ความคิดเห็นที่ 1
....ในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็น ภาพยนตร์ที่มีดีกว่าที่คิดไว้ เป็นภาพยนตร์ที่มีความเป็นActionน้อยมากๆ แต่ไปหนักแน่นที่เนื้อหาหนัง และ อารมณ์ของตัวละครเป็นหลัก ซึ่งต้องยอมรับว่า นี่เป็นหนังทุนสร้าง50ล้านเหรียญของทีมสร้างThe Matrixไตรภาค ที่ทำได้เป็นผลงานที่อยู่ในความสุดยอดเช่นกัน สิ่งที่เราได้ค้นพบของหนังเรื่องนี้มันมีอยู่5องค์ตามที่ผมกล่าวไว้หมด ซึ่งมันทำให้ผมนั้นลืมไปเลยว่า หนังเรื่องนี้มันโปรโมทแบบหนังActionจริงๆ แล้วนี่ถือว่าเป็นงานเมโหลดDrama-Thriller-การเมือง อีกเรื่องนึง ที่ดีมากๆ จนต้องยกย่องว่าพี่น้องWachowskiนั้น คงแจ่มในเรื่องความคิดอยู่ ถึงแม้ว่าศัพท์ในหนังที่ทั้ง2 เป็นผู้คิดค้นและไปตามหามานั้นจะฟังดูยากไปนิด แต่ก็ยอมรับว่าการเล่าเรื่องของทั้งคู่ก็ยังไม่หนีพ้นสไตล์ตัวเองอยู่ดี จนในขณะที่ดูก็ไปหวนระลึกถึงความแปลกในThe Matrixภาคแรก ที่ตอนนั้นผมรู้สึกว่าเป็นไปหนังที่เข้ายากมากๆ แต่มันอัศจจรย์ใจอย่างมากจนบอกไม่ถูกครับ ฉนั้นผมว่าV For Vndettaก็ทำได้ดีแบบเดียวกับที่The Matrixภาคแรกทำเอาไว้เช่นกัน
....นี่คือ5องค์ปรกอบที่ผมหามาได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ และมันก็แก่นเรื่องหลักๆที่เราค้นพอว่ามันเป็นอะไรที่Brillantจริงๆ
ปรัชญา ....ในตลอดทั้งเรื่องคำพูดที่ชวนเข้าใจยามากๆของV เปรียบเสมือนบางสิ่งบางอย่างที่มันพยายามจะสอนเรา และความเป็นจริงที่ยากจะเข้าใจ แต่ก็ทำใจที่จะสัมผัสมันให้ได้ แล้วก็บทภาพยนตร์ของหนังคือวิญญาณของหนังจริงๆ มันเป็นอะไรที่ไม่สามารถคิดครั้งเกียวแล้วจะนึกออกได้ แต่มันเป็นสิ่งลึกซึ้งและเราเองที่จะมองว่า แง่มุมมันจริงๆแล้ว ท้ายที่สุดคืออะไร
มโนกรรม ....ทุกๆอย่างที่Vนั้นทำไป ความจริงเพื่อการล้างแค้น แต่ปัจจัยอย่างนึงคือ เขาเองนั้นไม่สามารถจะเปิดเผย และ ต้องให้การกระทำที่เขาทำไปนั้น นำไปสู่เส้นทางที่สังคมควรจะเป็น แล้วก็สื่อต่างๆที่มันล้ำลึกมากๆ ซึ่งไม่ต่างกับปรัชญานำเสนอแต่มันเป็นสิ่งที่Vนั้นกระทำ และสมควรที่สุด แล้วถ้าพวกรัฐบาลไม่กระทำแบบนั้น และไม่เกิดการบังคับอะไรกัน Vเองก็คงไม่เกิดขึ้นในที่สุด อย่างที่คำพูดของEveyในตอนจบได้กล่าวเอาไว้ว่า "เขาคือ Edmund Dentest คือพ่อของฉันแม่ของฉัน คือคุณ และก็ฉัน เขาคือทุกๆคน" มันเป็นบทพูดที่เติมเต็มจุดตรงนี้ที่ได้อย่างที่สุด
