ความคิดเห็นที่ 18
ต่อไปก็มาถึง 2 เพลงที่สร้างมาจากความรู้สึกของ Ennis บ้างนะครับ แต่อันนี้มีเนื้อแค่เพียงบางส่วนนะครับ เอาไว้จะหามาทีหลังนะครับ เอาท่อนสำคัญๆๆก่อนละกัน
เพลงแรก "He was a friend of mine"
He was a friend of mine. He was a friend of mine. Everytime I think of him, I just cann't kept from crying.
Because he was a friend of mine.
He died on the road. He died on the road................
ตอนที่ Ennis โทรไปหา Jack แต่ Laureen เป็นคนรับโทรศัพท์ แล้วพูดคุยไป Ennis พูดว่า "We're a good friends"..... แล้วก็นึกถึงภาพที่ Jack ตาย (ในแบบความคิดของ Ennis)..................
He died on the road
เพลงที่สองของ Ennis " I will never let you go"
อันนี้เป็นเพลงเร็วนะครับ แต่เพราะมาก ยิ่งเอาไปเชื่อมโยงกับในหนังด้วยแล้ว....ใจสลาย
I Will Never Let You Go via Jackie Green (Brokeback Mountain)
When I feel that lonesome prairie wind I let my soul get back to you again
And I will never let you, I will never let you, I will never let you go.
Even though this wasnt meant to be Its gonna break my heart to watch you leave But I will never let you, I will never let you, I will never let you go.
Why Im feelin so, so low I will never let you, I will never let you, I will never let you go.
Why Im feelin so, so low, I will never let you, I will never let you, I will never let you go. Why Im feelin so, so low I will never let you, I will never let you, I will never let you go. I will never let you, I will never let you, I will never let you go.
........
สังเกตตอนจบของเรื่องนะครับ ที่กล้องไปจับภาพที่หน้าต่าง และเห็นลมพัดบนทุ่งหญ้า นั่นแหละครับ เมื่อที่ Ennis รู้สึกเปลี่ยวเหงาขึ้นมา ผ่านสัมผัสของสายลมอันแสนจะเดียวดายแห่งทุ่งหญ้าที่พัดผ่านมา ทำให้ใจของฉันหวนกลับไปหานายในทันใด......
ฉันไม่ปล่อยให้นายไปจากฉันแล้ว
ถึงจะรู้ว่าไม่มีประโยชน์อันใด แต่หัวใจฉันแตกสลายเสมอเมื่อเห็นนายจากไป.......
ทำไมนะฉันถึงเดียวดายอยู่ ไม่ได้ละฉันจะไม่ปล่อยให้นายจากชีวิตฉันไปอีกแล้ว...............
I swear, I will never let you go. (แต่ Ennis ก็สายเกินไป)
I think a little different from you. But It is the same concept.
When Ennis found Jack & Ennis shirts in the closet, Ennis shirt was coverred by Jack shirt. This mean that Ennis would always be in Jack's heart.
In last scene, Jack's shirt was covered by Ennis' shirt in Ennis' closet. This mean that Jack would always be in Ennis' heart also.
Simple as this, but make me cry so hard. T_T
คุณรู้ไหมว่าBrokeback Moutain คืออะไร...
เราทุกคนล้วนแล้วแต่มีถูเขาโบรกแบ็กในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น... ถ้าคุณกำลังรักใครสักคน หรือกำลังใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคน หรือกำลังมีความสัมพันธ์กับใครบางคน ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบไหน...
หากคุณพาใครคนนั้นไปยังภูเขาโบรกแบ็ก และพบว่าความรักของคุณที่มีต่อเขายังเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน... นั่นจึงหมายความว่า คุณพบรักแท้เข้าให้แล้ว....
หลี่ อัน (Ang Lee)
ตัดตอนมาจาก http://uconnect.dpu.ac.th/
แจ็ค: นายเป็นอะไร เอนนิส รู้มั๊ยว่าตลอด 20 กว่าปี เราได้มาทำบ้าอะไรด้วยกันที่นี่ แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น :-)... มันเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก
เอนนิส: นายไม่เข้าใจอะไรเลย...
