CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ดูแล้วมาคุยกัน ... Mission: Impossible III, ภารกิจสุดมันส์ที่ขาดเสน่ห์

      ชอบมาก ห้ามพลาด (16 คน)
      ชอบ (37 คน)
      เฉยๆ (14 คน)
      ไม่ชอบ (1 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (3 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 71 คน

     22.54%
     52.11%
     19.72%
     1.41%
     4.23%


    ... เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูป + อ่านความเห็นอื่นๆ + ชวนไปแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=05-2006&date=06&blog=1

    ideaข้อมูล: หนังมีความยาว 126 นาที / กำกับโดย J.J. Abrams / หนังได้รับเรท PG-13 / ใน IMDB.com ให้คะแนนเรื่องนี้ 6.7/10 ส่วนใน http://www.rottentomatoes.com ให้เรื่องนี้ Fresh ด้วยคะแนน 73%


    ...การเปลี่ยนผู้กำกับแต่ละภาคโดยยึดนักแสดงหลักคนเดิม ทำให้ Mission impossible (MI) มีมนต์เสน่ห์ มีเอกลักษณ์ที่ต่างกันไปในแต่ละภาค เหมือนมีลายเซ็นต์ของตัวผู้กำกับในภาคนั้นๆ

    MI โดย Brian De Palma ไม่ได้ขายฉากแอคชั่นเป็นงานขายสไตล์ที่เต็มไปด้วยความลึกลับสลับซับซ้อนในแผนการ มีโจทย์ที่ต้องพิสูจน์กึ๋นพระเอกในการแก้ปัญหา หนังบีบคั้นคนดูด้วยการกำกับของผู้กำกับผู้เชี่ยวชาญงาน Thriller เราจึงได้เห็น การเฉลยความลับที่หลอกลวงบนโต๊ะอาหารและการหักเหลี่ยมเฉือนคมบนขบวนรถไฟตอนท้าย

    MI 2 โดย John woo ลดความซับซ้อนและเน้นโชว์ฉากแอคชั่นแบบขายลีลาท่วงท่าและเสริมความเท่ให้กับตัวละคร เราจึงได้เห็นนกพิราบบินกันพรึบพรับเวลา Ethan Hunt เดินออกมา หรือ ฉากควงปืนสองมือก่อนหมุนตัวสไลด์ขาก่อนยิง

    ...สองภาคที่ผ่านมา จัดได้ว่ามีความแตกต่างในตัวเอง และ ต่างก็ประสบความสำเร็จในตัวระดับสูง ถึงจะแตกต่างในรูปแบบการนำเสนอ แต่ก็มีความเชื่อมโยงและยังคงธีมของ MI ได้อย่างไม่หลุดออกนอกกรอบไป งานที่น่าหนักใจคือการหาคนมาสร้างภารกิจใหม่ให้กับ Ethan hunt การได้ J.J. Abrams มากำกับ MI3 เป็นความน่าสนใจอย่างยิ่งยวด แม้เรื่องนี้จะเป็นหนังใหญ่เรื่องแรกของเขาแต่ด้วยผลงานกำกับและสร้างซีรี่ส์ชื่อดังอย่าง Alias และ Lost (ซีรี่ส์แนะนำที่ทำให้ผมไม่ได้หลับไม่ได้นอน) ก็ทำให้พอจะเชื่อมั่นได้ว่า งานนี้ต้องมีดี

    …J.J. Abrams เปิดตัวภาค 3 นี้ได้น่าทึ่ง ฉากเปิดตัวของหนังทำให้คนดูต้องนั่งลุ้นอย่างตึงเครียด กับการนับถอยหลังของตัวร้ายรายใหม่ Owen Davian (Philip Seymour Hoffman) และถัดจากนั้นหนังก็ผ่อนลงให้เราได้มาพบกับชีวิตใหม่ของ Ethan Hunt (Tom Cruise) เขากำลังจะสร้างชีวิตใหม่กับหญิงคนรัก  แต่เช่นเคย เขาถูกดึงให้ต้องกลับมาปฏิบัติภารกิจช่วยเหลืออดีตลูกทีมสาวที่เขาเคยผูกพันเคยปั้นมากับมือ เธอถูกจับไปอยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายวายร้าย จะเห็นได้ว่าเนื้อหาในภาคนี้ ค่อนข้างไปให้ความสำคัญกับภารกิจกู้รัก มากกว่า ภารกิจกู้ชาติ ไม่รู้ว่าเพราะตัว Tom cruise กำลังอินกับชีวิตรักใหม่ๆหรือไม่(คู่ชีวิตในหนังดูๆไปคล้าย เคธี่ โฮล์ม อยู่เหมือนกัน) เพราะช่วงเวลาที่เหลือ ฉากแอคชั่นล้วนมีที่มาจากความรักทั้งสามฉากหลักอันได้แก่ การชิงตัวอดีตลูกทีมสาว (สู้เพราะผูกพัน)  , การลักพาตัว Owen Davian (สู้เพราะแค้น) และ สุดท้ายภารกิจกู้รัก (สู้เพื่อเธอ)

    อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่า หนังภาคสามนี้เปิดตัวอย่างกระตือรือร้นและทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ฉากเปิดตัวสะกดคนดูได้อยู่หมัดและช็อคคนดูทันทีที่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น พร้อมทั้งแกล้งให้คนดูต้องอดทนกระสับกระส่าย ด้วยว่าอยากเห็นภาพหลังเสียงปืนว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หนังดันเล่าเรื่องถอยหลังย้อนเวลาไปก่อนหน้านี้แทนที่จะเล่าต่อจากเสียงปืนดัง การเปิดตัวที่ชาญฉลาดนี้นับได้ว่า เป็นการเริ่มต้นที่ดีเยี่ยมของ MI3

    ...หนังดำเนินเรื่องได้อย่างกระฉับกระเฉง มุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่มีเบรก ช่วงครึ่งแรกของหนังมีกลิ่นอายของ MI เดิมๆอยู่ทั้งในแง่ของการมีความลับในองค์กร , หนอนบ่อนไส้ , การตายที่คาดเดาไม่ได้ ฯลฯ น่าเสียดายที่กลิ่นอายเหล่านี้นั้นจางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อหนังดำเนินเรื่องเข้าครึ่งหลัง หนังกลายเป็นแอคชั่นระเบิดเถิดเทิงเกรดเอเรื่องหนึ่ง

    และแอคชั่นระเบิดเถิดเทิงนี่ละคือสิ่งที่ต้องชื่นชม ฉากแอคชั่นในภาคนี้เป็นฉากแอคชั่นที่มันส์ที่สุดเท่าที่มีมาใน MI ทั้งหมด หลายฉากต่อให้อยากหลับก็ทำใจหลับได้ยาก เพราะมันตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจเหลือเกิน หนังโชว์ความมันส์จากฉากแอคชั่นอย่างไม่มีกั๊กชนิดปล่อยของกันเต็มที่ คนดูจะได้เห็นฉากแอคชั่นที่ไม่ได้หมกเม็ดหรือเกิดในเนื้อที่แคบๆ แต่อัดประจุมาเป็นชุดๆในที่โล่งแจ้ง เช่น ฉากบนสะพานเป็นฉากโชว์ฝีมือของผู้กำกับอย่างแท้จริง  การกำกับคิวและจังหวะนั้นแม่นยำลงตัว ชนิดคนดูหายใจตามแทบไม่ทัน

    ...หาก “ความมันส์”  คือ จุดแข็งของ MI 3 “ความง่าย”  ก็คงเป็นจุดอ่อน ที่แฟนๆ MI รู้สึกผิดหวัง จากที่ผ่านๆมา MI มีความเว่อร์เหมือนหนังสายลับทั่วไปแต่จะต่างจากหนังแอคชั่นธรรมดาสามัญทั่วไป หรือ แม้กระทั่งหนังสายลับอย่าง James Bond ก็ตรงความซับซ้อน , การซ่อนปมปริศนาและทรยศหักหลัง , การปิดบังความจริงที่รอการเฉลย หรือ ความยากของภารกิจที่คนดูเดาไม่ได้ว่าจะออกมารูปแบบไหน และ Ethan Hunt จะได้มาโชว์กึ๋นในการแก้ปัญหาสถานการณ์เหล่านั้นด้วยสติปัญญา

    แต่ในภาคนี้ เขากลับได้แต่โชว์กล้ามมากกว่าโชว์สมอง เขาไม่ได้แสดงออกถึงการวางแผนหรือใช้เชาว์ปัญญามากไปกว่าขีดๆเขียนๆบนกระจก จะมีซับซ้อนมากสุดก็ฉากชิงตัวผู้ร้าย ซึ่งก็ธรรมดาเสียเหลือเกินหากเทียบกับสองภาคก่อน ทุกอย่างดำเนินไปข้างหน้าเป็นเส้นตรงๆทื่อๆ แถมความลับที่หนังเก็บงำก็ทำออกมาเหมือนไม่อยากให้คนดูต้องคิดหนัก เพราะไม่ยากเลยที่เราจะเดาว่าใครคือหนอนบ่อนไส้ สิ่งที่ปิดไว้ไม่ได้ตั้งใจจะซ่อนให้ยากเย็น จนทำให้ Mission: Impossible 3 เหมือนเป็นงานของไมเคิล เบย์ที่สลับซับซ้อนขึ้น และในขณะเดียวกันมันก็ เป็น MI ที่มีความซับซ้อนน้อยลง

