CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ; World Trade Center ... บทเรียนราคาแพง ที่แลกได้กับ ความรักอันไม่สามารถประเมินค่า

      เกรด A -> 9-10 คะแนน (0 คน)
      เกรด B -> 7-8 คะแนน (2 คน)
      เกรด C -> 5-6 คะแนน (2 คน)
      เกรด D -> 3-4 คะแนน (0 คน)
      เกรด E -> 1-2 คะแนน (1 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 5 คน

     0.00%
     40.00%
     40.00%
     0.00%
     20.00%


    เวลา 20.00 น. ของวันที่ 11 กันยายน ตามเวลาในไทย ... เวลานั้น ผมกำลังกลับบ้าน หลังจากเพิ่งไปส่งญาติขึ้นรถทัวร์ที่หมอชิต 2
    เวลา 8.00 น. ของวันที่ 11 กันยายน ตามเวลาในอเมริกา ... เวลานั้น คือ ช่วงเช้าที่คนในนิวยอร์ก กำลังเดินทางไปทำงานกันอย่างพลุกพล่านเป็นเรื่องปกติ ทุกอย่างล้วนไม่สัญญาณใดๆที่จะบ่งบอกว่ากำลังเกิดอันตราย

    เวลา 20.30 น. ของวันที่ 11 กันยายน ตามเวลาในไทย ... เวลานั้น ผมกำลังนั่งฟังข่าวทางวิทยุ ข่าวสุดท้ายที่วิทยุรายงาน เป็นข่าวด่วน ที่มีผู้สื่อข่าวรายงานว่า "ขณะนี้ ได้มีเครื่องบินลำหนึ่งพุ่งชนตึกเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์..."
    ผมถึงกับงง และก็คิดไปเองว่า มันกำลังเกิดขึ้นที่บ้านเราแหง  
    เวลา 8.30 น. ของวันที่ 11 กันยายน ตามเวลาในอเมริกา ... ตึกแรกใน 2 ตึกแฝดของ WTC ที่นิวยอร์ค โดนเครื่องบินพาณิชย์ลำหนึ่งชนเข้าอย่างจัง ไปที่ฉงนงงงันของคนทุกคนที่อยู่เบื้องล่างบนถนน ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
    ทำไมเครื่องบินโดยสารถึงได้บินมั่วมาอยู่ท่ามกลางตึกสูงตระหง่านในเมืองนี้ได้ ?

    พอผมกลับมาถึงบ้าน สิ่งแรกที่ผมทำในคืนวันนั้น ก็คือ ... เปิดดูทีวี เปิดดูให้รู้ว่า เวิล์ดเทรดที่ว่านี้ ใช่เวิล์ดเทรดที่อยู่สี่แยกราชประสงค์หรือเปล่า? (ด้วยความที่ความรู้รอบตัวมีน้อยค่อนข้างมาก เลยไม่เคยรู้ว่าโลกใบนี้มีตึกเวิล์ดเทรดมากกว่า 1 แห่ง)

    แม้ว่าเหตุการณ์นี้มันจะไม่ได้เกิดขึ้นที่บ้านเราแต่ที่ผมเข้าใจแต่แรก ...แต่กับภาพที่เครื่องบินชนตึกที่ฉายซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ก็ทำให้คืนนั้นชีวิตของผมเป็นอันไม่ต้องหลับไม่นอน ตาสว่างถ่างดูความคืบหน้าที่เกิดขึ้นในนิวยอร์ค

    ในขณะช่วงเวลาที่ผมกำลังจับตาดูฟรีทีวีในบ้านเราอย่างใจระทึก ...ขณะเวลาเดียวกันนั้นเอง "จอห์น แมคคัฟลิน" นายตำรวจยศจ่ากรมเจ้าท่านิวยอร์ค ได้พาลูกน้องอีกจำนวนหนึ่งรุดเข้าช่วยเหลือผู้คนที่ติดอยู่ในตึกเหนือ ของ WTC

    ในช่วงเวลาที่ตึกเหนือที่เครื่องบินลำแรกพุ่งชนกำลังถล่มลงมา ...ขณะเวลาเดียวกันนั้นเอง นายตำรวจที่กำลังจะเข้าไปสู่ตึกเหนือ ก็ได้รับการแจ้งเตือนให้รีบออกจากที่เกิดเหตุโดยด่วน

    เพียงแต่มันก็เป็นการแจ้งที่ช้าเกินไปสำหรับพวกเขาทุกคน ...ตึกเหนือที่ถล่มลงมา ได้ทับร่างผู้คนให้อยู่ภายใต้ซากปรักหักพังนั้นเรียบร้อยแล้ว รวมทั้ง จอห์น และลูกน้องทั้งหมดของเขาด้วย

    World Trade Center ... เป็นเรื่องราวของการเอาตัวรอด การมีชีวิตอยู่เพื่อรอคอยความหวังสุดท้ายในชีวิต ของ สองนายตำรวจกรมเจ้าท่า จอห์น แมคคัฟลิน และ วิล จีมีโน่ ...คนทั้งสองต่างก็ต้องพึ่งพาซึ่งอึกคนให้ช่วยประคับประคองชีวิตที่เหมือนตายทั้งเป็นภายใต้ซากตึกที่ถมทับร่างของทั้งคู่ ...