การเมือง ....ในจุดนี้แน่แล้วก็ต้องพูดถึง เพราะว่าหนังเรื่องนี้เองก็ไม่ต่างจากเหตุการณ์ปัจจุบันที่เรากำลังเจออยู่ และเรานั้นก็คงไม่เพิดเฉยกับมันแน่ๆ สิ่งนึงคือในหนัง เมื่อรัฐบาลได้เห็นแก่ตัวมากๆ โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามภายหลัง มันก็คงเกิดแบบที่ในหนังเป็น ซึ่งเรื่องราวความจริงกับในหนังมันเชื่อมโยงจนน่าอัศจรรย์มากๆ และไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องราวที่เล่าและเสียดสีกับเหตุการณ์ในปัจจุบันแบบคาดไม่ถึงเลย จนต้องยอมรับว่าถ้าคุณอินกับเหตุการณ์ปัจจุบันมากๆละก็หนังเรื่องนี้คุณจะอินไปกับมานสุดๆ และผมยอมรับเลยว่า จะไม่มีประเทศไหนที่ดูหนังเรื่อง แล้วจะอินมากๆแบบประเทศเราอีกแล้ว!!!!!! ซึ่งการเมืองในหนังกับเรื่องจริงมันเชื่อมโยงกันบอกไม่ถูกเลย ราวกับว่า เรื่องจริงอาจมีสิทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจริงได้แบบในหนังก็ได้
อิสรภาพ ....นี่คือสิ่งที่หนังนั้นพยายามที่จะตามหามันจนถึงตอนจบของภาพยนตร์ อิสรภาพไม่ใช่แค่ความรู้สึกที่อยากมี แต่ความเป็นจริงที่คนเรานั้นใฝ่ฝันที่จะตามหามัน และก็ได้สัมผัสหรือลิ้มรสชาติถึงอิสรภาพไปในที่สุด ซึ่งรวมถึงความยุติธรรมด้วยที่หนังเรื่องนี้พยายามจะแฝงไว้ด้วยว่ามันมีอยู่รึเปล่า แต่ก็ยอมรับว่าอิสรภาพคืออีก1ประเด็นหลักที่แฝงมาตลอดทั้งเรื่องจริงๆ
ความรัก ....หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แบบความรักอย่างชัดเจน แต่มันเป็นความรักที่พยายามจะสนองกันและกัน และก็ควรจะมีให้ตลอดไปไม่ว่าาจะเป็นรักร่วมเพศของVelerie และรักที่Vนั้นมีให้ต่อEvey ซึ่งจะเห็นได้ชัดในตอนที่Vปล่อยให้Eveyไป ซึ่งมันก็ให้เห็นถึงความเจ็บปวดรวดร้าวของชายคนนึงที่ได้หลงรักหญิงคนนึงไปแล้ว ในตอนที่เขานั้นถอดหน้ากากและก็ขว้างมันไปที่กระจก ซึ่งผมเข้าใจว่าการรักใครซักคนที่เขาไม่ได้รักเรามันเจ็บปวดรวดร้าวแค่ไหน (ฉากนี้เองผมน้ำตาไหลมากๆและก็สงสารถึงความรู้สึกของVเช่นเดียวกัน)
....ซึ่ง5องค์เลยกลายเป็นสิ่งเดียวกัน นั่นคือการปฏิวัติ
....สิ่งที่Vทำสำเร็จก็คงหนีไม่พ้นการล้างแค้น แต่สิ่งนึงที่เขาได้เสียสละและเพื่อสิ่งๆนั้นคือการปฏิวัติประเทศ แล้วในตอนจบเอง เราก็ได้ค้นพบจากการปฏิวัตินั้น คือเพลงกับระเบิดสิ่งเดียวกัน มันก็รู้สึกสะใจละนะ แต่สิ่งนึงก็คือผู้ชายที่ชื่อว่าสามารถเป็นใครก็ได้อย่างที่Eveyพูด แล้ววีรกรรมของเขาและวิญญาณของนั้น ก็จะไม่มีวันตาบเช่นกัน เมื่อการระเบิดพร้อมเพลงโปรดของVในตอนจบของหนังเริ่มขึ้น เราจึงได้เห็นถึงสัญลักษณ์แบบนึง ที่คงไม่ได้เห็นมานานมากๆแล้วเหมือนสัญลักษณ์ในตอนจบของFight Club แต่เรื่องนี้เมื่อการระเบิดเริ่มขึ้นพวกม็อบที่โผล่ออกมาต่างก็ถอดหน้ากากแล้วก็ได้เห็นใบหน้าของทุกๆคนในเรื่อง ซึ่งรวมถึงผู้บริษุทธิ์ที่ตายในหนัง เราจึงยอมรับว่านี่การปฏิวัตอิ่มเอมใจที่สุดที่เคยเกิดขึ้นมาในโลกภาพยนตร์ (ตอนถอดหน้ากาก ผมได้เห็นOrlando Bloomแวบนึงด้วยไม่รู้ว่ามีใครเห็นแบบผมไหม)
