| ชอบมาก ยอดเยี่ยม (6 คน) |
| ชอบ (22 คน) |
| เฉยๆ (22 คน) |
| ไม่ชอบ (1 คน) |
| ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (4 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 55 คน |
...เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูป + ความเห็นอื่นๆ + เชิญชวนไปแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=03-2006&date=15&group=1&blog=1
ข้อมูล: หนังมีความยาว 93 นาที / กำกับโดยผู้กำกับ James Wong จาก Final Destination 1 / หนังได้รับเรท R กรุณาอย่าพาเด็กเข้าไปดูในโรง / ใน IMDB.com ให้คะแนนเรื่องนี้ 6.3/10 ส่วนใน http://www.rottentomatoes.com ให้เรื่องนี้ Rotten ด้วยคะแนน 44 %
...ตอนดูหนังจบ แวบแรกผมผิดหวัง แล้ว ผมก็เปลี่ยนใจเป็นพอใจ เมื่อ ผมถามตัวเองว่า คาดหวังอะไรจากหนังในตระกูล Final Destination ?
หากได้ดู Final Destination 3 เป็นครั้งแรก เชื่อได้เลยว่า หนังเรื่องนี้จะต้องได้รับคำชื่นชมในแง่ที่ มันเป็นหนังสยองขวัญไอเดียดีดูสนุก แต่การที่ได้ดู Final Destination มาแล้วสองภาค การได้ดูภาคสาม มันหลงเหลือแค่ หนังสยองขวัญที่สนุกดี ไอเดียและความคิดสร้างสรรค์คือสิ่งที่หายไป
...ทั้งสามภาคล้วนอาศัย การมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า หรือ ความรู้สึกคุ้นเคยกับเหตุการณ์เหมือนเคยผ่านเหตุการณ์นั้นมาก่อนที่เรียกว่า Déjà Vu ของตัวเอกเป็นจุดเริ่มต้น
ใน Final Destination 1 พระเอกเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าของเครื่องบินระเบิด จึงบอกให้คนลงจากเครื่อง คนที่ลงมารอดตาย ก่อนที่ความตายจะไล่ฆ่าทีละคน Final Destination 2 เปลี่ยนจากเครื่องบิน เป็น การเห็นเหตุการณ์รุนแรงบนถนนจากรถขนซุง ก่อนที่อุบัติเหตุยาวเป็นทอดๆจะคร่าชีวิตคนบนเส้นทาง นางเอกสามารถเอาตัวรอดและพาเพื่อนๆรอดจากอุบัติเหตุนั้นได้ก่อนที่จะถูกตามฆ่าไปทีละราย และล่าสุด Final Destination 3 ที่ตัวเอกคือหญิงสาวชื่อ Wendy กำลังมีความสุขกับแฟนและเพื่อนสนิทในช่วงเวลาจบปีการศึกษา ระหว่างการเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุก เกิด มองเห็นอุบัติเหตุรถไฟเหาะของตัวเองเกิดร่วงตกจากรางเธอ จึงตัดสินใจลงจากเครื่องพร้อมคนในรถขบวนเดียวกัน พวกเขาทั้งหมดรอดชีวิต แต่ ชีวิตที่หลุดรอดมา ก็ถูกความตายทวงคืนทีละชีวิตด้วยวิธีการที่โหดยิ่งกว่า
... การได้ James Wong ผู้กำกับจากภาคแรก ต้นตำรับแนวคิดความตายอย่างสร้างสรรค์ กลับมากำกับภาคสามนี้ เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมคาดหวังไว้ว่า คนต้นฉบับที่คิดค้นสูตรขึ้นมา จะนำพาภาคสามนี้ให้มีอะไรสร้างสรรค์แปลกใหม่ออกไป กลับกลายเป็นว่า สิ่งที่เขาทำคือแค่เชื่อมโยงเหตุการณ์จากภาคแรกบางส่วนเท่านั้น ส่วนที่เชื่อมโยงนั้นก็ดูเอามาเชื่อมแค่ให้เข้าประเด็นเท่านั้น ไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกถึงความต่อเนื่องเหมือนตอนดูภาคสองแล้วรู้สึกว่ามันมีความผูกพันกับภาคหนึ่ง