    จอห์นและวิล ร่วมกันใช้เวลาที่ดูจะเป็นเสี้ยวสุดท้ายของคนทั้งคู่ หมดไปกับการแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตของแต่ละคน ...โดยมีเรื่องของ "ครอบครัว" เป็นประเด็นหลักที่คนทั้งคู่นำมาปรับทุกข์เล่าสุขซึ่งกันและกัน

    ชีวิตครอบครัวของจอห์น กำลังอยู่ในช่วงที่ง่อนแง่น เป็นไปตามนิยามของคำว่า ยามแรกรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน พอนานไปก็จืดชืดไร้รสชาติ... ความรักระหว่างเขากับดอนน่า ที่ล่วงเลยมาเป็นเวลากว่า 20 ปี ดูเหินห่างมากขึ้นมาตลอดถึงแม้ว่า
    คนทั้งคู่จะยังนอนบนเตียงเดียวกัน ในขณะที่ความรับผิดชอบของทั้งคู่ที่มีต่อลูกๆไม่เคยเปลี่ยนไป แต่กับความรับผิดชอบในความรักของเขาและเธอต่างก็เปลี่ยนแปลงในทางที่น้อยลง

    ส่วนชีวิตครอบครัวของวิล ก็ยังคงมีซึ่งความรักความห่วงใยที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเพราะวันเวลาที่มากขึ้น ...มาจนกระทั่งถึงในวันที่ "อัลลิสัน" กำลังอุ้มท้องอุ้มรักคนที่สองอยู่นั้น วิลก็ยังเป็นสามีคนเดิมและคุณพ่อคนเก่าที่เฝ้าทะนุถนอมต่อความรับผิดชอบที่เขามีให้ทั้งกับแม่และลูก

    ในช่วงเวลาวิกฤตชีวิตที่คนทั้งคู่ต้องฟันฝ่ามันไป เผชิญหน้ากับมัจจุราชที่พร้อมจะกระชากวิญญาณออกไปได้ทุกเมื่อที่ออกซิเจนมีอยู่เพียงบางเบา ...คนทั้งคู่ต่างก็ยังหลงเหลือภารกิจที่พวกเขาต้องการจะทำเพื่อครอบครัวของพวกเขา การได้กลับบ้านคือสิ่งแรกที่พวกเขาต้องการมากที่สุดในเสี้ยวนาทีนี้

    "World Trade Center" เป็นผลงานหนังที่หวังจะคืนฟอร์มดีของ ผู้กำกับ "โอลิเวอร์ สโตน" ...หลังจากที่สองปีก่อนไปเพิ่งเผลอพลาดพลั้งกับหนังเอพิคตำนานน่ารู้(ที่แสนจะน่าเบื่อของคนดู) "Alexander"

    ด้วยความที่รอยแผลยังคงไม่จางหายไปจากใจของคนอเมริกัน กับช่วงเวลาที่ห่างกันไปไม่ทันจะนานระหว่างเรื่องจริงและเรื่องสร้าง เป็นเหตุใหญ่ให้การระลึกความหลังที่แสนเศร้าในเหตุการณ์ 9/11 แบบฉบับของภาพยนตร์นั้น กลายเป็นโปรแกรมบันเทิงที่คนดูหนังส่วนใหญ่เลือกที่จะละทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ... จึงไม่ต้องแปลกใจไปว่าทำไม WTC ในฮอลลีวู้ดถึงได้เป็นหนังฟอร์มใหญ่ที่เข้าข่ายไม่ประสบความสำเร็จอีกเรื่องของปีนี้ (ในกรณีนี้แป้กแบบนี้ ยังต้องรวมไปถึงหนังดีสุดยอด United 93 อีกหนึ่งด้วย)

    แต่สำหรับผมแล้ว เรื่องของช่วงเวลาไม่ใช่ประเด็นใหญ่ที่จะต้องตำหนิ แล้วกับการสร้างหนังจากเรื่องจริงสักเรื่องหนึ่งนั้น ...ถ้าผู้สร้างผู้กำกับกล้าที่จะทำด้วย "ความตั้งใจจริง" และ "ความปรารถนาดี" แล้ว หนังเรื่องนั้นย่อมถูกที่ถูกเวลาที่คิดจะสร้างออกมาได้อยู่เสมอ

