| ชอบมาก ห้ามพลาด (21 คน) |
| ชอบ (29 คน) |
| เฉยๆ (8 คน) |
| ไม่ชอบ (7 คน) |
| ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (0 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 65 คน |
เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูป + อ่านความเห็นอื่นๆ + ชวนไปแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=05-2006&date=31&group=1&blog=1
ข้อมูล: หนังมีความยาว 104 นาที / กำกับโดย Brett Ratner / หนังได้รับเรท PG-13 / ใน IMDB.com ให้คะแนนเรื่องนี้ 7.2/10 ส่วนใน http://www.rottentomatoes.com ให้เรื่องนี้ Rotten ด้วยคะแนน 55%
... X-Men อาจโชคดีที่ไม่ต้องปกปิดตัวตนที่แท้จริงในสังคม สามารถใช้ชีวิตเดินไปมาบนถนนได้เหมือนคนธรรมดาสามัญ แต่พวกเขาก็มีชะตากรรมที่น่าเศร้าต่างไปจากเพื่อนฮีโร่คนอื่นๆ เมื่อพลังวิเศษของพวกเขา ไม่ได้ช่วยให้พวกเขามีบทบาทเป็นผู้กอบกู้โลก หรือ ใช้ต่อกรกับเหล่าร้าย สำหรับ X-men ความแตกต่างของพวกเขาบนโลกใบนี้ไม่ได้ทำให้เขาเป็นฮีโร่ แต่มันกลับเป็น ความกลายพันธุ์ หรือ ความแปลกแยกในสังคม ทำให้เขาต้องกลายเป็นเหมือนคนนอก เป็นชนกลุ่มน้อยในสังคม และ ถูกมองจากคนธรรมดาด้วยสายตาที่มีความหวาดกลัว หวาดระแวง และ ไม่ไว้วางใจ
หากมองในแง่มุมนี้ เราก็จะพบว่า X-Men ก็ไม่ต่างอะไรจาก ชาวรักร่วมเพศที่เติบโตขึ้นมาในสังคมที่เป็น homophobia ไม่ต่างอะไรจาก การเป็นคนผิวดำที่อยู่ในชุมชนเหยียดสีผิว ไม่ต่างอะไรจากการเป็นคนอาหรับในสังคมที่หวาดกลัวภาวะการก่อร้าย ฯลฯ
... ใน X-Men: The Last Stand ความแตกต่างของพวกเขา ถูกหยิบยกขึ้นมาว่าเป็นเหมือนโรคร้าย ที่ต้องใช้ยาบำบัด โดยลืมไปว่า ความแตกต่าง ( mutant / homosexual / คนดำ ฯลฯ) ไม่ใช่ ความผิดปกติที่ต้องรักษา
การบำบัดรักษา ไม่ได้มาจากความคิดของเหล่า mutant แต่กลับเป็น มนุษย์ ที่พยายามทดลองค้นคว้าและดิ้นรนจะมารักษาพวกเขา มันไม่ใช่ความต้องการของ mutant แต่เป็นความต้องการของ มนุษย์ธรรมดา และ หากถามว่า อะไรซ่อนอยู่ในใจ(hidden agenda) ของกลุ่มคนที่คิดยารักษาขึ้นมา คงเดาได้ไม่ยากว่า มันมาจาก อคติในใจ
พ่อของ Angel เป็น ตัวแทนที่ดีของคนกลุ่มนี้ เพราะเขาเองคือคนที่อยากให้ลูกรักษา โดยไม่คำนึงว่ามันเป็นความต้องการของลูกหรือไม่ คนเป็นพ่ออาจรู้สึกอับอาย เสื่อมเกียรติ จนไม่อาจยอมรับลูกตัวเองที่มีความแตกต่างผิดแผกออกไป
พ่อของ Angel ไม่ต่างอะไรกับ แม่ของ Bree Osbourne ชายหนุ่มผู้มีความเป็นหญิงอยู่เต็มร้อยภายในตัว จากหนังเรื่อง Transamerica ผู้ปกครองของทั้งสองคนไม่สามารถยอมรับลูกตัวเองได้เพราะมีอคติกับสิ่งที่ลูกคิดและลูกเป็น (mutant / transexuality) และ พวกเขาก็พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงให้ลูกเป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการ ทั้งที่มันไม่ใช่สิ่งที่ลูกปรารถนา
