CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    หวานมันส์ .... ชำแหละหนัง: United 93,ภาพยนตร์ที่อธิบายได้ยิ่งกว่าคำพูด

      10 - 9.5 / 10 (6 คน)
      9 - 8.5 / 10 (2 คน)
      8 - 7.5 / 10 (0 คน)
      7 - 6.5 / 10 (0 คน)
      6 - 5.5 / 10 (1 คน)
      5 - 4.5 / 10 (0 คน)
      4 - 3.5 / 10 (0 คน)
      3 - 2.5 / 10 (0 คน)
      2 - 1.5 / 10 (0 คน)
      1 - 0 / 10 (0 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 9 คน

     66.67%
     22.22%
     0.00%
     0.00%
     11.11%
     0.00%
     0.00%
     0.00%
     0.00%
     0.00%


    [มีSPOILเล็กๆนะครับ บางทีอาจจะใหญ่กว่าสำหรับบางคนก็ได้]

    .... ผมยังจำได้ ในวันที่11 กันยายน ปี 2001 สมัยนั้นผมยังอยู่ม.2 ตอนนั้นผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย ผมกำลังดูช่องอะไร
    บางอย่างเนี๊ยแหละ ประมาณซักหัวค่ำ แม่ผมเคาะประตู แล้วแม่ก็บอกว่าให้เปิดช่อง9 ผมก็งงๆมันอะไรกัน แถมหน้า
    -ตาแม่ผมกลุ้มใจอะไรบางอย่าง พอผมได้เกิดช่อง ผมเห็นสิ่งๆนึงที่ผมไม่เคยคาดคิดในชีวิตนี้ ว่าจะได้เห็น นั่นคือ
    ภาพตึกเวิล์ดเทรด มีควันดำๆออกมาจากตึก ด้วยสาเหตุการชนจากเครื่องบิน ที่ยิ่งร้ายไปกว่านั้นคือ เครื่องบินลำที่2
    ก็มาพุ่งชนตึกเวิล์ดเทรด ทำให้ตึกเวิล์ดเทรดต้องพินาศไป ที่รู้ๆคือ อีกที่ก็ถูกลำที่3ชนด้วยนั่นคือ แพนดากอน อีก-
    เรื่องที่ผมรู้คือ ที่ทำเนียบขาว เกือบถูกเครื่องบินลำที่4ชน แต่ไม่สำเร็จ เพราะลำที่4ไปตกที่ทุ่งไร่ Pansyvania ครับ
    สิ่งคือเรื่องราวในวันที่ 11 ก.ย. เป็นเหตุการณ์ที่ผมรู้สึกเปลี่ยนแปลงชีวิตผม ชีวิตครอบครัว และ ชีวิตโลก ตลอดไป
    เลยล่ะครับ โดยเฉพาะแม่ผม ปม่ค่อยได้ฟังวิทยุมากเท่าไหร่ แต่เมื่อเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้น มันทำให้แม่ต้องที่จะรู้
    เรื่องรอบๆตัว รอบๆโลกมากขึ้น และผมเองก็อยากจะเข้าใจเรื่องราวของ คนที่เป็นเหยื่อของเหตุการณ์ คนที่สูญเสีย
    คนที่รัก คนที่เสียสละ คนพยายามจะช่วยคน และคนที่บงการ ว่าความรู้สึกของพวกเขานั้น มันสำคัญกับพวกเขา
    มากน้อยแค่ไหน กับสิ่งที่เกิดขึ้น

    .... เรื่องราวที่ผมครุ่นคิดมาตลอดเลยก็คือ เครื่องบินลำที่4 UA93 (United 93) หรือ Flight 93 ที่เป็นลำเดียว ที่ไม่
    สามารถ ไปถึงเป้าหมายได้ มันเกิดอะไรขึ้นในนั้น มันเป็นยังไงกันแน่ และความจริงมันควรจะเป็นยังไง????

    .... ผกก.Paul Greengrass จากหนัง Drama ผสมความเป็นสารคดีอย่าง Bloody Sunday และ หนังภาคต่อที่หนุก
    กว่าภาคแรกอย่าง The Bourne Supremacy ขอทำหนังที่เกี่ยวกับเรื่องราวของเหตุการณ์ที่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไร
    กับเหตุการณ์นี้ เขาพยายามจะถ่ายทอดให้ออกมาได้ดีที่สุดเท่าที่เขาทำได้ในชีวิต!!!!!