    WTC ของผกก.สโตน ถือว่ามีครบทั้ง "ความตั้งใจจริง" และ "ความปรารถนาดี" ...ในช่วงเวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ ที่ผมหมดไปในโรงหนังกับการได้ดูเรื่องที่เคยเกิดบึ้นจริงเรื่องนี้ นับว่าคุ้มค่า พอที่จะพูดออกมาได้เต็มปากว่า นี่คือหนัง 9/11 ที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง

    หนัง 9/11 เรื่องนี้ มีความประณีตในรายละเอียดของเหตุการณ์ ที่เล่าเรื่องฉากต่อฉากได้อย่างไม่มีสะดุดในอารมณ์ ...ช่วงเวลาครึ่งชั่วโมงแรกเริ่มใน WTC ถือเป็นช่วงนาทีทองที่สามารถกระทบอารมณ์ความรู้สึกของคนดูได้อย่างไม่ประนีประนอมอ้อมค้อมหัวใจ ตั้งแต่การเปิดฉากด้วยภาพความสงบเรียบร้อยของมหานครนิวยอร์คในอารมณ์ที่นิ่งๆราบลื่น แล้วไปจนถึงช่วงนาทีที่ตึกเหนือกำลังถล่มลงมาด้วยความระทึกใจและกดดันสุดกู่จนขนลุก ...นี่คือช่วงเวลาที่สัมผัสได้ถึง ความตั้งใจ ที่ผกก.สโตนใส่ลงไปอย่างจริงจัง

    30 นาทีแรก ของ World Trade Center เรื่องนี้ ต้องถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด และก็สร้างความประทับใจให้กับคนดูได้อย่างไม่ยากเย็นเลยทีเดียว ...แต่ก็คงต้องบอกกันตามตรงเลยว่า หลังจากนาทีสุดท้ายนั้นได้หมดลงไปแล้ว WTC ก็เหลือแต่ซึ่ง ความดีที่ไม่มีอะไรให้ประทับใจอีกต่อไป...

    ช่วงเวลาที่เหลือ หนังหมดลงไปกับการตัดสลับ เรื่องราว 3 ส่วนที่หลอมรวมเป็นเนื้อเรื่องของหนัง ...การเล่าเรื่องประคองชีวิตของจอห์น วิล , ความหวังลมๆแล้งๆของดอนน่า อัลลิสัน กับผู้คนในครอบครัวทั้งสอง และ การทำตามประสงค์พระผู้เป็นเจ้าของอดีตนาวิกโยธินที่ลุยเข้าไปช่วยเหลือชีวิตเบื้องล่างของซากตึกเวิล์ดเทรด เป็นพลอตสามส่วนที่หนังเดินเรื่องควบไปด้วยกันได้อย่างลงตัว มีการตัดต่อที่ถูกจังหวะ และรักษาความต่อเนื่องได้อย่างแนบเนียน กับความรู้สึกของผมก็พอจะยอมรับได้ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ล้วนแต่ดูดีไปเสียหมด ...เพียงแต่มันก็ยังมีข้อแม้อยู่อย่างที่ผมรู้สึกไม่ถึงความโดนใจของหนังที่พยายาม ซึ่งมันก็คือความรู้สึกของ ความอืดเอื่อยเรียบเรื่อยเชื่องช้า ที่หนังจงใจแสดงออกมาอย่างเด่นชัดจนเกินไป ...WTC ยังไม่สามารถจับใจคนดูให้นั่งติดเก้าอี้และติดตามความคืบหน้าของหนัง ได้อย่างที่หนัง 9/11 เรื่อง United 93 เคยทำเอาไว้

    ซึ่งจะว่าไปมันก็น่าแปลกใจอยู่ ทั้งๆที่ WTC เรื่องนี้ทำให้ผมตาสว่างไม่มีอาการง่วงเลยแม้สักครั้ง ส่วนหนัง 9/11 เรื่องก่อนหน้าซึ่งอืดเอื่อยเหมือนกัน ต้องทำให้ผมหาวหวอดๆอยู่หลายห้วงหลายที ...แปลกแต่จริงที่ความรู้สึกผมกลับ เลือกจะชูมือให้เรื่องก่อนหน้าชนะไปอย่างใสสะอาด

