ความคิดเห็นที่ 51
ขออภัยในความล่าช้า เนื่องจากดรังค์มากไปนิด กว่าจะฟื้นก็ต้องยกเลิกนัดกับตาวัชไปด้วย (นี่ยังนึกว่าจะมีคนเอาเรามาเผาแล้วนะเนี่ย) ตามสัญญาจ้า
วิจารณ์ City of The Gods Rating: PG-13 สำหรับฉากความรุนแรง การสังเวยมนุษย์ การกินเนื้อคน
เรื่องราวของ City of The Gods เกิดขึ้นในช่วงซีซั่น 5 หลังตอน 2001 ซึ่งมีการพูดถึง Senator Kinsey ซึ่งกำลังตามบี้เรื่องที่แซมทิ้ง Ambassador Faxon ไว้บนดาวของพวก Aschen เนื้อเรื่องดำเนินต่อเนื่องจากตอน Crystal Skull ในซีซั่น 4
Sonny Whitelaw แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นแฟนของ Stargate SG-1 คนหนึ่งเพราะเธอสามารถเขียนเรื่องออกมาให้ตัวละครทุกตัวคงบุคลิกของตัวเองได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน นอกจากนี้ยังมีการเท้าความถึงตอนเก่าๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น Children of the gods, The Torment of Tantalus, Fire and water, Hathor, Singularity, Enigma, Solitudes, In the Line of Duty, Need, 1969, Learning Curve, Point of View, Forever in a day, Jolinars Memory/The Devil you know, Crystal Skull, Upgrades, Tangent, Absolute Power, Entity, Ascension, Between Two Fires, 2001 (เรียกได้ว่ามีการอ้างถึงตอนต่างๆ ครบทุกซีซั่นเลย) หรือแม้กระทั่งการอ้างถึงเหตุการณ์ใน Sacrifice Moon นิยายเล่มที่สอง (ซึ่งเรายังไม่ได้อ่าน เลยขอจัดเป็นข้อเสียเพราะงงมากเวลาที่แซมและแดเนียลหวนคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่เลวร้ายบนดาวของกูลด์ Arthemis และที่สำคัญพูดถึงบ่อยมากเกินไปหน่อย) จะมีข้อผิดพลาดที่สำคัญก็คือมีการเรียกชื่อตัวละครผิดเด่นชัดหนึ่งตัวคือ Orlin จาก Ascension ที่ในเรื่องเรียก Orlan ตลอดเวลา เนื้อเรื่องยังชี้ให้เห็นผลกระทบต่อเนื่องต่อแจ๊ค แซมและทีลค์จากความทรงจำที่ถูกฝังไว้ในตอน Fire and Water รวมทั้งที่ Netu เมื่อเห็นสภาพบนดวงดาว ความหนาวเย็นที่ทำให้ย้อนนึกไปถึง Solitudes ภาพภูเขาไฟระเบิดและสภาพดาวที่กำลังจะแตกซึ่งทำให้นึกถึงเหตุการณ์บน Tollan ใน Enigma
มีการกล่าวถึง Furling ด้วย เพราะแดเนียลสันนิษฐานว่าระบบเดินทางโดย Crystal Skull นั้นน่าจะคิดค้นขึ้นโดยพวก Furlings และทิ้งเทคโนโลยีนี้ไว้ให้พวก Omeyocan (Misty Giant) รับผิดชอบต่อ แต่ก็ไม่ได้มีการอธิบายให้แน่ชัดว่าแท้จริงแล้วพวก Omeyocan นั้นเป็นเพียงเทคโนโลยีโปรแกรมที่ตอบสนองได้ที่สร้างขึ้นโดยพวก Furlings หรือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์หนึ่งจริงๆ โดยตลอดเรื่องจะพูดถึงว่าแดเนียลสงสัยว่า Omeyocan