....ต้องชมการกำกับเรื่องแรกของJames McTeigueมากๆว่า เขาถ่ายทอดนิยายถาพเรื่องนึงมาสู่ภาพยนตร์ทรงพลัง ได้ดีอีกเรื่องนึง และก็ประสบการณ์ที่เขาได้เป็นผกก.มือ2ของThe Matrixไตรภาคนั้น มันก็ทำให้เขาเจริญลอยตาม พี่น้องWachoskiจริงๆครับ
....บทภาพยนตร์ของพี่น้องWachoskiก็ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นเคย แต่ที่ต้องชมที่สุดผู้แต่งเรื่องราวทั้งหมดAlan Moore ที่เคยแต่งนิยายภาพเรื่องFrom HellและLXG(ซึ่งเรื่องหลังทำได้น่าผิดหวังมากๆ) ได้สุดบรรเจิดแต่งเรื่องนี้ได้มีฝีมือ จริงๆครับ ยอมรับว่าเขาคนนี้เป็นสุดยอดพอๆกับFrank MillerและStan Leeจริงๆเลยครับ ผมรออยู่ว่าWatchman หนังสือการ์ตูนที่เขาแต่ง และเป็นภาพยนตร์เร็วๆนี้จะดีเท่ากับVไหมหนอ
....ฝีมือการรับประกันของJoel Silverก็ยังดีอยู่ครับ ถึงแม้ว่าเราจะได้เห็นฉากActionของหนังแค่3ครั้งเท่านั้น แต่ว่า หนังก็ยังไม่ทิศลวดลายของเขาอยู่ดี
....นักแสดงของหนังเรื่องนี้ ไม่มีคนไหนที่ทำให้หนังดูงี่เง่าเลยครับ ที่ต้องยอมรับคงมี3คนนี้ Nathalie Portman เธอ- คนนี้ได้แสดงให้เห็นในเรื่องนี้ว่า เธอก็สามารถเล่นบทแบบหนักๆแน่นและระบายอารมณ์แบบสุดๆออกมาได้ใน เวลาเดียวกัน และผมรู้สึกว่าเธอเองสมควรที่จะได้รับบทEvey Hammonคนนี้จริงๆครับ เพราะจินตรนาการที่ผม นึกถึงคนนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นBryce Dallas Howards เพราะว่าBryceมีอะไรหลายๆอย่างคล้ายๆกับตัวละครนี้ แต่ว่า Natนั้นก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด เพราะผมรู้สึกว่าเธอถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีมากๆครับ โดยเฉพาะฉากกลางฝนมัน เป็นอะไรที่ทรงพลังเหลือเกินครับ ผมยอมรับว่าตั้งแต่Leon,Anywhere But Here,Where The Heart Is,Garden State, Closerและก็มาถึงเรื่องนี้ ผมว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เธอเล่นได้ดีที่สุดที่เคยเล่นมา จนลืมบทPadmeในSW ไปเลย- ครับ นอกฉากกลางสายฝนอันสุดทรงพลังแล้ว อีกฉากนึงผมชอบมากๆก็คือ ฉากที่เธอได้ซึมซับการได้ชมThe Count of Monte Cristoอีกครั้ง มันเป็นอะไรที่ถูกระบายในทางสายตา/สีหน้า และอารมณ์จริงๆครับ