    .... United 93 ถือเป็นงานช้างมากๆของผกก. Paul Greengrass เพราะไม่ใช่แค่เล่าเรื่องของหนังอย่างเดียว แต่จะ
    ทำยังไงให้คนดูมีอารมณ์ร่วมไปกับมันด้วยล่ะ??? ซึ่งสิ่งที่เขาพยายามจะทำให้หนังมันสมจริงได้ ต้องทำการบ้าน
    แบบสุดๆเลย ต้องไปสัมภาษณ์บรรดาญาติๆ ของแต่ละคนใน Flight United Airline 93 ว่าลักษณะของบุคคลคนนั้น
    เป็นยังไง และตอนที่เกิดเหตุวันที่11กันยายน พวกเขา(คนในFlight)ได้โทรมาญาติๆด้วย ซึ่งนี่น่าจะเป็นข้อมูลที่
    สร้างหนังขึ้นมาได้ รวมทั้งต้องเจาะลึกเรื่องราวของพวกโหบังคับการจราจรอากาศด้วย เพื่อให้ Timeline ไปตาม
    ตรงๆ และดูไม่หลอกคนดูไป

    .... ก็เล่าเรื่องของหนังอย่างที่บอกมันพยายามจะตรงมากๆกับเรื่องราวในวันนั้นเลย แต่หนังมีจุดเริ่มต้นที่ดีและ
    ให้อารมณ์กับคนดูตั้งแต่ต้นเรื่องเลย เรื่องราวได้เริ่มต้นที่4ผู้การร้ายที่กำลังสวดมนต์และภาวนากับสิ่งที่ตัวเองกำลัง
    จะทำให้ไปสู่ไปหมายที่สำเร็จ ผมว่าแค่ตอนเริ่มต้นผกก. Paul Greengrass ถ่ายทอดก็เข้าถึงอารมณ์แล้ว หนังอาจ
    มีกลิ่นอายจาก Bloody Sunday นิดๆนะ แต่ถือว่าทำได้เข้าท่ามากๆ เพราะเป็นการเกริ่นเล็กน้อย ของเรื่องราวที่มา
    นิดนึง

    .... อยากจะบอกว่าหนังทำได้ซื่อตรงมากๆในหลายๆจุด จุดนึงที่ผมว่าดีก็คือ นำเรื่องราวของหอบัญชาการอากาศ
    แห่งชาติ มาเกี่ยวข้องด้วยซึ่ง ผมทึ่งมากๆ ที่ Paul สามารถนำตัวจริงๆของคนที่หอบัญชาการทุกๆคนที่เคยเจอกับ
    เหตุการณ์ครั้งนั้น มาร่วมแสดงด้วยและมันก็สมจริงแบบ Realistic จริงๆ จนยอมรับเลยว่า พี่แกเล่าเรื่องได้เฉียบ
    คมมากๆ แถมมันสมจริงจนเข้าถึงอารมณ์มากๆ เราได้รู้ถึงคนในกลุ่มนี้ด้วยว่า พวกเขายุ่งแค่ไหน กับการที่ต้อง
    มาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ จนให้ความรู้สึกว่า พวกเขากำลังรบกลับใครอย่างจริงๆจังๆเหลือเกิน ซึ่งผมชอบส่วนนี้
    ของหนังนะ มันไม่ไปปรุงแต่งอะไรมาก และก็ให้ความสมจริงแบบเหตุการณ์ถึงเหตุการณ์เลย ผมต้องยอมรับ
    ผกก.เลยว่า ทำจุดนี้ได้สมจริงเหลือเกิน จนมันอธิบายได้มากกว่าคำพูดซะอีก!!!!

    .... เรื่องราวในเที่ยวบิน United Airline 93 อยากบอกว่ามันคือแก่นสำคัญจริงๆ ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องราวต้องเกี่ยว
    กับเที่ยวบินนี้ แต่ยอมรับว่าทีมสร้างของหนังและตัวผกก.ให้ความสำคัญกับเที่ยวบินนี้มากๆ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร
    ก็แล้วแต่ ที่ถ่ายทอดสู่ภาพยนตร์ ถือว่าทางทีมสร้างได้สร้างการให้เกียรติต่อผู้โดยสารและลูกเรือ ในเที่ยวบินนั้น
    อย่างมากๆครับ เรื่องราวก็เริ่มต้นจากเช้าฟ้าใสของวันดีๆวันนึงแหละครับ คนที่จะขึ้น Flight ต่างก็จะมีภารกิจ
    ของตัวเอง และก็เป้าหมายของตัวเอง ต่างคนก็ต่างไม่รู้จักกันเลย ซึ่งพวกเขาเองยังไม่รู้ว่า พวกเขากำลังจะเผชิญ
    อะไรในข้างหน้า และมันอาจจะเปลี่ยนชะตากรรมของชีวิตเขาไปตลอดไป แน่นอนว่าตอนแรกๆพวกเขายังไม่
    ทราบเรื่องเกี่ยวกับ ตึก WTC หรอก ว่าตอนนี้เป็นยังไง??? ความจริงเครื่องลำนี้ได้ออกชากว่ากำหนดมากๆ ทำให้
    อาจจะทราบข่าวได้คลาดเคลื่อนหน่อย สิ่งนึงก่อนที่บรรดาผู้ก่อการร้ายทั้ง4คน จะเริ่มภารกิจทุกๆอย่างก็สงบดี
    เหมือนการบินทั่วไป จนกระทั่งพอพวกเขาเริ่มทำ มันก็ให้ความรู้สึกเริ่มผวาโดยตรงไปเลย แบบว่าเหมือนเรา
    เจอแบบเขาเลย จนเหมือนว่าความรู้สึกมันทำอะไรไม่ถูกจริงๆ และทุกๆอย่างมันนิ่งไปหมดคิดอะไรไม่ออก
    มันจึงเป็นวินาทีของความตรึงเครียดที่สมจริงกับหนังเรื่องนี้เลย ที่อาดีนารีนในตัวสูบฉีดแบบสุดๆน่ะครับ

    .... เมื่อเครื่องบินลำนี้ได้เลี้ยวไปอีกเส้นทางนึง ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือได้สงสัยและครุ่นคิดว่า พวกมันกำลัง
    เปลี่ยนเส้นทางการบินไปทำไมล่ะ??? พวกมันต้องการอะไร เมื่อ1ผู้โดยสารคนนึง สามารถโทรออกไปได้ก็ได้
    รู้แล้วว่าตอนนี้มีเครื่องบิน2ลำได้พุ่งชน ตึกWTCไปเรียบร้อย และตอนนี้มันก็ไปชนที่ Pendagon ด้วย ทำให้พวก
    เขาคิดว่า "พวกมันคงไม่ปล่อยพวกเราไปแน่???" ทำให้ทุกๆคนมีความคิดว่า "พวกเราต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว
    แหละ???" พวกเขาเองต่างก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับชะตากรรมของพวกเขา พวกเขาจึงมีอาการไม่แน่ใจ-
    กัน และก็คิดว่า ควรจะบอกลาและรัก กับคนที่พวกเขารักที่สุด นี่จึงเป็นนาทีแห่งการเห็นใจคนใน Flight นี่ก็ว่าได้
    เพราะว่าเรื่องราวส่วนนี้มัน Touch มากๆ จนแบบว่าอยากให้พวกเขารอด แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรมัน-
    ได้ มีคนนึงที่ผมจะน้ำตาไหลให้เขามากที่สุดก็คงเป็น วัยรุ่นสาวคนนึง ที่มา Flight นี้และก็ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอ
    กับเรื่องแบบนี้ และก็ไม่คิดว่าชะตากรรมของตัวเองจะเป็นแบบนี้ เธอจึงโทรหาแม่เลี้ยงขอเธอ ตรงนี้แหละครับ
    ผมน้ำตาไหลสุดๆ เพราะเธอยังเยาว์วัยอยู่ที่ต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ มันจึงกลายเป็นช่วงเวลาที่คนเราเหมือน
    ใกล้เข้าเส้นตายจริงๆ ว่ามันเป็นยังไง!!!!