ปีกของ Angel ก็เหมือนกับ ความเป็นเพศหญิงของ Bree Osbourne ใน Transamerica ที่ถูกกีดกั้น จากอคติทางสังคมและจากครอบครัว สิ่งที่ Angel ต้องการ คือ ชีวิตที่เขาจะบินได้อย่างมีอิสรภาพ การบินที่ไม่ได้แค่หมายถึง การล่องลอยบนฟากฟ้า แต่ หมายถึง การมีชีวิตอยู่ในสังคมโดยได้กับการยอมรับและมีสิทธิเท่าเทียม
.. ไม่ใช่แค่ ความอับอาย แต่มนุษย์ยังมีอคติที่ก่อตัวจาก ความรังเกียจ เหยียดหยาม ดูถูก และ หวาดกลัว จึงอาจจะกล่าวได้ว่า แผนการณ์ที่จะนำยามาล้างบางบำบัด mutant มันก็เป็นความหวาดกลัวเดียวกันกับที่ ฮิตเลอร์คิดจะกวาดล้างชาวยิวให้หมดโลก การพยายามจะเอายามารักษา ไม่ต่างอะไรกับ การพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่มีเคยมีมาในประวัติศาสตร์
... สุดท้ายแล้ว ความไม่สามารถยอมรับความแตกต่างนี้เอง จึงนำไปสู่ "ความหวาดกลัว" มนุษย์กลัวการถูกคุกคามจาก mutant เฉกเช่นเดียวกับ mutant เองก็กลัวการถูกทำลายล้าง ความหวาดกลัว นำพวกเข้าเข้าสู่สมรภูมิรบที่ทุกฝ่ายต่างสูญเสีย ความแตกต่างไม่ใช่แค่ก่อสงครามระหว่างมนุษย์กับ mutant แม้แต่พวกเดียวกันอย่าง mutant กับ mutant ที่มีความคิดนโยบายต่างกันก็ยังต้องมาเข่นฆ่ากัน ก็เพียงเพราะไม่สามารถเรียนรู้ที่จะยอมรับความแตกต่างของกันและกัน
... สำหรับคนดู x-men ย่อมอยากเห็นว่า มีตัวละครใหม่ๆตัวไหนบ้างที่ได้มาโชว์ความสามารถพิเศษ ในภาคนี้มีการเสริมทัพมากหน้าหลายตา แต่ว่าตัวละครที่โผล่มามีบทบาทเด่นในหนังจริงๆ มีแค่
Beast บุรุษขนสีฟ้าผู้มีตำแหน่งสำคัญในฝ่ายรัฐบาล
และ
Kitty Pride ที่มามีบทบาทมากขึ้นในการมาเป็นกิ๊กใหม่ของ iceman
ในขณะที่หน้าใหม่ส่วนที่เหลือขนทัพมาเป็นจำนวนมาก แต่มีบทบาทเพียงเพื่อแค่มาโชว์ตัว เช่น Angel ที่แค่โผล่มาบอกว่า ฉันไม่อยากเป็นแบบนี้ >> ฉันจะบิน แล้วไปจบลงที่ บินมารับพ่อ , Juggernaut ( แฟนบอลจับตาดูให้ดีเพราะนี่คืออดีตนักเตะจอมซ่า Vinnie Jones), Multiple Man มาเพื่อหลอกล่อ 1 ฉากแล้วจากไป และ อื่นๆอีกเช่น Colossus , Sentinel , Psylocke , Callisto ฯลฯ
การที่ตัวละครหน้าใหม่หลายคนได้โผล่มาแค่ไม่กี่นาทีก็น่าเห็นใจ แต่เหลียวมาดูคนเก่าๆเองก็ใช่ว่าจะมีชีวิตอยู่ยืนยาว เพราะในภาคนี้คนเขียนบทใจกล้าถอดตัวละครออกไปจากหนัง ด้วยการฆ่าตัวละครสำคัญๆให้ตายลงได้อย่างไร้เยื่อใย หรือ หากไม่ตายก็ถูกถอดสถานภาพความ mutant ลงกลายเป็นมนุษย์ธรรมดา ซึ่งความเลือดเย็นของคนเขียนบทนี้มีผลดีต่อตัวหนังตรงที่ว่า มันทำให้สถานการณ์ในหนังบีบคั้นกดดันมากขึ้นและมันทำให้หนังไม่ได้มีตอนจบแบบให้เราเดาได้ง่ายจนเกินไป
Cyclops & Storm
Cyclops ก็ยังคงไม่ได้เป็นตัวเอกเหมือนที่ผ่านๆมาเหมือนในการ์ตูน แถมยังดูทรุดโทรมและแทบจะไม่ได้ใช้พลังอะไรในภาคนี้ ใครเป็นแฟน Cyclops ต้องเผื่อทำใจผิดหวังกับบทบาทที่โผล่มาน้อยกว่าตัวละครใหม่ๆเสียด้วยซ้ำ
Halle Berry ให้สัมภาษณ์ว่าในภาคนี้เธอมีบทบาทมากยิ่งขึ้น แต่ดูๆแล้ว บท Storm ของเธอก็ยังดูเป็นบทสมทบที่เด่นน้อยสุดในบรรดาแกนนำ แว่วมาว่า ในภาคหน้าหากยังมีตัวละครนี้อีก เราจะไม่ได้เห็นเธอในบทนี้อีกแล้ว
Pyro & Iceman