    … แม้ผมจะผิดหวังที่จะได้ดูเสน่ห์ของ MI แต่ J.J. Abrams ไม่ทำให้ผมต้องผิดหวังกับการคาดหวังจะดูหนังแอคชั่นชั้นดี ตลอดเกือบสองชั่วโมงที่ยาวนานมีช่วงเวลาที่ผมรู้สึกเบื่อๆแค่ช่วงเดียว (ช่วงวางแผนก่อนลักพาตัวOwen ที่นานนิ่งจนเนือยไป) ในขณะที่ส่วนที่เหลือนั้นหนังเอาคนดูได้อยู่หมัด การเล่าเรื่องที่ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่นั้นเป็นสูตรสำเร็จรูปของหนังแอคชั่นไม่ได้มีความแปลกใหม่เลย ตัวบทเองในครึ่งหลังก็แสนจะธรรมดาสามัญเข้าข่ายซ้ำซากเสียด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังคุมจังหวะของหนังให้กระชับฉับไว และ ทำให้คนดูไม่รู้สึกเบื่อหน่ายไปกับมัน อีกจุดที่เขาสร้างความแตกต่างให้กับ MI คือการสอดใส่อารมณ์ขันเข้าไปให้กับหนังอีกด้วย

    ...คาแรคเตอร์ Ethan Hunt  ในภาคนี้ต้องมาประสบชะตากรรมเดียวกับชะตากรรมสูตรสำเร็จของฮีโร่ทั่วโลก นั่นคือ การต้องปกปิดสถานภาพตัวเองไม่ให้คนรักรับรู้ เหมือนกับ Spiderman หรือ บทสายลับของ Arnold ใน True lies ซึ่งพล็อตสำเร็จรูปส่วนนี้ก็พอทำให้หนังได้มีอะไรเล่นเพิ่มเติมไปได้บ้าง และทำให้ Tom Cruise ได้มีโอกาสโชว์ทักษะการแสดงมากไปกว่าการตะลุยยิงเหล่าร้าย แต่มันก็ไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกแตกต่างอะไรออกไป ใช่ว่าเขาเล่นหนังไม่ดีแต่ความสามารถทางการแสดงของเขาดูเหมือนว่ามันจะคงที่อยู่แค่นั้นมานานและไม่สามารถสร้างความหลากหลายออกไปได้อีก ความเจ็บปวดและน้ำตาที่เราเห็นใน MI3 จึงไม่ต่างจาก ใบหน้าหล่อๆของเขาที่เราได้เห็นใน Last samurai หรือ ใน War of the world

    ...สิ่งที่ภาคสองอ่อนด้อยไปถนัดใจคือการได้ผู้ร้ายที่หล่อแต่ดูไม่สมศักดิ์ศรีอย่าง Dougray Scott มาต่อกรกับ Ethan Hunt ในภาคนี้จึงจัดการอุดจุดอ่อนเดิมด้วยการว่าจ้างวายร้ายรายใหม่ที่การันตีฝีมือด้วยออสการ์ปีล่าสุด อย่าง Philip Seymour Hoffman  (เป็นทั้งความบังเอิญและสายตาที่เฉียบคมของคนคัดเลือกนักแสดงด้วย เพราะในตอนนั้นเขายังไม่มีรางวัลอยู่ในมือและเขาก็ยังไม่เคยรับบทสไตล์นี้มาก่อน) เขาช่วยยกระดับหนังให้ดูดีขึ้นในทุกๆฉากที่เขาปรากฏตัวด้วยการแสดงที่นิ่ง โหด ลุ่มลึก ของเขา แค่ฉากนับหนึ่งถึงสิบตอนต้นคนดูก็รู้ได้ในทันทีว่าภาคนี้เห็นที Ethan Hunt หอบซี่โครงบานแน่นอน ยิ่งถ้าใครเพิ่งได้ดูการแสดงในบทชายไม่แท้จาก Capote แล้วมาดู บทชายโฉดในเรื่องนี้ติดๆกัน จะพบว่ามีนิ้วโป้งอยู่กี่นิ้วก็พร้อมจะยกให้เขาทั้งหมด นี่ถ้าหนังขยายบทของเขาอีกสักนิด หาจุดจบให้ดีอีกซักหน่อย อาจมีลุ้นเข้าชิงรางวัลอีกปีจากหนังแอคชั่นได้เลยนะนี่

    นักแสดงชื่อดังอีกหลายคนได้มามีส่วนร่วมกับภารกิจครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็น หน้าเก่าอย่าง Ving Rhames และหน้าใหม่ๆอย่าง Jonathan Rhys Meyers , Billy Crudup , Laurence Fishburne ที่ขาดเสียไม่ได้คือสาวๆในภาคนี้ที่ถูกเปลี่ยนจากสาวเรียวปากงาม Emmanuelle Béart ในภาคแรก และ สาวผิวสีทรงเสน่ห์ Thandie Newton ในภาคสอง มาเป็น Keri Russell , Michelle Monaghan พร้อมสบทบด้วยนางแบบสาวหน้าตากิ๊บเก๋หุ่นดี Maggie Q  เสียดายจริงๆในภาคนี้หญิงสาวคนที่ผมชอบที่สุดกลับต้องเป็นคนที่จากไปก่อนเพื่อน

    (มีต่อ)

    แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 49 13:10:48

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 8 พ.ค. 49 12:37:25 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป