้องดึงดูดให้คนดูส่วนหนึ่งเสียสมาธิไปสนใจกับวงแหวนนี้ หนังมีช่วงเวลาแบบนี้อยู่ประปรายมากมาย กับการที่ปล่อยให้รายละเอียดเล็กๆน้อยเหล่านี้ทำลายสิ่งที่หนังต้องการนำเสนอออกมา
...การมีมุกตลกของหนังแทนที่จะช่วยทำให้หนังมีความผ่อนคลายแต่มันกลับ ฉุดให้หนังแกว่ง ทุกครั้ง ถึงมันจะขำก็ตาม เช่น มุกไม้เท้ายกนิ้ว กับ ท่านั่งสุดเท่ริมน้ำตก ฯลฯ ความเว่อร์ของหนังก็เช่นกัน หลายครั้งมากที่มันเกินเลยจนหลุดไปเป็นหนังแฟนตาซีกำลังภายในอย่าง ฟงหวิ๋น ทั้งที่ตัวหนังเองดำเนินเรื่องอยู่บนโลกของความจริง ไม่ใช่ มุกตลก หรือ ความเว่อร์ เท่านั้นที่ทำให้ทิศทางหนังแกว่ง ตัวบทเองบางครั้งดูๆไปผมก็สงสัยไม่ได้ว่า หนังต้องการจะสื่อสารอะไรกันแน่ และพาลทำให้ตัวละครเสียคนเพราะบทไปได้ง่ายๆ เช่น ฉากฮ่องเต้ขึ้นไปบ่นๆเพ้อๆบ่นหลังคา แล้วก็ต้องวิ่งหลบธนูที่ยิงออกมา พร้อมกับวิ่งเอาดาบไล่ฟันองค์หญิง ฮ่องเต้กลายเป็นคนแก่พร่ำเพ้อ ในฉากเดียวกันนี้ที่เปิดตัว องค์หญิงที่ค่อยๆให้เธอถอดผ้าทีละชิ้น แล้ววิ่งไล่ไปมา ก็ลดคุณค่าในตัวเธอลงเช่นกัน
.... งาน special effect ของหนังบางตอน หลอกตามาก เช่น ตอนต้นที่ฝูงกระทิงวิ่งไล่แล้วให้ตัวพระเอกวิ่งหลบไปหลบมา มันดูขัดตาจนคิดว่าไม่มีฉากนี้ยังจะดีเสียกว่า และ CG ที่หลอกตานั้นเมื่อมาอยู่บนบทที่แกว่งไปมา ยิ่งเป็นผลเสียกับตัวหนัง
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การที่หนังให้ความสำคัญของการวิ่งของพระเอกนั้นมันเป็นเรื่องจำเป็น เพราะการวิ่ง มันมีความหมายถึง ชีวิตที่เดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายของพระเอกในช่วงแรก และ การวิ่งมันยังเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขอดีตและไขความรักแท้ให้กับฉิงเจิง แต่ ด้วย CG และ ความไม่มีจุดยืนของหนังกลับทำให้การวิ่งของพระเอกดูตลกและยากต่อการจะจับประเด็นที่หนังต้องการนำเสนอ
...แม้ว่าหนังจะรวมพลนักแสดงหลายเชื้อชาติมาอยู่ด้วยกัน(ฮิโรยูกิ ซานาดะ + แจงดองกัน + เซียะถิงฟง + จางป๋อจือ) ทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้แค่ในระดับพอดีตัว ไม่มีใครเด่นกว่าใครเป็นพิเศษ และ ไม่สามารถนำพาหนังไปได้ไกลเท่าไหร่นักเพราะถูกจำกัดด้วยตัวบทที่กำหนดมาไว้เช่นนั้น
งานด้านภาพ และ การกำกับศิลป์ในในเรื่องโดดเด่นเป็นพิเศษ ถึงคนดูจะเคยเห็นความงามอลังการมาก่อนแล้วจาก Hero หรือ House of flying dagger แต่การมาดู The Promise ก็จะไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ามันซ้ำซากแต่อย่างใด หนังจัดองค์ประกอบภาพได้งามมากในหลายๆฉากและมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้
สิ่งที่ชอบ
1.กำกับศิลป์
ผมชอบทุกๆรายละเอียดไม่ว่าจะเป็น เครื่องแต่งกาย(แม้ว่าชุดนักรบจะสีแดงแปร๊ดก็ตาม) การแต่งหน้า การออกแบบฉาก งานสร้างที่อลังการ สีสันจัดจ้านในเรื่อง การเซ็ตองค์ประกอบให้ออกมามีความหมาย เช่น นกน้อยในกรงทอง หนังทำออกมาได้สวยงามมาก
