| ชอบมาก ห้ามพลาด (2 คน) |
| ชอบ (5 คน) |
| เฉยๆ (4 คน) |
| ไม่ชอบ (3 คน) |
| ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (11 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 25 คน |
... เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูป+ความเห็นอื่นๆ และ ชวนไปแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=04-2006&date=01&group=1&blog=1
ข้อมูล: หนังมีความยาวประมาณ 2 ชั่วโมง / เป็นผลงานหนังชิ้นแรกของ เวิร์คพอยท์เอ็นเทอร์เทนเมนท์ และ หนังเรื่อง นางสาวสุวรรณ ที่ถูกอ้างอิงในเรื่องก็เป็นหนังไทยเรื่องแรกของสยามประเทศที่ออกฉายในปี 2466 ตามช่วงเวลาเหมือนในเรื่อง
... ปีพ.ศ. 2466 ลิเก กำลังจะถูกลืม หนังใหญ่ กำลังจะเข้ามาแทนที่ คนดูเริ่มเปลี่ยนแนวทางไปดูหนังมากกว่าการดูลิเก การมาแบ่งปันพื้นที่ของวัฒนธรรมตะวันตก ค่อยๆคืบคลานเข้ามาผ่านกองถ่าย นางสาวสุวรรณ หนังใหญ่ที่กำกับโดยทีมของคนฝรั่งและร่วมหุ้นโดยคนไทย การถ่ายหนังจำเป็นต้องใช้สถานที่ วิกลิเกรวมไปถึงบ้านพักของบุญเท่งและครอบครัวจึงถูกรื้อออกเพื่อใช้ในการถ่ายทำ ไม่แค่เท่านั้นพื้นที่บริเวณนั้นยังถูกมองเป็นเป้าหมายของการสร้างโรงหนังแห่งใหม่อีกด้วย
บุญเท่ง น้อยโหน่ง และชาวคณะ จำต้องร่วมมือกันปกป้อง วิกลิเก แห่งนี้ด้วยชีวิต เพราะมันเป็นทั้งที่ทำงาน เป็นทั้งบ้าน ทั้งสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมไทยที่สืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่น
...ในเวลาเดียวกันนั้น บุญเท่ง ก็ตกหลุมรักกับ นวลจันทร์ นางเอกของหนังใหญ่นางสาวสุวรรณ ผู้มีพ่อเป็นหนึ่งในกลุ่มทุนที่ต้องการยึดครองวิกลิเกของเขาพร้อมๆกับ น้อยโหน่ง ก็ตกหลุมรักลิ้นจี่น้องสาวคนงามของบุญเท่ง
...แล้วหนังก็เล่าเรื่องการต่อสู้ของวัฒนธรรมและการต่อสู้ของความรักต่างชนชั้นไปอย่างขำๆตลอดความยาว 2 ชั่วโมง ในส่วนการต่อสู้ของความรักต่างชนชั้นเป็นไปตามครรลองของหนังตลกขำๆฮาๆทั่วไปไม่มีอะไรน่าสนใจนัก ที่น่าสนใจมากกว่า คือ มุมมองการต่อสู้กับวัฒนธรรมตะวันตกที่คืบคลานเข้ามาเมืองไทย
ในหนัง ความเป็นไทยแท้(ลิเก) กำลังถูกเคาะประตูจากตะวันตก(หนังใหญ่) แต่การมานั้นเป็นการบุกรุกเอาเปรียบแบบมัดมือชก เป็นการกลั่นแกล้งรังแก เพราะมีทั้งการไล่ที่ การรื้อถอน การทำร้ายคนในวิกลิเก จนทำให้ บุญเท่ง อดทนไม่ไหว คิดจะเอาคืนด้วยการ ทำลายฟิล์มหนังของฝรั่ง