ที่ฉันต้องเป็นแบบนี้ ก็เพราะนายคนเดียว แจ็ค
เอนนิสปล่อยน้ำตาออกมาอย่างพรั่งพรูให้แจ็คเห็นเป็นครั้งแรก แสดงถึงความเจ็บปวดที่ถึงขีดสุด
แจ็ค: ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ เอนนิส ไอ้บ้าเอ๊ย....
จะว่าไปแล้ว กว่าที่ ใครบางคน จะเจอ รักแท้
ที่ตัวเองตามหามาตลอดชีวิตนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย หรือบางทีอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็เป็นได้ แต่สำหรับ คนอีกกลุ่มหนึ่ง นั้น บางครั้งได้เจอรักแท้แล้วทั้งที แต่สังคมกลับไม่ให้โอกาสพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ความสูญเสีย หรือโศกนาฏกรรมทางความรักจึงเกิดขึ้น และนำไปสู่การแบกรับกับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสตลอดชีวิต
และแล้วผมก็ได้มีโอกาสสัมผัสกับ ว่าที่ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมออสการ์ปีล่าสุด รวมทั้งเป็นหนังที่ถือว่าสร้างกระแสทั่วทั้งโลกได้อย่างมากมาย (โดยเฉพาะบ้านเรา) ทั้งๆ ที่เป็นหนังอิสระโดยแท้ (สร้างโดยค่าย Focus Features) กับผลงานล่าสุดกับผู้กำกับเอเชียคนเก่งอย่าง หลี่ อัน (Ang Lee) ที่มาคราวนี้ นำเอานวนิยายของนักเขียนรางวัลพูลิตเชอร์อย่าง อี. แอนนี่ พรูซ์ (เจ้าของนิยายอันเลื่องชื่อที่เคยนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ The Shipping News) มาบรรจงสร้างเป็นภาพยนตร์ที่บีบเค้นอารมณ์ และเต็มไปด้วยความกดดันตลอด 2 ชั่วโมงกว่า กับเรื่องราวความรักของหนุ่มเลี้ยงแกะสองคน (ไม่ใช่คาวบอย อย่างที่โฆษณากันเต็มบ้านเต็มเมือง) ที่ต่างต้องเก็บความต้องการของหัวใจตัวเองเป็นเวลาตลอด 20 กว่าปี
เมื่อหนังจบ ไฟในโรงหนังเปิด ความกดดันและความรู้สึกอึดอัดแบบ Dramatic ก็เกิดขึ้น และบอกไม่ถูกว่าจะบรรยายความรู้สึกอื่นๆ ที่เหลือยังไงกับหนังเรื่องนี้ เข้าใจเหตุผลที่แท้จริงของสิงคโปร์แล้วล่ะครับ ว่าที่ไม่แบนหนังเรื่องนี้ เหมือนกับ Formula 17 เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เพราะเป็นหนังของชีวิต ชายรักชาย ที่ไม่มีความสุขเอาเสียเลย แต่กลับจบลงด้วยความเศร้า และทรมานจิตใจสุดๆ และต้องถือว่า Brokeback Mountain เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่ง ที่คาดว่าหลายคนที่ออกมาจากโรงหนัง คงไม่รู้สึกร่วมอะไรมากนัก นอกจากว่าหนังดำเนินเรื่องไปอย่างเรื่อยเรียบ ไม่มีจุดกระชากใจ หรือปมของเรื่องที่ช่วยเปลี่ยนอารมณ์ ตามสไตล์ของหนังทางฝั่งของยุโรปมากกว่า แต่กับการกำกับของหลี่ อัน ที่ค่อยๆ บรรจงสร้างอารมณ์ผ่านตัวละคร และเรื่องราวอันละเมียดละไมอย่างที่สุดนั้น กลับต้องการให้พวกเราค่อยๆ นึกถึงภาพ และเรื่องราวในหนังเมื่อหวนกลับไปคิดถึงมันอีกครั้ง และแล้วมันก็เป็นจริงอย่างว่า คืนนั้นผมนอนด้วยความกระอักกระอ่วนมากครับ!!!