คู่หูดูโอ น้ำ-ไฟ สะท้านใจสาว มีบทบาทมากขึ้น แต่ผมกลับรู้สึกว่าทั้งคู่ไม่สามารถแสดงความเด่นหรือความสามารถทางด้านการแสดงออกมาได้ดีพอ เมื่อต้องมาเดินชนไหล่กับนักแสดงยอดฝีมือมากหน้าหลายตาในเรื่อง ทั้งคู่จึงมีดีแค่ปล่อยไฟกับพ่นน้ำแข็งเท่านั้น
Mystique
ด้วยชะตากรรมอันอาภัพแต่ภาคนี้เราจะได้เห็นเธอเป็น x women กันเสียที Rebecca Romijn หุ่นดีและสวยมากในภาคนี้
Rouge
ในขณะที่ใครๆต่างก็หวาดกลัวและต่อต้านการใช้ยา ดูเหมือนว่า Rouge(Anna Paquin) อาจจะดูเป็นตัวละครที่ผ่าเหล่าผ่ากอ และ ดูอ่อนแอ เมื่อเธอตัดสินใจยอมไปรับยาเพื่อให้ตัวเองหมดสภาพจากการกลายเป็น mutant เพียงเพราะว่า ความรัก เธอเป็นตัวละครหนึ่งที่การมีพลังพิเศษที่มุมหนึ่งใครมองก็ดูเหมือนว่าจะดี แต่ในมุมกลับกันมันกลับทำลายชีวิตเธอให้ต้องตกอยู่ในชะตากรรมไม่ต่างอะไรไปจาก คนพิการ
ใครเลยจะอยากเกิดมาตาบอดมองไม่เห็นคนที่ตัวเองรัก ใครเลยจะอยากเกิดมาแขนพิการไม่สามารถโอบกอดคนรักตัวเอง เช่นเดียวกัน Rouge ที่ชีวิตเธอไม่สามารถจะสัมผัสความรักความอบอุ่นจากคนรักได้ ดังนั้นสิ่งที่เธอเลือกคงไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นหนึ่งในการต่อสู้เพื่อเอาชนะโชคชะตาที่ถูกกำหนดมาของตัวเอง เธอพยายามที่จะสร้างทางเลือกของชีวิตให้กับตัวเอง
Wolverine ทักเธอก่อนออกจากโรงเรียนเพื่อไปเปลี่ยนแปลงตัวเองว่า การตัดสินใจครั้งนี้ขอให้ตัดสินใจเพราะตัวเธอไม่ใช่เพราะคนอื่น
คนเรามักคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อคนอื่นอยู่เนืองๆ เรามีชีวิตให้คนอื่นมากจนเกินไป จนเมื่อใครบางคนจากเราไป เราจึงลืมการใช้ชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง
Xavier & Magneto
สองสหายเก่าที่เคยมีอุดมการณ์ร่วมกันแต่สุดท้ายต้องแยกย้ายตามนโยบายตัวเอง อย่าง Magneto (Ian McKellen) Xavier (Patrick Stewart) เป็นการคัดเลือกตัวละครที่เหมาะสมอย่างยิ่ง สองแกนนำของสองฟากฝั่งแม้จะดูว่าเดินเกมส์ต่างนโยบายแต่ทั้งคู่ก็ดูมีความผูกพันมีเยื่อใยมิตรภาพต่อกัน และ ในภาคนี้เราจะเห็นเทคโนโลยีของโลกเซลลูลอยด์ที่บันดาลให้ ความหนุ่มความเด้งปรากฎบนใบหน้าของทั้งคู่ในฉากเปิดเรื่อง ที่ย้อนความไปหลายสิบปีก่อนตอนที่ทั้งคู่ยังเป็นเพื่อนกัน
Wolverine
ตัวละครหลักสำคัญในหนังยังคงเป็น Wolverine ซึ่งก็คงเป็นเพราะคาแรกเตอร์ตัวละครที่หนังสามารถเล่นกับฉากแอคชั่นได้สนุกกว่า Cyclops บวกกับเสน่ห์แบบแมนๆของ Hugh Jackman จนทำให้เขาสามารถสร้างแฟรนไชส์หนังเป็นของตัวเองได้ โดยหนังที่จะสร้างออกมาก็คาดกันว่าจะเป็นชื่อ Wolverine ในภาคนี้เขาเองต้องมามีบทบาทมากขึ้น จากเดิมที่เป็นเหมือนคนนอกแต่ในภาคนี้เขาเป็นคนในและเป็นผู้นำของทีม X men อย่างเต็มตัว
Jean Grey / Dark phoenix
ถึง Wolverine จะเป็นตัวเอก แต่ นักแสดงที่เป็นจุดโฟกัสของผมและคิดว่าเธอ x สมกับ x men มาตั้งแต่ภาคแรกกลับเป็น Jean Grey และดีใจเป็นพิเศษเมื่อภาคนี้เธอได้มีบทบาทมากขึ้นจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของเรื่อง กับการถือกำเนิดใหม่ เป็น Dark phoenix
