กลับมาคุยกันอีกครั้งนะครับสำหรับหนังเรื่อง Seasons Change หลังจากที่คุยกันมาหนักๆ แล้วรอบหนึ่งตอนหนังเข้าใหม่ๆ ในช่วงสัปดาห์แรก ตอนนี้ก็กลับมาเขียนถึงหนังเรื่องนี้อีกรอบตามที่ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนไว้ตอนที่หนังใกล้ออกโรง ซึ่งตอนนี้เท่าที่ทราบข่าวมาก็คิดว่าอาทิตย์นี้คงเป็นอาทิตย์สุดท้ายแล้วมั้งก่อนที่หนังเรื่องนี้จะลาโรงไป
ที่จะมาคุยกันวันนี้คงเป็นประเด็นเก็บตก ที่จะชวนเพื่อนๆ หลายคนคุยกันซะมากกว่า นอกจากนั้นก็คงคุยในส่วนของประเด็นปลีกย่อยบางส่วนที่เคยคุยๆ กันไป แต่พออ่านมุมมองคนอื่นๆ แล้วทำให้รู้สึกว่ามีมุมมองใหม่ๆ บางส่วนที่ทำให้รู้สึกว่าอยากหยิบยกมาคุยกันอีกสักรอบ ว่าแล้วก็มาคุยกันเลยดีกว่า
การโฆษณาของหนัง
ผมว่าตรงนี้ทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ จากที่อ่านๆ มาผมว่าหลายๆ คนคงรู้สึกเหมือนกันว่าหนังมีประเด็นที่น่าหยิบยกมาโฆษณาหลายต่อหลายจุดมาก แต่จุดที่ฝ่ายตลาดเลือกมาโฆษณากลับเน้นหนักไปตรงจุดความรักของพระเอกซะมากกว่า ว่าจะเลือกใครระหว่าง ... รักครั้งแรก... กับ ... เพื่อนสนิท... แล้วน้ำเสียงก็ฟังดูลังเลๆ เหมือนผู้ชายหลายใจ จับปลาสองมืออะไรทำนองนี้ซะมากกว่า ทั้งๆ ที่ผมมองว่าประเด็นนี้มันไม่ใช่ประเด็นหลักของหนังสักเท่าไหร่ ส่วนตัวยังไงก็มองว่าประเด็นหลักของหนังเรื่องนี้อยู่ที่การเดินตามความฝันมากกว่า
ซึ่งตรงนี้ผมว่าการเติมทางเลือกอีกหนึ่งช่องทางให้กับพระเอก โดยเพิ่ม ... ความฝัน... ขึ้นมาน่าจะช่วยดึงคนดูให้กว้างขึ้นมาได้มากกว่านี้อีกนิด และก็ไม่น่าจะเปลืองเวลาไปอีกสักเท่าไหร่นะสำหรับการทำหนังโฆษณา 15 หรือ 30 วิ เพราะถ้าตัดคำว่า "เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย" ออกไปก็ใส่ได้แล้ว
อันนี้ลองปรับต้นฉบับของหนังโฆษณามาแล้วเติมอะไรไปอีกนิดหน่อยอย่างเช่น
ผมจะเลือกอะไรดีน้า (กรุณาทำเสียงน้าาา ให้เหมือนตาพระเอก) ระหว่างความรักครั้งแรก... (ตัดเอาฉากที่เก็บกระดาษได้แล้วมองไปที่ดาวที่กำลังมองกองกระดาษลอยไปลอยมา) ... เพื่อนสนิท (ฉากป้อมกับอ้อมที่วิ่งไปด้วยกันกลางสายฝน) หรือความฝันของผมเอง (ฉากป้อม ฉัตร เฉด นั่งอยู่กลางสนามบอล ที่ต่างคนต่างมองหาความฝันตรงปลายทางของตัวเอง) แล้วก็ปิดท้ายด้วยชื่อหนัง กับประโยคคมๆ โดนๆ สักประโยคที่ไม่ใช่คำว่า ... เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย... ผมว่าเหลือพอทำโฆษณา 15 วิด้วยซ้ำ
เพราะยอมรับตามตรงว่าส่วนตัวผมเองตอนเห็นโฆษณาหนังเรื่องนี้ในทีวี ไม่มีความคิดที่จะไปดูเลย เพราะดูแล้วรู้สึกว่าเหมือนกับเป็นหนังวัยรุ่นธรรมดา แถมพระเอกยังหลายใจเลือกไม่ถูกว่าจะรักใครดีอีกตะหาก กลายเป็นเกิดอคติด้านลบส่วนตัวเข้าไปซะงั้น และผมก็เชื่อว่าหลายต่อหลายคนที่เลือกที่จะไม่ดูหนังเรื่องนี้ ก็คงเพราะรู้สึกอย่างนี้เช่นกัน
แถมมาเจอประโยคโฆษณาหลักของหนังที่ว่า เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เนี่ย ผมว่ามันเป็นอะไรที่ไร้สาระมากเลยอ่ะ ไม่น่าจะหยิบขึ้นมาโฆษณาเลย จริงอยู่ว่ามันติดปากมากกว่าและเป็นชื่อภาษาไทยของหนัง แต่มันไม่สื่อให้เห็นถึงเนื้อหาที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะสื่อเลยสักนิด ผลที่ตามมาเลยกลายเป็นช่วยตอกย้ำความรู้สึกของคนที่ยังไม่ได้ดูที่อาจจะมีอคติกับหนังวัยรุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วให้เพิ่มมากเข้าไปใหญ่
หลายคนอาจจะถามว่ามันเป็นประเด็นสำคัญมากเหรอ กับการเลือกประโยคสั้นๆ มาโฆษณาหนังเนี่ย ใส่อะไรที่ฟังแล้วติดหูก็น่าจะพอแล้วมั้ง อันนี้ผมก็ขอให้ลองมองย้อนไปดูหนังแนวเีดียวกัน ไม่ใกล้ไม่ไกลเลยก็เรื่อง 'เพื่อนสนิท' เนี่ยแหละ คำโปรยของหนังเรื่องนี้สั้น ๆ ง่ายๆ แต่โดนเหลือหลาย
'เพื่อนรัก' ... 'รักเพื่อน'...