....Hugo Weaving เป็นอะไรที่อัศจรรย์สำหรับเรื่องนี้ซะเหลือเกินในบทV ผมยอมรับเลยว่าตอนแรกที่เขาประกาศชื่อ James Purefoyมารับบทซึ่ง ผมก็รู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะว่าเขาคนนี้ไม่มีความลึกลับเท่าไหร่ แต่เมื่อทาง ค่ายได้เปลี่ยนมาเป็นHugo ผมก็ยอมรับแล้วล่ะครับ ว่าคนนี้ใช่แล้วครับ เขาคือคนๆนั้นจริงๆ ผมบอกไว้ก่อน นอก จากบุรุษคนนี้ จะเป็นท่านElrondในLOTRtrilogyและMr.SmithในThe Matrixtrilogy แล้วบทบาทVนี้ก็คือตัวตน ของเขาจริงๆครับ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์และความรู้สึก ทุกๆการActingที่เขาต้องการจะสื่อ มันเป็นพลังจากนักแสดง คนนึงที่น่าจะเอาอย่างเป็นอย่างยิ่ง เพราะการที่เราแทบจะไม่ได้เห็นหน้าเขาในหนังแล้ว ตลอดทั้งเรื่อง เรายังสัมผัส Feelที่แท้จริง ที่เขาต้องการจะสื่อในตัวV และVก็มีชีวิตชีวาได้ดีกว่าในตอนนิยายภาพ จึงต้องยอมรับว่านี่ถือว่า เป็น1ในสุดยอดการแสดงของเขาจริงๆ คำพูดที่เด็ดจริงๆของเขาที่ผมชอบมากๆ ก็คงหนีไม่พ้น คำพูดนี้"ในหน้า- กากนี้มีเลือดเนื้อและกระดูก และในเลือดเนื้อและกระดูกมันมีความคิดที่สามารถกันกระสุนได้" นี่คำพูดที่คม เหลือเกินในภาพยนตร์ จนผมยอมรับว่าไม่มีใครบนโลกนี้อีกแล้วที่เหมาะกับบทบาทVเท่าเขาแล้วครับ
....Stephen Reaคนนี้เป็นนักแสดงขาประจำของNeal Jordan เป็น1ในนักแสดงคุณภาพจากอังกฤษ ที่ควรจะจดจำไว้ และหนังเรื่องนี้ ก็ถือว่าเป็นฝากฝีมืออันดุเด็ดสุดเผ็ดร้อนเผ็ดมันส์ของเขาจริงๆ ผมว่าตัวละครหนังสืบFinchเอง ก็ดู เหมือนจะเหมาะกับเขาจริงๆ เพราะผมเองก็รู้สึกในการแสดงของเขาเรื่องนี้ไม่มีเรื่องไหนที่เขาปล่อยอารมณ์แบบนี้ ได้สุดๆ ตัวอย่างตอนDominoล้ม มันคือฉากที่พยายามจะเรียบเรียงความคิดของFinch และพยายามให้เข้าใจว่า ทุกๆ อย่างที่เขาทำไป มันเชื่อมโยงกัน และแน่นอนอะไรจะเกิดมันก็คงต้องเกิด ซึ่งเขาเองเหมือนเป็นตัวแทนคนในโลก ปัจจุบันจริงๆ ที่ไม่สามารถจะเข้าใจอะไรหลายๆได้ง่าย และก็มีความติดดินเหลือเกิน
....นักแสดงคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นStephen Fry,John Hurt(ขอชมคนนี้หน่อย เล่นได้เลวมากๆครับ เล่นจนนึกถึงใคร บางคนในเหตุการณ์บ้านเมืองเราในปัจจุบันนี้),Tim Pigott-Smith,Rupert Graves Roger Allam,Ben Miles , Sinéad Cusack และNatasha Wightman(ที่ให้เสียงและรับบทเป็นVelerieได้อย่างเข้าถึงวิญญาณจริงๆ) ต่างรับบท ของตัวเองได้ดีเหลือเกิน ผมจึงยอมรับเลยครับว่า หนังเรื่องนี้แทบจะไม่ค่อยมีตัวงี่เง่าเท่าไหร่เลยครับ (จะมีก็คงเป็น 3อันธพาลตอนต้นเรื่อง 3คนนี้มาตามตรงต๊อบต๋อยมากๆ)
(มีต่อนะ)
แก้ไขเมื่อ 24 มี.ค. 49 01:34:09
แก้ไขเมื่อ 24 มี.ค. 49 01:33:10
แก้ไขเมื่อ 24 มี.ค. 49 01:31:04
จากคุณ :
billy bob
- [
24 มี.ค. 49 01:27:08
]
|
|
|