    .... และในที่สุดช่วงเวลาสำคัญก็มาถึง 15นาทีสุดท้ายของหนัง มันจะเป็นช่วงเวลาที่ผมบอกได้เลย พูดอธิบายมันก็
    คงไม่รู้สึกอะไรมากหรอก ซึ่งตัวคุณเองต้องสัมผัมกับตัวหนังเองถึงจะรู้ว่าเป็นยังไง???? อยากบอกว่าช่วงเวลาที่ผู้-
    โดยสารและลูกเรือ ได้หึดสู้กับพวกผู้การก่อการร้ายมันหลากอารมณ์ อยากบอกว่าช่วงเวลา15นาทีของหนังตรงนี้
    มันสุดๆๆๆ และทรงพลังมากๆ ที่สื่ออกมาแบบนี้ จนกดดันความรู้สึกตัวละครในเรื่องและคนดูได้เลยว่า มันเหมือน
    ภาพที่เรารู้สึกถึงมันได้สุดๆ เราได้เห็นความกล้าหาญของพวกเขา เราได้เห็นความคิดของคนที่ต้องการจะเปลี่ยน
    โชคชะตามันเป็นยังไง??? และถึงแม้ว่าพวกเขาไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเขาได้ อย่างน้อยเราได้เห็น
    แล้วว่า คนที่มีพยายามและทุ่มสุดตัวเป็นยังไง??? นี่เป็นฉากที่ผมต้องเรียกได้เลยว่า ต้องดูเอง พูดไปไม่รู้หรอก
    เป็นอย่างไร ต้องสัมผัสเองถึงจะเข้าใจความรู้สึกของคนใน Flight นั้น ความกดดันที่อาจจะทำให้คุณหายใจไม่
    ออกแบบสุดขั้วและอาดีนารีนของคุณเองอาจสูบฉีดแบบสุดๆน่ะครับ

    .... โดยรวมแล้วนี่เป็นภาพยนตร์ที่มีทุกๆด้านมากๆ ไม่ว่าจะเป็นบทภาพยนตร์ที่ทรงพลังมากๆ, การถ่ายทำแบบ
    สั่นไหวทำให้กดดันตลอดเวลาในขณะที่ดู, ดนตรีที่สุดจะเร้าอารมณ์ของ John Powell ที่งานนี้พี่แกเล่นทุ่มสุดตัว
    เลย, ความตรึงเครียดแบบสุดขั้วโดยที่ไม่เห็นความบันเทิงเลยซักนิด, บทแปลโดย อณิรุธ ณ สงขลา ที่งานนี้เฮีย
    แก่ทำการบ้านได้ดีมาก, นักแสดงของหนังที่แทบจะไม่มีชื่อเสียงเลย แต่ถ่ายอารมณ์ตัวละครอย่างเร้าใจมากๆ
    และการกำกับของ Paul Greengrass ที่สุดๆไปเลยแบบที่ไม่คิดว่าจะได้สัมผัส อยากบอกว่าถึงแม้เราไม่อาจจะ
    ฟันธงได้ว่าในหนังเป็นเรื่องจริงนึเปล่า แต่สุดท้ายผมอยากบอกว่าหนังทำดีที่สุด ก็เท่านี้แหละครับ