ฉากสำคัญฉากหนึ่งในหนัง นวลจันทร์ พยายามยับยั้ง บุญเท่งที่กำลังจะทำลายฟิล์มหนังนางสาวสุวรรณ นวลจันทร์บอกเขาว่า การทำเช่นนี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะ ฟิล์มเหล่านั้นไม่ได้ทำอะไรผิด หนังไม่ได้ทำร้ายใคร ภาพยนตร์ คือ ความทรงจำที่ถูกบันทึกไว้ผ่านแผ่นฟิล์ม การทำลายฟิล์ม ก็เท่ากับการทำลายความทรงจำที่มีโอกาสได้อยู่ถ่ายทอดต่อไปเป็นร้อยปีให้ลูกหลานเราได้ดู
...เรามักปาวร้องประกาศต่อต้านการบุกรุกของวัฒนธรรมต่างชาติที่เข้ามาเยี่ยมเยือน อย่างในเรื่อง พ่อของบุญเท่งยืนยันไม่ยอมให้คนใกล้ตัวเข้าไปดูหนังในโรง ไม่ยอมแม้แต่จะเข้าใกล้โรงหนังใหญ่ ทั้งที่หากดูให้ดีแล้ว การมาของวัฒนธรรมตะวันตกนั้น มันไม่ได้เข้ามากลืนกินความเป็นไทยเสมอไป การพบปะกันของสองวัฒนธรรมที่แตกต่างสามารถอยู่ร่วมกันด้วยดีได้ เหมือน ฉากสำคัญในโหมโรง ที่ตัวเอกเล่นระนาดในท่วงทำนองเพลงตะวันตกคู่กับเปียโน
.... ไม่ว่าจะ โหมโรง หรือ โหน่งเท่ง แสดงให้เราได้เห็นว่า ศิลปะไม่สามารถทำลายศิลปะด้วยกัน คนต่างหากที่ทำลายมัน เช่นในเรื่อง บ่อนทำลายศิลปะวัฒนธรรมนั้น หาใช่ ศิลปะจากประเทศอื่นไม่ แต่เป็น คนไทยด้วยกันเองต่างหากที่มิได้เข้าใจศิลปะอย่างแท้จริงและถูกครอบงำด้วยระบอบทุนนิยมไม่รู้จักคุณค่าของงานศิลปะ
ซึ่งหากท้ายที่สุด บุญเท่ง เผาฟิล์มหนัง มันไม่ได้แสดงว่าเขาทำเพื่อศิลปะของชาติเราแต่อย่างใด ตัวเขาก็ไม่น่าจะได้ชื่อว่า เป็น ศิลปินไทย เพราะ ศิลปินที่ทำลายศิลปะคนอื่นแม้จะเพื่อปกป้องผลงานตัวเอง ก็มิอาจเรียกได้ว่า ศิลปิน การเผาฟิล์มของบุญเท่งไม่ต่างอะไรจากอันธพาลที่มารื้อวิกลิเกของเขาที่เป็นได้เพียง ขยะสังคมที่ถ่วงการเจริญของวัฒนธรรมผู้ไม่รู้จักคุณค่าของศิลปะ
โหน่ง เท่ง นักเลงภูเขาทอง...มีดีต่างจากหนังตลกประเภทตีหัวเข้าบ้านทั่วไป ที่นิยมใช้มุกต่อมุกไปเรื่อยๆจนหนังจบบนความว่างเปล่าโหวงเหวง แต่ โหน่ง-เท่ง ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะนี่คือ หนังที่มี เนื้อเรื่อง อยู่พอสมควร ไม่ใช่แค่เอาฮาอย่างเดียวบนพล็อตทิศทางเดียวไม่มีรายละเอียดฯลฯ
...หลังจากดูจบแล้วทำให้เดาว่าตัวพล็อตเรื่องของหนังเรื่องนี้ในตอนที่เป็นเรื่องย่อ ต้องเป็นพล็อตของหนังตลกที่ดีมากเรื่องหนึ่งและสามารถขยายมาเป็นหนังตลกที่สอดแทรกสาระอย่างกลมกลืน ไม่ใช่พยายามจับยัดสาระเหมือนในหลวงพี่เท่งแต่การเล่าเรื่องเป็นตลกมุกชนมุก แต่เมื่อสร้างออกมาเป็นหนังแล้วแล้วการขยายมาเป็นบทหนังความยาวสองชั่วโมง มันแสดงให้เห็นว่าตัวบทยังไม่ดีพอ โดยเฉพาะการไปให้ความสำคัญกับความตลกจนมากเกิน