จะเป็นเพียงโปรแกรมฮอโลกราฟิกที่สร้างขึ้นให้ตอบโต้ได้ แต่พอตอนหลังๆ ที่ Quetzalcoatl มีการโกรธได้ และยังมีพวก Omeyocan โผล่มาสู้กับพวกกูลด์ตอนจบยิ่งทำให้แดเนียลสงสัยในทฤษฎีโปรแกรมที่เขาคิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีการกล่าวสรุปว่าแท้จริงแล้ว Omeyocan คือใคร มาจากไหนเกี่ยวข้องกับพวก Furlings อย่างไรและ Crystal Skull สร้างขึ้นโดย Furlings จริงหรือไม่
เนื้อเรื่องที่เป็นตำนานของชาวมายานั้นเข้าใจได้ค่อนข้างยากมาก อาจจะเพราะว่าตำนานของชาวมายาไม่เป็นที่คุ้นเคยสำหรับเราซักเท่าไหร่ มีเทพเจ้าที่ถูกกล่าวถึงและมีบทบาทอยู่หลายตัว รวมทั้งชื่อเทพเจ้าต่างๆ ที่อ่านยากชนิดไม่สามารถอ่านออกเสียงได้ แม้จะพยายามออกเสียงในใจ การกล่าวเชิงเปรียบเปรยของตำนาน การเล่าเรื่องตำนานหรือการอธิบายเทคโนโลยีต่างๆ รวมทั้งภูมิประเทศใช้คำศัพท์ยาก และศัพท์เทคนิคทางธรณีวิทยาเพื่อบรรยายปรากฏการณ์ในขณะนั้น จนทำให้นึกภาพตามไม่ค่อยออก (แล้วเราเป็นพวกอ่านไม่เปิดดิคน่ะ เลยงงๆ ไปกันใหญ่)
นี่อาจจะเป็นเรื่องแรกของ SG-1 ที่มีคนตายมากขนาดนี้คือจากจำนวนประชากรทั้งหมดประมาณสองล้านคน มีผู้รอดชีวิตในท้ายที่สุดเพียงสองแสนห้าหมื่นคนเท่านั้น และภาพการสังหารหมู่ที่น่าสยดสยอง ถึงแม้จะเป็นการตายด้วยความเต็มใจเพื่อพระเจ้า แต่ก็ถือว่า disturbing มากๆ ภาพหัวกะโหลกนับพันที่เรียงรายในถ้ำกะโหลกพร้อมทั้งศพที่ถูกสังเวย กลิ่นคาวเลือดและความตาย ภาพที่บรรยายว่าแซมมองเห็นขั้นบันไดปูด้วยพรมแดงซึ่งแท้ที่จริงคือเลือด ภาพผู้คนต่อคิวเข้าแถวกันเพื่อให้ Fire Priests ฆ่าสังเวยเพื่อให้ได้ไปอยู่กับพระเจ้า ภาพ Fire Priest เต้นระบำในชุดหนังคนที่ทำให้มองเห็นว่ามีมือและเท้าที่สามที่สี่ยื่นออกมาและถือหัวคนไว้เหนือหัว ภาพเหล่านี้ล้วนแล้วแต่น่าสยดสยองเกินคำบรรยาย นี่ยังไม่รวมถึงความจริงที่ว่าสังคมชาว Aztecs เป็นพวกกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง และการกล่าวเป็นนัยถึงสองครั้งว่า Wodeski บ้าคลั่งถึงขนาดทดลองกินเนื้อคนด้วย (หนวดเครา ฟันและเหงือกของ Wodeski แดงฉานไปด้วยเลือดเมื่อคณะของ SG-1 ขึ้นไปพบเขาบนยอดปิระมิดแห่งดวงอาทิตย์) เนื้อหาเรียกว่าไม่เหมาะสมสำหรับเด็กอย่างรุนแรง รับเรท PG-13 จากเราไปเต็มๆ
แต่เนื้อเรื่องโดยรวมนั้นตื่นเต้นเร้าใจชนิดไม่ต้องหลับต้องนอน ถ้าเอาไปทำหนังได้จริงก็คงสนุกติดลมบน (แต่คงเปลืองน้ำแดงพิลึก เพราะเลือดนองไปหมด) แต่ว่าผู้เขียนก็ละหลายตอนไว้ในฐานที่เข้าใจจนเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนสุดท้ายเรื่องหลังจากที่แจ๊คเจอ Crystal Skull อันที่ห้าแล้วก็ตัดทิ้งไปเฉยๆ ทั้งๆ ที่การอพยพไม่ได้ราบเรียบง่ายดาย ซึ่งเราคิดว่าควรจะเขียนเพิ่มได้อีกบทหรือสองบทด้วยซ้ำ ซึ่งสามารถเพิ่มความตื่นเต้นลุ้นระทึกได้อีกด้วย ทำให้รู้สึกว่า Anti-climax นิดหน่อย และรีบจบไปนิดนึง