การกำเนิดของ Dark phoenix นี่เองเป็นปมทางจิตวิทยาที่หนังใส่เข้ามานอกเหนือไปจาก มุมมองความแตกต่างและอคติทางชาติพันธุ์ที่กล่าวไว้ตอนต้น หนังพูดย้ำถึง จิตใต้สำนึกและจิตสำนึกผ่านปากของ Charles Xavier สองครั้ง โดยครั้งหนึ่งเขาพูดสอนนักเรียนเกี่ยวกับคนไข้คนหนึ่งที่สูญเสียสมองส่วนหน้าไป และ อีกครั้งคือการพูดโยงใยไปถึง Jean Grey หรือ Dark phoenix
Jean Grey เป็นเหมือนร่างหนึ่งของเธอที่สามารถควบุคม แรงขับ หรือในทางทฤษฎีจิตวิทยาของ Freud เรียกว่า drive ในตัวมนุษย์ และ Dark phoenix คือ การปลดปล่อยจิตใต้สำนึกให้ออกมาโลดแล่นใช้ความต้องการอย่างไม่ต้องยับยั้งชั่งใจ
เมื่อเธอกลับมาครั้งนี้เราจึงเห็น ความรุนแรงในการทำลายล้างตามอารมณ์โกรธโดยไม่คำนึงถึงความถูกผิด ไม่คิดว่าคนที่เธอฆ่าจะเป็นใคร(aggressive drive) และ การกระโดดเข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงวูฟเวอรีนแสดงถึงแรงขับทางเพศที่รุนแรงมากขึ้น(sexual drive)โดยเธอไม่คิดจะควบคุมเหมือนที่ผ่านๆมา
การมีตัวตนของ Jean Grey ก็เป็นการมีสองบุคลิกไม่ต่างจาก ตัวละครอย่าง Jekyll and Hyde และ จะว่าไป มันก็ไม่ต่างจากเราๆทุกคนที่ย่อมต้องมี drive แต่เราจะบริหารจัดการมันได้อย่างเหมาะสมหรือไม่ เหมือนกับคำถามที่ Charles Xavier ถาม Jean Grey ถึงพลังในตัวเธอว่า
เราเองจะเป็นคนคุมพลังเหล่านี้หรือปล่อยให้พลังนี้ควบคุมเรา
..พลังที่เขาพูดถึงมันก็มีความหมายถึง drive ของมนุษย์เราดีๆนี่เอง หากเรามีความปรารถนาที่มากมายอยู่ภายใน เราจะปล่อยให้แรงปรารถนานั้นคุมเรา หรือไม่ ตัวอย่างของคนที่ปล่อยให้ ความปรารถนาหรือแรงขับมีอิทธิพลเหนือชีวิตก็เช่น หลายคนที่ชีวิตจมจ่อมอยู่กับความรักแบบไม่ลืมหูลืมตา บางคนที่ผิดลูกผิดเมียชู้สาวเพราะกิเลสตัณหาที่ไม่อาจห้ามใจ หลายชีวิตที่หวังความก้าวหน้าในวิชาชีพจนต้องสูญเสียชีวิตส่วนตัวและคนรอบข้างไป หรือ เราจะเลือกควบคุมมันไว้ ปล่อยให้มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต
ความหมายของ พลัง ไม่ได้หมายถึงแค่ แรงขับในความหมายทางจิตวิทยา แต่มันยังหมายถึง อำนาจในความหมายทางสังคมวิทยา หากเมื่อใดก็ตามที่เรามีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เราจะเลือกใช้มันอย่างเหมาะสมสร้างความดีให้กับสังคม ให้กับประเทศ หรือ เราจะปล่อยให้พลังอำนาจควบคุมเราและหลงระเริงไปกับมันในการใช้อำนาจ หาผลประโยชน์ใส่ตัวเป็นคนสองหน้า หน้าหนึ่งหลอกประชาชนว่ารักชาติ แต่อีกหนึ่งหน้ากลับใช้อำนาจเผาผลาญเงินงบประมาณอย่างเพลินมือ
(มีต่อ)
แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 49 23:58:06
แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 49 15:29:39
แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 49 10:56:42
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
31 พ.ค. 49 10:54:43
]