สิ่งที่น่าผิดหวังคือ การไร้ซึ่งความแปลกใหม่หรือความคิดสร้างสรรค์ใดๆทั้งสิ้น โครงเรื่องทั้งหมด แทบจะเป็นการยกจากภาคแรกมาใส่ในภาคนี้แทน มีอุบัติเหตุ --> มีคนรอด --> ลมพัดไหวๆ --> ความตายไล่ฆ่า (แถม ยังฆ่าตามลำดับที่นั่งเหมือนในภาคแรกอีกด้วย) ทุกอย่างสืบทอดกันมาโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง จนกลายเป็นว่า ภาค 3 เป็นภาคที่เนื้อเรื่องเล่นง่ายที่สุด ซับซ้อนน้อยที่สุด หนังเดินหน้าฆ่าทีละคนสองคนตามสูตรสำเร็จ ไร้ลูกเล่นหรือลูกล่อลูกชนใดๆในบทหนังเลย จนรู้สึกเสียดายเหมือนกัน ทั้งที่ภาคสองยังมีรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆน้อยๆที่ฉีกตัวเองต่างไปได้ แต่ภาคนี้แทบจะไม่มีเลย จนดูเหมือนคนเขียนบททุ่มเทหัวคิดไปที่วิธีการตายอยู่อย่างเดียว
...แต่อย่างที่ผมตั้งคำถามไว้กับตัวเองในตอนแรกไว้ก่อนแล้วว่า คนดูคงต้องถามตัวเองว่า คาดหวังอะไรจากหนังในตระกูล Final Destination ?
เพราะแน่นอนว่าสิ่งที่คนดูให้ความสำคัญและสนใจที่สุด ย่อมไม่ใช่ว่า หนังมีความลึกซึ้งหรือซับซ้อนขนาดไหน เพราะหากนั่นคือสิ่งที่คนดูคาดหวัง โอกาสผิดหวังรออยู่เต็มที่
...สำหรับผมแล้วความคาดหวังในการดู คือ ความตายของตัวละคร ซึ่งเป็น พระเอกที่แท้จริงของ Final Destination มาทุกภาค คนดูย่อมอยากรู้อยากเห็นว่า ตัวละครทั้งหลายจะตายในรูปแบบใด คนดูย่อมรู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครที่จะรอดได้อยู่ดี จนเหมือนกับว่า การได้ดู Final Destination ก็แทบไม่ต่างอะไรจากการดูหนังในตระกูล Friday the 13th เพียงเปลี่ยนจาก การให้เจสันมาไล่ฆ่าตัวละครให้ตายแบบโต้งๆ เปลี่ยนเป็น ความตายมาทวงชีวิตของตัวละครให้หาที่ตายอย่างมีชั้นเชิง ยิ่งสามภาคที่ผ่านมา โครงเรื่องของหนังย่ำซ้ำรอยเดิมมาตลอด ก็ไม่แปลกใจหากพบว่าต่อไปเราจะได้เห็นภาคสี่หรือห้าตามต่อมาอีก
...ภาคแรกเป็นความแปลกใหม่ที่คนดูไม่เคยได้ดูแนวคิดแบบนี้มาก่อน ทุกอย่างในหนังจึงติดตาน่าจดจำ ฉากการตายไม่จำเป็นต้องเลือดกระเซ็นมาถึงหน้าคนดูก็ทำให้คนดูรู้สึกกลัวตามไปด้วยได้ เพราะหลายฉากคนดูยังไม่เคยเห็น ความตายที่มาจึงมาอย่างไม่คาดคิดไม่คาดฝัน อย่าง ยืนอยู่ดีๆรถก็มาโฉบไป หรือ ฉากการตายด้วยวัสดุอุปกรณ์ในห้องมันก็ดูใกล้ตัว จนทำให้คนดูเกิดความเสียวขณะนั่งทำงานอยู่ไม่น้อย เรียกได้ว่า ความตายในภาคแรกไม่จำเป็นต้องพึ่งเลือดให้มากมาย แต่ให้คนดูได้ซึมซับความสยองไปนอนหวาดหวั่นต่อที่บ้านได้เป็นอย่างดี
...แต่พอมาถึงความตายในภาค 2 เราจะพบว่าหนังจงใจใส่เลือดให้มากขึ้น ใส่ความโหดให้มากขึ้น ให้คนดูเห็นกันเต็มตามากขึ้น และ จำนวนการตายก็มากขึ้น มันช่วยตอกย้ำความเป็นพระเอกของความตายได้เป็นอย่างดี เพราะคนดูดูจะสนุกกับการรอลุ้นว่าตัวละครจะตายเพราะอะไร นี่เป็นหนังที่ไม่ใช่คนดูจะเอาใจช่วยตัวละครแต่อย่างใด
...ใน ภาค 3 นี้ก็เช่นกัน หนังไม่รีรอที่จะจัดสรรความตายแปลกๆใหม่ๆมาให้คนดู ซึ่งยังคงเจตนารมย์จากภาคนสอง คือ การได้เห็นความสยดสยองทุกข์ทรมานของตัวละครกันแบบเต็มตา แต่ไม่รู้ว่า เป็นเพราะความเคยชิน (ฉากตายฉับพลัน , ฉากตายมีอะไรมากระแทกกระทั้นหัว) หรือ ความตายที่เคยเห็นมาบ้างแล้วในหนังสยองขวัญเรื่องอื่น(ถูกอบตาย ) หรือ ความคาดหวังที่สูงเกินไป จึงทำให้ความตายในภาคนี้ไม่ชวนให้น่าจดจำเหมือนสองภาคที่ผ่านมา จะมียกเว้นก็แค่ ฉากยิงหัวดังปั่กๆ ที่ผมรู้สึกว่าเป็นความตายที่เด่นที่สุดในภาคนี้
... ต้นตอของความตาย ที่หนังใช้ รถไฟเหาะตกราง ดูจะเสียเปรียบรุ่นพี่ๆพอสมควร พอ ความตายพี่ใหญ่ที่เกิดจากเครื่องบินระเบิดนั้น แม้จะไม่สยอง แต่กลับน่าจดจำมากที่สุด เพราะการปูรายละเอียดก่อนเกิดเหตุทำได้มีกึ๋นมากกว่า ตั้งแต่เพลงที่พระเอกได้ยิน สัญลักษณ์ต่างๆที่บอกใบ้มา ฉากที่เห็นเครื่องบินระเบิดผ่านกระจกในสนามบินจึงดูคลาสสิคเป็นพิเศษ ในขณะที่พี่รองของความตายอย่าง อุบัติเหตุบนไฮเวย์ ก็ดูสยองกันแบบเป็นชุดๆค่อยเป็นค่อยไป เห็นกันทุกช็อตว่าตัวละครค่อยๆตายอย่างไร สถานที่เกิดเหตุดูกว้างขวางชวนตื่นตา แต่กับ ความตายน้องเล็กอย่าง รถไฟเหาะตกราง มันเกิดในสถานที่จำกัดคับแคบ มันดูเล็กๆไม่น่าทึ่งเท่ารุ่นพี่ ความตายที่เกิดขึ้นมันเร็วจนดูแทบไม่ทันสยอง การตัดต่ออย่างรวดเร็วส่งผลให้ไม่ทันได้เก็บความน่ากลัวเข้าไปในความทรงจำ เพราะเผลอไปชั่วครู่พวกเขาก็ตายไปเสียแล้ว
...อีกจุดหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าด้อยกว่าสองภาคที่ผ่านมา คือตัวนักแสดงในภาคนี้ นอกจากน้องสาวนางเอกแล้ว ที่เหลือดูธรรมดาจนไม่น่าจดจำ แม้แต่นางเอก Mary Elizabeth Winstead ที่ดูจากภาพนิ่งแล้วสวยดีแต่พออยู่ในหนังเธอกลับไม่เด่นเท่าบทที่เธอเล่นสมทบในเรื่อง Sky high ตัวนักแสดงที่เหลือดูขาดเสน่ห์ไม่น่าสนใจ ยิ่งบวกกับบทที่เรียบๆกลางๆแบนราบตามสูตรหนังสยองขวัญด้วยแล้ว คนดูคงจำตัวละครได้แค่จากความตายของพวกเขาหรือจากฉากเปลือยของสองสาวเท่านั้นเอง
สิ่งที่ชอบ
1.ความตื่นเต้นจากความตาย ... ซ้ำๆแต่ก็ยังสนุกได้อยู่ ไม่ได้รู้สึกน่าเบื่อหรือทรมานแต่อย่างใด ความตายที่หนังประเคนมาให้สร้างความหวาดเสียวได้ทุกฉาก การกำกับฉากแอคชั่นความตายทำได้อย่างรู้จังหวะ แม้เราจะเดาได้ว่า ตัวละครกำลังจะตายในฉากนี้แล้ว แต่เราก็ยังคงตกใจอยู่ดี บวกกับ บทที่ใส่ใจรายละเอียดของการตาย ชนิดที่ว่า กว่าจะตายแต่ละฉากได้ มีการผ่านกระบวนการคิดที่เตรียมมาอย่างดีสำหรับกลวิธีการตาย
2.ภาพถ่ายกับความตาย ... เป็นจุดเดียวที่เป็นความคิดสร้างสรรค์น่าจดจำของภาคนี้ สนุกดี เหมือนนั่งเล่นเกมส์ไขปริศนา
สิ่งที่ไม่ชอบ
1.ซ้ำๆย่ำรอยเดิม ... อย่างที่บอกรู้อยู่แล้วว่าตัวเองจะคาดหวังอะไรจากการดูหนังแนวนี้ แต่กระนั้น ผมเองก็ยังแอบผิดหวังเล็กๆ เพราะเห็นว่าภาคสอง บทยังมีรายละเอียดแตกต่าง ภาคนี้จึงแอบหวังกึ๋นหรือมุกที่หนังจะสอดใส่ในบทให้ซับซ้อน แต่ภาคนี้แทบจะไม่มีอะไรแหวกแนวเลยแถมยังสู้ภาคสองไม่ได้ด้วย ทั้งที่ได้ผู้กำกับต้นฉบับมา จนมันเริ่มเป็นลางไม่ค่อยดีที่บอกไว้ว่า หากเมื่อไหร่ที่คนดูเบื่อหรือหนังทำฉากการตายได้ไม่ติดตา ก็ถึงคราวปิดฉากตระกูล Final destination อย่างถาวร
2.นักแสดงขาดเสน่ห์ ... ไม่รู้เป็นยังไง แต่แม้แต่ตัวนางเอกก็ยังรู้สึกว่า ไม่เด่นเลย ยิ่งตัวประกอบทั้งหลายที่ทะยอยตายก็ดูธรรมดาเสียเหลือเกิน (ยกเว้นน้องนางเอกน่ารักฮับ)
3.ตายเร็ว ... ถ้าลดอัตราเร็วของความตายให้ช้ากว่านี้ เช่น ฉากการตายบนรถไฟเหาะ ฯลฯ มันน่าจะทำให้คนดูได้ทันซึมซับความสยองสนองความต้องการกลับบ้านได้มากกว่าเดิม ลองทบทวนภาพความตายของเส้นลวดที่รัดคอตัวละครในห้องน้ำภาคแรกดูมันติดอยู่ในความทรงจำมากกว่า
สรุป ... สำหรับคอสยอง ดูก็สนุกสยองตื่นเต้นแอบปิดตาคุ้มค่าตั๋ว แต่ ไม่ดูก็ไม่ได้น่าเสียดายจะรอแผ่นก็ได้ ใครไม่เคยดู Final Destination มาก่อน ก็จะสนุกในไอเดีย แต่สำหรับคนที่ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาครบสองภาคก่อนหน้านี้แล้ว ภาคนี้คงเติมเต็มได้แค่ ความตื่นเต้นในการตายแต่ละฉากเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นอีก หนังให้ความรู้สึกเหมือนนั่งรถไฟเหาะ คือ ตื่นเต้นตกใจ แต่พอหมดรอบก็จบแล้วจบเลยไม่มีอะไรให้ติดค้างในความทรงจำ
ปล ... รอบที่ไปดูมา เจอพ่อแม่พาเด็กอายุประมาณ 6-7 ขวบเข้ามาดูในโรง
เลยอดเขียนถึงไม่ได้ ไปอ่านกันได้ที่พันทิปตามลิงค์นี้เลยครับ >> http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A4191147/A4191147.html
เชิญชวนตามอ่านบทความเก่าๆ สนทนาภาษาหนัง และ ร่วมเป็น 1 ความเห็นในหนังที่คุณเคยดู ที่ http://aorta.bloggang.com
A History of violence , มาทำความรู้จัก "ความรุนแรง" กัน
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=03-2006&date=19&group=1&blog=1
The Constant Gardener , ในความลับมีความจริง ในความจริงมีความรัก
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=03-2006&date=13&group=1&blog=1
Walk the line , มิตรภาพในความรัก
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=03-2006&date=02&group=1&blog=1
Brokeback Mountain , รักซ่อนเร้น
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=02-2006&date=21&group=1&blog=1
รับน้องสยองขวัญ , หายใจเข้าก็ เฮ้อ หายใจออกก็ เฮ้อ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=11-2005&date=11&group=1&blog=1
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
19 มี.ค. 49 12:42:54
]