...จริงอยู่ว่านี่เป็นหนังตลกไม่ใช่หนังดราม่า แต่ก็ใช่ว่า จะจำเป็นที่ต้องไปเน้นความฮาให้ยาวนานมากมาย เพราะหลายตอนที่คนดูรู้สึกได้ว่าหนังใช้เวลาไปมากอยู่กับการเล่นมุก มากจนทำให้บางซีนที่หนังทำให้คนดูตลกแล้วต้องมารู้สึกเฝือต่อเพราะหนังไม่ยอมจบซีน(เช่น ตอนต้นที่โหน่งวิ่งหนีไปมา ฯลฯ) ซึ่งปัญหานี้พบได้อยู่เป็นประจำในช่วงสามช่าของชิงร้อยชิงล้าน ประเภทคนดูขำแล้วแต่ตัวนักแสดงยังสนุกกับการเล่นมุกอย่างยืดเยื้อ หรือ บางฉากที่หนังพยายามเล่นมุกโดยไม่จำเป็นและทำให้บทสรุปของฉากนั้นไม่ได้ผลไม่ว่าจะทั้งทางซึ้งหรือทางขำ(เช่นฉากดูพระอาทิตย์บนภูเขาทอง ฯลฯ) หนังพยายามขยายส่วนตลกในแต่ละช่วงให้ยาวยืดจนเกินไป
แล้วพอจะผสมผสานส่วนสาระกับส่วนตลก หนังก็ยังทำได้ไม่ดีนัก มันจึงทำให้ บางช่วงก็ยักแย่ยักยัน ขำก็ขำได้ไม่สุด มันมีช่วงที่คนดูไม่ขำ และ คนดูก็ไม่สามารถจะจับสาระนั้นได้ ได้แต่รอว่า มุกฮาๆเมื่อไหร่จะถูกปล่อยออกมาอีก จนทำให้มันเกิดช่วงเงียบเหมือนกับเครื่องยนต์ที่เดินหน้าอยู่ๆก็ผ่อนลงจนบางทีก็ดับวูบไป และ ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าหนังยาวเกินไป ทั้งที่เนื้อหาหนังสามารถทำให้ความยาวสองชั่วโมงมีคุณภาพกว่านี้ได้
...ความตลกของหนัง ยังคงเป็นไปในแนวเดียวกับบนเวทีของแก๊งค์สามช่าที่ฉายทางทีวีทุกวันพุธ ซึ่งแฟนรายการประจำคงรู้ว่า บางสัปดาห์ก็ขำเรี่ยราดฮากันเข้าไป บางสัปดาห์ก็ขำๆฝืดๆ บางสัปดาห์ก็ฝืดเป็นส่วนใหญ่ ก็พอเข้าใจได้เพราะการที่ต้องมีรายการทุกสัปดาห์จะให้ฮากันระเบิดระเบ้อทุกพุธก็เป็นโจทย์ที่ยาก ในหนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน มุกแรกที่ปล่อยออกมาจากเท่งทำให้คนดูสามช่าเป็นประจำแล้วเคยขำก็ขำต่อทั้งที่เดาได้โดยอัตโนมัติว่าเขาจะพูดอะไร หลังจากนั้น มุกที่เหลือที่ปล่อยออกมา ก็เป็นเช่นเดียวกันนั่นคือ เหมือนกับการนั่งดูสามช่าทางทีวี มีทั้งขำมากที่สุด ไปจนถึง ขำขำ และ ไม่ค่อยขำเท่าไหร่ สลับกันไปมา จุดนี้เป็นจุดที่น่าเสียดาย การทำหนังใหญ่ มีเวลาให้คิดมากกว่าทำรายการทีวี เพราะไม่ต้องรีบนำเสนอออกมาฉายทุกสัปดาห์ ดังนั้นหนังน่าจะกลั่นกรองแล้วเลือกมุกที่มั่นใจว่ายิงแล้วได้ผล มาเล่น มากกว่าที่เลือกมุกทั่วๆไปมายิงกันโปรยปรายแล้วกลายเป็นมุกแป้ก
...ทั้งโหน่งและเท่ง เล่นกันได้แบบสบายๆ ไม่มีอะไรที่เหนือความคาดหมาย การจับคู่กันนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการเข้าคู่ ทั้งสองคนนำพาหนังไปสู่เป้าหมายได้อย่างสบายๆไม่มีปัญหา
ถึงทั้งคู่จะเป็นดารานำที่ทำหน้าที่ได้ดี แต่ในจอทั้งคู่ยังให้ความรู้สึกเหมือนแค่เท่งโหน่งบนจอทีวีสามช่าที่ขยายขนาดขึ้นจอใหญ่ ซึ่งต่างจาก หนังใหญ่เรื่องก่อนๆที่เขาเคยเล่น เช่น โหน่งเคยฉายพลังดาราได้มากกว่านี้ในสายล่อฟ้าหรือเล่นสั้นๆเป็นตัวประกอบในบอร์ดี้การ์ดหน้าเหลี่ยมก็เด่นกว่านี้ เท่งในหลวงพี่เท่งมีรัศมีของนักแสดงนำในหนังมากกว่าการเป็นเท่งจากแก๊งค์สามช่า หรือ หม่ำที่ได้รับเชิญไปเป็นตัวประกอบมาหลายต่อหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้ทั้งที่เป็นหนังของทีมตัวเอง การปรากฎตัวของหม่ำกลับใช้ประโยชน์จากหม่ำได้ไม่มากเท่าเรื่องอื่นๆ
...ผู้กำกับ พาณิชย์ สดสี แม้จะคุ้นเคยกับทั้งสามคนบนจอทีวีมาหลายปีในฐานะโปรดิวเซอร์ของแก๊งค์สามช่า แต่ กลับไม่สามารถดึงศักยภาพและแสดงพลังดาราของทั้งสามให้มาเกิดบนจอใหญ่ได้มากพอ มันเลยกลายเป็นแค่เท่งโหน่งชะชะช่ามาขึ้นจอหนังย้อนยุค เดาว่า การคุ้นเคยของผู้กำกับมากเกินไปอาจเป็นจุดอ่อนในจุดแข็ง คือ รู้ว่าสองคนนี้มีดีอะไรก็ดึงออกมา แต่ไม่สามารถเห็นมุมมองที่แตกต่างมากไปกว่าการเป็นสมาชิกของแก๊งค์สามช่า มุกที่ออกมาก็เช่นกันทั้งจุดดีและปัญหาก็ไม่ต่างจากในรายการทีวี อย่างไรก็ดี ในฐานะผู้กำกับหนังใหญ่ชิ้นแรกก็ต้องถือว่าเป็นผลงานหนังตลกที่น่าชื่นชม สำหรับการผสมผสานสาระความฮา และ การเล่าเรื่องของหนังที่อาจยังมีร่องรอยสะดุดอยู่บ้าง แต่ ภาพรวมของหนังแล้วถือว่าเป็นหนังตลกที่มีคุณภาพเรื่องหนึ่ง ที่ต้องชมมากเป็นพิเศษคืองานสร้างของหนังเรื่องนี้ ที่เนรมิตกรุงเทพเมื่อ 80 กว่าปีก่อนออกมาได้บรรยากาศไทยๆดูน่าเชื่อถือ แสดงออกถึงความประณีตทั้งฉากและเครื่องแต่งกายเป็นอย่างดี
สิ่งที่ชอบ
1.โหน่ง+เท่ง ... ใครชอบ ฮะโหน่งมาแว้ว กับ หลวงพี่เท่ง ก็ไม่ผิดหวัง ทั้งสองคนยังคงเข้าคู่กันเรียกเสียงฮาได้ตลอดทั้งเรื่อง สังเกตเลยว่า หากคนใดคนหนึ่งไปจับคู่กับใครในหนังแล้วเล่นมุกก็ยังไม่ฮาเท่าสองคนนี้มายืนเฉยๆเสียด้วยซ้ำ เป็นความสามารถเฉพาะตัวที่ยากจะหาใครมาเลียนแบบ
2.ตลกมีเนื้อเรื่อง ... ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นหนังตลกบ้านเรา มีความพยายามในการให้หนังมีรายละเอียดของเนื้อหาสาระ มีซับพล็อตในพล็อตหลัก มีความพยายามที่จะทำให้เป็นหนังมากกว่าเป็นตลกขึ้นจอใหญ่ และเรื่องนี้ ความพยายามที่ทำออกมาถือว่าทำได้ดี ประเด็นที่หนังหยิบมาใส่ก็เป็นประเด็นที่ไม่ซ้ำซาก มีมุมมองข้อคิดที่ดี