    แม้งานกำกับ ของสโตนในครั้งนี้ สามารถที่จะเรียกศักยภาพผู้กำกับหนังคุณภาพคืนมาได้ก็จริงอยู่ แต่ในความรู้สึกของผม งานของเขาชิ้นนี้นั้นก็ยังไม่มีคุณภาพมากพอที่จะกุมหัวใจคนดูไว้ได้อย่างเต็มหมัดเต็มมือ ...ในช่วงเวลาขณะที่กำลังอยู่ในโรงของผม อาจจะถือเป็นช่วงเวลาดีๆที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง แต่หลังจากนั้น ในตอนที่ผมออกมาจากโรงหนังมาแล้ว ส่วนของความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจที่หนังปรารถนาดีจะมอบให้ กลับไม่ได้ค้างคาติดตัวออกไปด้วย

    ในส่วนของการแสดง ของ 4 ดาราคุณภาพนั้น ต้องถือว่า ต่างก็ทำหน้าที่ได้สมน้ำสมเนื้อกันทุกคน ...แต่ถ้าได้พินิจพิเคราะห์ในรายละเอียดของบทบาทแล้ว น้ำหนักความประทับใจจำเป็นต้องเทไปให้ฝ่ายหญิงมากกว่า

    ไม่มีข้อโต้เถียงที่จะพูดว่า นิโคลัส เคจ และไมเคิล พีน่า สามารถเล่นเป็นคนหมดหวังได้อย่างน่าสงสารและน่าลุ้น แต่ยังไงก็ตาม บทบาทของผู้ชายสองคนนี้ก็ยังทำให้อินได้ไม่มากเท่าการแสดงของ "ดอนน่า" และ "อัลลิสัน" ...ตัวละครภรรยาที่ มาเรีย เบลโล่ และ แม็กกี้ จิลเลนฮาล สวมทับนั้นดูมีตัวตนที่จริงยิ่งกว่า ตัวละครสามีของพวกเธอ ...เบลโล่ แสดงความนิ่งในกิริยาท่าทาง แต่ใช้สายตาบอกออกมาได้ถึงความรู้สึกที่เจ็บปวดลึกๆ ...จิลเลนฮาล แสดงซึ่งความรู้สึกเจ็บปวดอย่างบ้าคลั่ง เก็บไว้ไม่อยู่เมื่อรู้ว่าสามีของเธอเป็นอีกคนที่อาจจะสังเวยให้กับการถล่มของตึกคู่นั้น เธอทั้งสอง ทำให้คนดูรู้สึกเจ็บปวดไปพร้อมกับการรับรู้ที่ต้องคอยเอาใจช่วยให้พวกเธอสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาชีวิตอันเลวร้ายนั้นไปให้ได้

    World Trade Center ... เสียดายในความยิ่งใหญ่ของเรื่องราว เสียดายในจุดมุ่งหมายที่หนังต้องการเสนอ และเสียดายในความสมบูรณ์แบบที่หนังเกือบจะทำได้ ...แม้ผมจะไม่ผิดหวัง ที่ได้เสียเงินเพื่อดูภาพเหตุการณ์จำลองบนจอสี่เหลี่ยมของโรงภาพยนตร์ในครั้งนี้ แต่กับความรู้สึกประทับใจที่ผมแอบหวัง ยังไม่ทำให้รู้สึกต้องจดจำ ได้เหมือนหรือเทียบเท่าที่เราเคยเห็นภาพจริงๆบนจอสี่เหลี่ยมของทีวีในคืนวันนั้น เมื่อ 5 ปีที่แล้ว

    ดู{ดี} วิธ มายเซลฟ์ :
    1. 30 นาทีแรกที่เป็นสุดยอดของการตรึงอารมณ์
    2. การดำเนินเรื่องตัดสลับที่ทำออกมาได้ลงตัว
    3. การแสดงของสองดาราหญิงที่อินอย่างเข้าถึง

    ดู{ด้อย} วิธ มายเซลฟ์ :
    1. ความอืดเอื่อย ที่ทำออกมาอย่างเด่นชัดจนรู้สึกได้

    เกรด B+

    สำหรับทุกคนที่ได้เผลอเข้ามาในกระทู้รีวิวนี้ ...อย่าเพิ่งรีบออกไปนะครับ ช่วยกันลง ความเห็นของคุณกับความรู้สึกต่อหนังเรื่องนี้ ได้ประทับเก็บไว้ในกระทู้นี้ด้วย ... "1 Comment ของคุณ มีค่าเท่ากับ 1 Happy ของจขกท."

    ขอบคุณครับ รักคนอ่าน

    แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 49 14:24:00

    แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 49 14:23:14

     
     

    จากคุณ : OncE UPoN'-'a MaN - [ 4 ต.ค. 49 14:05:35 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com