2.ธีมของหนังและประเด็นที่หนังพูดถึง ... ทั้งเรื่อง สัญญา และ ความรัก เป็นแรงผลักดันของเรื่องราวในหนังได้อย่างน่าติดตาม เสียดายเหลือเกินที่มันไม่สามารถเล่าออกมาได้ดีกว่านี้
3.ฉากตัดสินความจริง ... ฉากนี้เป็นฉากที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องพึ่ง CG หรือ องค์ประกอบศิลป์ที่เลิศล้ำ เป็นฉากที่ตัวละครสำคัญทั้งสี่คนอยู่พร้อมกัน เมื่อความจริงที่เคยรู้กลายเป็นความลวง เมื่อความลวงที่เอ่ยออกมาเป็นความจริง คนหนึ่งต้องเจ็บช้ำเพราะความจริง คนหนึ่งต้องเจ็บปวดเพราะการหลอกลวง จางป๋อจือเล่นได้ดีที่สุดในฉากนี้เอง เสียดายที่ฉากนี้หนังบีบความเข้มข้นสั้นเกินไปและปิดฉากเร็วเกินไป
สิ่งที่ไม่ชอบ
1.ความเว่อร์... ที่มากเกิน
2.มุกตลก ... ที่ฉุดให้หนังแกว่ง
3.CG ... ที่ขัดตา
4.บทภาพยนตร์ ... ที่ไม่รัดกุม หลวม และ ไม่มีความชัดเจนในแนวทางการนำเสนอ
5."คนม้าบิน" ... จริงที่หนังมีฉาก คน + ม้าบิน หรือจะเอาว่า ม้า +คนบิน ก็ยังมี แต่มันไม่ใช่ธีมหลักหรือเนื้อหาของหนังเลยแม้แต่น้อย เพราะหากคิดว่าตั้งชื่อเพียงเพราะดึงดูดคนดูโดยเอามาจากหนังแค่ฉากเดียว หรือ เอามาจากการที่เห็นพระเอกวิ่งเร็วจนเหมือนบินได้ หนังอย่าง The terminator ผมคิดว่านอกจากชื่อคนเหล็ก2029แล้ว ตั้งชื่อว่า คนยิงปืน ก็ได้เหมือนกัน เป็นการตั้งชื่อที่น่าผิดหวังเพราะดูจะคิดน้อยเกินไป (ปีก่อนขำกับชื่อ ผีทวงบ้าน แต่พอดูหนังแล้วก็คล้อยตามได้ แต่กับ คนม้าบิน เฮ้อ )
สรุป ... ดูไปก็ยิ้มไป กับ ภาพลักษณ์ภายนอกของตัวหนัง เช่น ตลกกับมุกขำๆที่หนังตั้งใจจัดให้ ดูภาพงามๆ กับ ผิวขาวๆของจางป๋อจือ(แปลกที่หน้าขาวกว่าตัว) ก็ไม่รู้สึกเบื่ออะไร แต่เมื่อพิจารณาเนื้อในของหนังแล้วผิดหวังอยู่มาก เสียดายกับการที่หนังมีของดีในตัวไม่ว่าจะเป็น แก่นสาระ ทีมนักแสดงคุณภาพ และ ทุนสร้างมโหฬาร แต่ด้วยหนทางที่หนังเลือกเดินทำให้ของดีเหล่านั้นถูกกลืนหายไป สิ่งที่ให้ได้เห็นมีแค่เปลือกภายนอกอย่าง เครื่องแต่งกาย งานโปรดักชั่น ฯลฯ
เชิญชวนตามอ่านบทความเก่าๆ สนทนาภาษาหนัง และ ร่วมเป็น 1 ความเห็นในหนังที่คุณเคยดู ที่ http://aorta.bloggang.com
The Chronicles of Narnia: The Lion, The Witch and the Wardrobe , ส่วนผสมที่ลงตัวสำหรับทุกครัวเรือน
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=01-2006&date=02&group=1&blog=1
April Snow , บางครั้งความรักก็เจ็บปวดโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=12-2005&date=23&blog=1
King Kong , แล้ว "ลิงยักษ์" ก็ตกหลุม "รักหญิง"
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=12-2005&date=20&group=1&blog=1
แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 49 14:12:38
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
11 ม.ค. 49 14:10:38
]