3.สวยไทยๆ.. นวลจันทร์ (นิกัลยา ดุลยา) + ลิ้นจี่ (อิสรีย์ สงฆ์เจริญ) คนคัดนักแสดงสองคนนี้เลือกคนมาได้ถูกต้องดีเหลือเกิน เพราะทั้งสองคนนี้ดูสวยแบบไทยโบราณและเข้ากับบุคลิกตัวละครทั้งสองบทได้ดี
4.งานสร้าง ... สวยงามและได้บรรยากาศไทยย้อนยุค ภูเขาทองในหนังเมื่อมองจากภายนอกนั้นสวยงามดี
สิ่งที่ไม่ชอบ
1.ฮาไม่มีประสิทธิผล ... ฮาน้อยกว่าที่หวัง เมื่อเปรียบกับชิงร้อยชิงล้านผมยังรู้สึกว่า มุกในเรื่องนี้มุกที่ฮาสุดๆก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับมุกที่ฮาสุดๆของชิงร้อยชิงล้าน จริงอยู่เวลาสองชั่วโมงมันอาจจะยากที่จะทำให้ฮาได้ทุกเม็ดทุกหน่วย แต่หลายมุกเลยที่รู้สึกว่ามันไม่น่าจะฮาอยู่แล้ว มันดูเกร็งๆ และ มีช่วงเวลาที่เรียกได้ว่า เงียบเสียงฮา หรือ แค่หึๆในลำคอ อยู่หลายช่วงทีเดียว
2.ความยาว ... เชื่อว่า ถ้าหนังตัดต่อให้สั้นกว่านี้ ตัดมุกที่ไม่จำเป็น ไม่ปล่อยบางฉากให้ยืดเยื้อเกินไป หนังยังจะออกมาได้สนุกมากกว่านี้
สรุป ... ถือว่าเป็นหนังตลกไทยๆที่น่าพึงพอใจถ้าเทียบกับหนังตลกของไทยเราที่สร้างๆกันมา ชอบดูสามช่าฮากับมุกพวกเขา ไปดูแล้วไม่ผิดหวังไม่เสียดายตังค์ หนังมีทั้งขำและฝืดสลับกันไปมา ที่ชอบมากกว่าความฮา คือ การสอดใส่สาระเข้าไปในหนังและงานสร้างที่ทำออกมาได้อย่างมีระดับ แต่ถ้าคุณดูหม่ำ-เท่ง-โหน่งกี่ทีก็ไม่มีซักครั้งที่ขำออก คาดว่าเสียดายตังค์แน่นอน
เชิญชวนตามอ่านบทความเก่าๆ สนทนาภาษาหนัง และ ร่วมเป็น 1 ความเห็นในหนังที่คุณเคยดู ที่ http://aorta.bloggang.com
My girl and I , รักครั้งแรกจะเปลี่ยนเราไปตลอดกาล
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=03-2006&date=27&group=1&blog=1
เด็กโต๋ , สายธารชีวิตแห่งบ้านแม่โต๋
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=11-2005&date=27&group=1&blog=1
รับน้องสยองขวัญ , หายใจเข้าก็ เฮ้อ หายใจออกก็ เฮ้อ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=11-2005&date=11&group=1&blog=1
เพื่อนสนิท , เมื่อเส้นแบ่งของ "คนรัก" กับ "เพื่อน" เริ่มเลือนราง
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=10-2005&date=12&group=1&blog=1
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
3 เม.ย. 49 12:14:59
]