ในฐานะ Shipper คนหนึ่ง อย่างหนึ่งที่เราแปลกใจในการอ่าน City of The Gods ก็คือ ผู้เขียนเขียนความสัมพันธ์ระหว่างแจ๊คกับแซมลงไปด้วยพอสมควร ทั้งๆ ที่เราไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอในนิยายเพราะแน่นอนว่าผู้ไม่ชอบแนวทางนี้ของ SG-1 นั้นก็มีอยู่ไม่น้อย ถึงแม้จะไม่ได้เด่นชัดชนิดที่ถ้าเป็นแฟนฟิกก็ต้องติดเรท Very very mild S/J ทีเดียว แต่ถ้าอ่านก็จะเข้าใจได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นฉากที่แจ๊คไม่ยอมทิ้งแซมที่ติดอยู่ใต้ FRED ไปซึ่งเรียกว่า recap มาจาก Upgrades เลยก็ว่าได้ หรือแม้กระทั่งตอนบทนำที่แซมเอาแต่คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับแจ๊ค คำเชิญชวนไปตกปลาและแซมก็เกือบจะตกปากรับคำเชิญนั้น และตอนสุดท้ายที่แจ๊คพบกับแซมที่ SGC และรู้ว่าเธอไม่ได้ตาย สายตาที่ขออนุญาตกับแฮมมอนด์ ต่างๆ นาๆ นี้ล้วนชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของตัวละครทั้งคู่ ซึ่งถ้านับว่าเรื่องราวของ City of The Gods นั้นเกิดในซีซั่น 5 แล้วก็ไม่น่าแปลกใจที่ความสัมพันธ์ดังกล่าวพัฒนามาจนถึงขั้นนี้ แล้วผู้เขียนก็แทรกลงไปในเนื้อหาได้อย่างแนบเนียนและไม่น่าเกลียด
โดยรวมแล้วต้องบอกว่า City of the Gods นั้นคุ้มค่าสำหรับการอดหลับอดนอนอ่าน เนื้อเรื่องทำได้สนุกและตื่นเต้นลุ้นระทึกตามไปด้วย การอ่านรอบสองในการทำสรุปเรื่องนั้น ทำให้เราเข้าใจเกี่ยวกับตำนานเทพเจ้าของมายาได้มากขึ้นกว่าการอ่านรอบแรก (แต่ก็ยังอ่านชื่อเทพเจ้าไม่ออกอยู่ดี) นอกจากนี้ตอนท้ายเล่มยังมี Mission Report ของแดเนียลเพิ่มเติมไว้ด้วย ซึ่งนอกจากจะอธิบายเกี่ยวกับตำนานเทพเจ้ามายาและสังคมวัฒนธรรมมายาแล้ว ยังมีการเขียนภาพแผนผังที่ตั้งของวิหารแห่ง Quetzalcoatl ปิระมิดแห่งดวงอาทิตย์และปิระมิดแห่งดวงจันทร์ไว้ ทำให้จินตนาการภาพเมือง Teotihaucan ได้ง่ายขึ้น สรุปแล้วว่า City of the Gods นั้นคุ้มค่าเงิน 1,201 เยน หรือเทียบเท่าเกือบสี่ร้อยบาท ที่เสียไปสำหรับเรา (แต่จริงๆ แล้วสำหรับเรา ถ้าเป็นการเสียตังค์เพื่อสตาร์เกทล่ะก็ เท่าไหร่ก็คุ้มอย่างที่รู้ๆ กัน เหะๆๆ) แต่เนื่องจากว่าเป็นเรื่องแรกที่อ่านก็คงจะเปรียบเทียบกับเล่มอื่นๆ ยังไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ City of The Gods มีเนื้อหาที่เข้มข้นและดีกว่าแฟนฟิกที่อ่านตามเวปทั่วไปอย่างไม่เห็นฝุ่นแน่นอน
สำหรับโปรเจ็คต่อไปคือ Trial by Fire (#1) โปรดติดตามผลงานต่อไปนะจ๊ะ
จากคุณ :
SG_Niner
- [
26 ก.ค. 49 19:32:40
]
|
|
|