ไปเจอเลยนำมาบอกต่อ ของ สำนักพิมพ์ เอเอสเค มีเดีย
กลับมาอีกครั้งกับผลงานของแกรนด์มาสเตอร์แห่งวงการนิยายวิทยาศาสตร์ โรเบิร์ต เอ. ไฮน์ไลน์ กับหนังสือดีๆสำหรับเยาวชน เรื่องราวของเด็กหนุ่มผู้มีความไฝ่ฝันอยากไปเหยียบดวงจันทร์ แต่ขาดแคลนโอกาสและทุนทรัพย์ หนทางเดียวที่จะบรรลุถึงซึ่งความฝันอันไกลโพ้นได้ คือ "การส่งห่อสบู่ไปชิงโชค" โดยรางวัลที่ 1 คือไปเที่ยวดวงจันทร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย!!!!
การจะได้รับรางวัลนั้นยากเย็นยิ่งกว่าถูกรางวัลเงินล้านของชาเขียวโออิชิเสียอีก ความฝันหนุ่มน้อยจะเป็นจริงได้ หรือต้องปล่อยให้ความฝันค่อยๆตกตะกอนไปอย่างช้าๆ หาคำตอบได้ใน Have Space Suit-Will Travel ที่แผงหนังสือใกล้บ้านท่าน ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้
(หน้าปกที่แสดงเป็นของหนังสือต้นฉบับ ปกจริงจะตามมาในภายหลัง)
------ส่วนหนึ่งของคำนิยมจากผู้แปล------
ผลงานเล่มแรกของไฮน์ไลน์นั้นคือ จันทราปฏิวัติ (The Moon Is A Harsh Mistress) ซึ่งค่อนข้างหนัก เพราะเป็นเรื่องการเมืองและการปฏิวัติ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องของคนกลุ่มหนึ่งบนดวงจันทร์ ที่แข็งขืนกับอำนาจอันยิ่งใหญ่ของโลก ฉากของเรื่องนั้นจำกัดอยู่แต่โลกและดวงจันทร์เท่านั้น แม้จะมีความละเอียดในสภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองอย่างมากก็ตาม แต่ในทางกลับกัน เรื่อง ลุยอุตลุดไปกับชุดอวกาศ (Have Space Suit - Will Travel) ของไฮน์ไลน์เล่มนี้ กลับเป็นเรื่อง เหมือนจะ เบาสมอง เป็นเด็กวัยรุ่นจอมซนสองคนที่ท่องไปทั่วอวกาศ ที่ว่า เหมือนจะ นั้นเพราะที่สุดแล้ว เรื่องนี้ของไฮน์ไลน์กลับครอบคลุมแนวคิดที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่าของจันทราปฏิวัติเสียอีก ภายใต้ความจุ๋มจิ๋มน่ารักของเด็กสองคนนั้น กลับแฝงด้วยแนวคิด ปรัชญา และคำถามต่าง ๆ มากมายที่แม้จะประพันธ์เอาไว้นานมากแล้วก็ตาม แต่ยังคงเป็นคำถามคาใจของมวลมนุษยชาติเสมอมา
เรียกได้ว่าเป็นความขัดแย้งของเรื่องซึ่งทำให้เรื่องนี้ของไฮน์ไลน์โดดเด่น อ่านแล้ววางไม่ลงเอาทีเดียว (และอ่านได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมจำได้ว่าอ่านไปประมาณเจ็ดแปดรอบแล้ว ในช่วงอายุสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา จึงจะได้มามีโอกาสแปลให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกัน)
เรื่องนี้ของไฮน์ไลน์ แม้ว่าดูผิวเผินจะเป็นเรื่องเบาสมอง ทว่าอัดแน่นด้วยปรัชญา ความขัดแย้งระดับอภิมหานิรันดร์กาล อีกทั้งยังเป็นการชี้นำเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าล้ำยุคของสมัยนั้นทีเดียว ในชั้นแรกเมื่อตอนที่ผมอ่านนั้น ผมคิดในใจเสมอว่าไฮน์ไลน์ช่างศึกษาข้อมูลของชุดอวกาศได้ละเอียดชัดเจนดีมาก แต่แล้วก็มาพบความจริงที่ว่า ไฮน์ไลน์นั้นเขียนเรื่องนี้ขึ้นก่อนจะมีชุดอวกาศใช้กันเสียอีก เพราะเขาเขียนเรื่องนี้ในปี ค.ศ. 1958 เพียงหนึ่งปีหลังจากการปล่อยดาวเทียมดวงแรกของโลกชื่อ Sputnik ที่เป็นของรัสเซีย เรียกได้ว่าเขาเป็นผู้กำหนดแนวทางการออกแบบชุดอวกาศคนหนึ่งของโลกทีเดียว นอกจากนั้นเขายัง ทำนาย ถึงมิติทางอวกาศขั้นสูงที่สามารถข้ามผ่านข้อจำกัดในด้านความเร็วแสงของไอน์สไตน์ไปได้ ซึ่งทำให้การเดินทางในอวกาศระหว่างดวงดาวสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นยังเผยให้เห็นถึงวิทยาการทางด้านการรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยยีน (Gene Therapy) ที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญกันอยู่อย่างมากในปัจจุบัน
แต่ทั้งหมดนี้เขาทำโดยไม่โอ้อวด เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกับตัวละคร ดูราวกับเป็นเรื่องเล่า มากกว่าจะเป็นเรื่องทำนายทายทักถึงอนาคต แต่กลับชัดเจนและไม่ล้าสมัยมาได้นับเป็นสามสิบสี่สิบปีทีเดียว สุดยอด
ผมหวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับอรรถรสครบถ้วน ทั้งความสนุกสนาน ทั้งแรงบันดาลใจ ทั้งวิทยาศาสตร์ ทั้งปรัชญาชีวิต ทั้งการเมืองระหว่างดาว ทั้งความรักความอบอุ่น ความเป็นเพื่อน การเสียสละ ความห้าวหาญ เจ้าชายช่วยเจ้าหญิง สู้อสุรกาย สารพัดสารพัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ฝีมือการแปลของผมจะสามารถถอดความได้ครบถ้วนและน่าอ่านไปด้วยในตัว
จากคุณ :
ตามลิง
- [
16 มี.ค. 49 14:42:33
A:203.156.171.50 X: TicketID:076240
]