    หวานมันส์ ที่มีรสชาติ คลั่งสิงโตคำราม
    - สุดยอดผลงานการเขียนบทและการกำกับของ Paul Greengrass ที่เขาถ่ายทอดอารมณ์ได้สุดๆถึงขั้วจริงๆ
    - ช่วงเวลาสมจริงในหอบัญชาการอากาศที่เล่าได้ดีมาก
    - ทีมนักแสดงที่ไม่เคยมีผลงานดังๆต่างก็ถ่ายทอดบทบาทของตัวเองสมจริงและยอดเยี่ยมมากๆ
    - ช่วงเวลาที่โทรศัพท์ไปหาคนที่ตัวเองรักเป็นช่วงเวลาที่อยากจะบีบน้ำตาสุดๆในหนัง
    - 15นาทีสุดท้ายอย่างที่ผมกล่าว มันจะตรึงคุณไว้กับที่นั่งคุณจนนั่งไม่ติด แบบมีอารมณ์ร่วมไปด้วย มันเป็นช่วง
    เวลาแบบสุดขั้วมากๆในหนัง และไม่คิดว่าหนังจะทำได้ดีสุดก็ตอนนี้แหละแบบพูดไปมันไม่เท่ากับดูน่ะ
    - หนังที่มี Production ดีที่สุดเรื่องนึงของปีนี้
    - ความกดดันจากการถ่ายทำแบบสั่นไหวที่ให้อารมณ์สุดๆ และก็ตรึงเครียดสุดๆ
    - เมื่อหนังจบความรู้สึกมันก็ยังคงนิ่งอยู่ตรงนั้น คือพอออกจากโรงมันนิ่งมากๆตอนเดินออกไปและยังอินไปกับ
    หนังอยู่เลย คือแบบอารมณ์มันไม่จบจริงๆ
    - เพลงScoreของหนังโดย John Powell ที่อยากจะบอกว่านี่เป็นผลงานการประพันธ์เพลงที่สุดๆของเขาเลย
    ตลอดทั้งปีนี้ เขาก็ได้ทำเพลงให้กับหนังมาแล้วถึง2เรื่องนั่นคือ Ice Age: The Meltdown และ X-Men The Last -
    Stand เรื่องนี้ถือว่าเป็นงานที่พลิกแนวของเขาจริงๆ เพราะอยากจะบอกว่าเพลงในหนังที่เขาทำไป มันทรงพลัง
    มากๆ ทรงพลังแบบว่าให้อารมณ์ความรู้สึกกดดันไปกับเรื่อง และก็สมจริงตามๆกัน โดยเฉพาะ15นาทีสุดท้าย
    ดนตรีช่วงนั้นคือสุดๆของหนังเลยล่ะครับ
    - การแปลบทของ อณิรุธ ณ. สงขลา ที่งานนี้ผมว่าเฮียแก่ทำการบ้านดีจริงๆ ทำให้การแปลเรื่องนี้ออกมาดูแบบ
    จริงจังเลยล่ะครับ

    สรุปแล้ว: ผมไปดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่วันแรกของหนังเรื่องนี้ฉายที่ Scala และอยากบอกว่าความรู้สึกจาก
    การดูหนังเรื่องนี้มันไม่จบจริงๆ และแบบว่าอารมณ์15นาทีสุดท้ายของหนัง มันยังติดอยู่ในใจผมจนไม่อาจ
    ลืมไปได้เนี๊ย คือที่สุดแล้วล่ะครับ รวมถึงการที่ดูโรง Scala กับหนังเรื่องนี้มันก็ให้ Feel ไปกับตัวหนังสุดๆครับ
    ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เป็นผลงานของ Paul Greengrass นั้น กลายเป็นภาพยนตร์ที่ผมชอบที่สุดประจำปีนี้ไปแล้ว
    ตอนนี้ ต่อจาก V For Vendetta, Superman Returns, Pirates of  The Caribbean2 และก็มาถึงเรื่องนี้ นี่กลายเป็น
    หนังเรื่องที่4ประจำปีนี้ที่ผมชอบสุดๆไปเลยครับ และก็เห็นด้วยกับหลายๆคนว่า มีโอกาสเป็นเต็งนึงกับรางวัล
    Oscar ที่จะถึงนี้ ในสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม และผมก็เชื่อว่าเป็นไปได้ที่จะได้ SAG Awards ใน
    สาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยม แบบเดียวกับที่ Crash เคยได้แน่ๆล่ะครับ สำหรับแล้วนี่เป็นหนังเกี่ยวกับวันที่11
    กันยายน แบบเต็มรูปแบบเรื่องแรกที่ทำได้ดีมากๆ อยากบอกว่ามันจะเป็นภาพยนตร์ที่ผมไม่มีวันลืมเลยล่ะ
    ครับ ผมให้เรื่องนี้ 10/10 ครับ แบบที่นักวิจารณ์ทั่วเมกันให้เรื่องนี้เกรด A กันทั้งหมดน่ะครับ

    คราวหน้า: กำลังเขียนโกยเถอะโยมอยู่ครับ คิดว่าน่าจะเสร็จอีกไม่นานนี้ แต่ตอนนี้มี3เรื่อวที่ผมอยากดู
    มากๆคือ The Gig, Snake on a Plane และ Season Change ครับ คิดว่าคงทำได้ดีแน่ๆล่ะครับ แต่ว่าตอนที่ดู
    United 93 ผมอยากจะบอกว่า มันมีการบิวท์อารมณ์ในการอยากดู World Trade Center อีกด้วยครับ

    แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 49 09:35:38

    จากคุณ : billy bob - [ 17 ส.ค. 49 09:33:55 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com