เห็นไหมครับ สั้นๆ แต่โดนไขข้อกระดูกสันหลังของใครหลายต่อหลายคนเลย แถมได้เพลงช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยมาตอกย้ำอีก อาการคนแอบรักเพื่อนแพร่กระจายไปทั่วประเทศเลย อันนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการวางแผนโฆษณาที่ส่งผลดีกับหนังอย่างมากมาย
แต่มาดู Seasons Change ดิ
'เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย' กับการโฆษณาด้วยพระเอกที่เลือกไม่ถูกว่าจะรักใครดี แถมยังเป็นแบบลังเลๆ หลายใจอีกตะหาก ส่วนเพลง ฤดูที่แตกต่าง นั้นก็ี่ฟังยังไงก็ไม่โดนและไม่เข้ากับหนังสักเท่าไหร่นัก สรุปคือการโฆษณาของหนังไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่นักที่จะช่วยดึงคนที่อยู่นอกจุดขาย ให้สนใจเข้ามาดูหนังเลย
แต่ถ้าจะถามผมว่า แล้วถ้างั้นจะเอาประเด็นอะไรมาใช้ล่ะ ส่วนตัวผมคงนำประเด็นเกี่ยวกับการความชอบ หรือความฝันมาผูกเป็นประโยคสั้นๆ คมๆ น่าจะดีกว่า ซึ่งผมว่าไม่น่าเหลือบ่ากว่าแรง เพราะบทในเรื่องนี้ใช้คำแต่ละคำ คมและโดนมากๆ อยู่แล้ว จะคิดประโยคสั้นๆ ที่มันโดนๆ ขึ้นมาสักประโยคไม่น่าจะยากอะไร แต่นี่กลับยึดติดกับการมุ่งให้คนจำชื่อภาษาไทยของหนังให้ได้ซะมากกว่า แถมยังไม่ประสบความสำเร็จอีกต่างหาก เพราะทุกคนต่างเรียกหนังเรื่องนี้ว่า Seasons Change กันทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครเรียกหนังว่าเรื่อง เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เลยสักกะคน แม้จะเป็นคำพูดที่ติดปาก แต่ก็ไม่ได้ส่งผลดีกับหนังมากมายอะไรเลย
เพราะงั้นคะแนนเรื่องการโฆษณา ผมว่าผมให้คะแนนปานกลางค่อนมาทางต่ำเลย จุดขายที่พอเรียกคะแนนให้คนมาดูหนังได้บ้างหลังจากดูโฆษณา น่าจะอยู่ที่หน้าตาของผู้แสดงซะมากกว่า แล้วก็ตามมาด้วยเรื่องภาพ และโทนสีของหนังที่ดูแล้วมันสื่อให้เห็นถึงความตั้งใจของคนทำมากพอสมควร
สุดท้ายหลายคนอาจจะถามผมว่า แล้วทำไมผมนึกยังไงถึงได้เข้าไปดูหนังเรื่องนี้ล่ะ อันนี้ผมก็ตอบตามตรงว่าผมตัดสินใจดูหนังเรื่องนี้เพราะได้ดู MV Seasons Change ครับ ดูแล้วรู้สึกว่าโทนภาพ กับมุมกล้องของหนังเรื่องนี้สวยดี ดูแล้วมันรู้สึกว่าเขาตั้งใจทำดี ก็เลยคิดว่าถ้าว่างๆ คงเข้าไปดู แต่ถ้าไม่ว่างก็คงไม่ไป จึงไม่ใช่หนังที่อยู่ในอารมณ์ที่ว่าต้องไปดู แต่กลายเป็นว่า ถ้าว่างก็จะไปดู อะไรทำนองนั้น แต่สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักเขาจะคิดยังไงอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เท่าที่ดูไม่ค่อยเห็นใครคุยกันเรื่องประเด็นหลักของหนังสักเท่าไหร่นะสำหรับกลุ่มวัยรุ่น เพราะดูแล้วจะไปสนใจกับประเด็นเรื่องความรักที่แทรกอยู่ในเรื่องซะมากกว่า
สุดท้ายก็โชคดีดันมีเวลาว่างอยู่บ้าง ก็เลยได้เข้าไปดู เชื่อมะว่าตอนผมชวนคนข้างตัวว่าไปดูหนังเรื่องนี้กัน เธอยังถามเลย ว่านึกไงจะไปดู จะสนุกเหรอ ??? -*-
สุดท้ายพอหนังจบ ก็อมยิ้มกลับออกมาด้วยกันทั้งคู่ นั้นอาจเป็นเพราะเข้าไปดูในโรงหนังโดยไม่ได้คาดหวังอะไรมากด้วยมั้ง ต้นทุนที่แบกเข้าไปมันเลยต่ำ พอได้ดูเนื้อหนังจริงๆ แล้วก็เลยประทับใจค่อนข้างมาก
==================================================
แล้วเพื่อนๆ คนอื่นละครับ รู้สึกยังไงกับการโฆษณาของหนังเรื่องนี้ ถ้าแก้ได้จะแก้ตรงไหนยังไงครับ
แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 49 12:45:48
แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 49 12:44:28
แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 49 12:26:14
จากคุณ :
Mr. Forever
- [
25 ก.ย. 49 12:23:21
]