อย่างสุดจะกล้ำกลืนกับความเศร้าที่เกิดขึ้นในหนัง (เหมือนตอนที่ เอนนิสรู้สึกปั่นป่วนจนต้องสำรอกออกมา เมื่อต้องแยกทางกับแจ็คเป็นครั้งแรก...)
หลังจากใช้ชีวิตบนหุบเขาโบรกแบ็กด้วยกันมาหลายวัน
ในค่ำคืนหนึ่งที่หนาวเหน็บ หลังจากกองไฟค่อยๆ มอดดับลง และเมื่อความใกล้ชิดเกิดขึ้น แรงกระตุ้นของฮอร์โมนเพศชาย ขับดันให้เอนนิส (ฮีธ เล็ดเจอร์) และแจ็ค (เจค กิลเลนฮาล) แสดงความปรารถนากันครั้งแรกออกมาในที่สุด
และแน่นอนว่า นั่นไม่ใช่ครั้งสุดท้าย!! เอนนิส พูดกับแจ็คหลังจากนั้นว่า Im not a queer
และแจ็คก็ตอบกลับว่า Me neither แต่พวกเขาทั้งสอง ก็ไม่สามารถปฏิเสธความรักของตัวเองได้ แม้ว่าทั้งสองคนจะรู้ดีว่า ชีวิตที่หวานชื่นท่ามกลางกระท่อมหลังเล็กๆ เพียงสองคนอย่างที่แจ็ควาดผันไว้นั้น
แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย (ฉากการหวนกลับมาเจอกันอีกเป็นครั้งที่สองของทั้งคู่ กับการแสดงที่ปลดปล่อยความปรารถนาในใจที่อัดอั้นมานานนั้น ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ!!)
ความจริงแล้ว ความรักของคนทั้งคู่ ต่างค่อยๆ
ถูกทำลายลงด้วยความจริงของสังคม (เหตุการณ์เกิดขึ้นในปี 1963 รัฐไวโอมิง)
รักต้องห้าม
เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว ก็มักจบลงอย่างเจ็บปวด ถ้าแจ็คไม่ได้แต่งงานกับสาวชั้นสูงอย่างลูรีน และถ้าเอนนิสไม่เคยมีอัลมามาก่อน พ่วงด้วยลูกสาวอีกสองคนที่ตามมานั้น เอนนิสคงจะไม่ปฏิเสธข้อเสนอของแจ็ค อย่างไม่ต้องสงสัยเลย และแล้วการบีบบังคับทางสังคม และการรับรู้ความจริงที่โหดร้ายของภรรยาทั้งสองฝ่าย ก็นำมาซึ่งโศกนาฏกรรมทางความรักที่ช่างน่าเศร้าเป็นที่สุด
จากคำกล่าวของเจค กิลเลนฮาล และหลี่ อัน ที่เคยพูด
ถึง ภูเขาโบรกแบ็ก
ไว้อย่างงดงามทีเดียวว่า มันเป็นสถานที่ซึ่งแจ็คกับเอนนิสเดินทางไปเยือน และใช้ชีวิตร่วมกันบนนั้นชั่วระยะหนึ่ง เป็นที่ซึ่งไม่มีใครมาพิพากษาตัดสินว่าสิ่งที่ทั้งคู่ทำนั้นผิดหรือถูก และเป็นสิ่งที่ซึ่งทั้งคู่ สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาได้ ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำอะไรที่ขัดต่อหัวใจตัวเอง...
หลายคนคงจำคำพูดที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ของเอนนิส ที่กล่าวกับแจ็คในตอนท้าย เพียงสั้นๆ ว่า
I swear...
ได้เป็นอย่างดี และผมก็ขอให้เอนนิสสามารถเดินทางไปสู่จุดนั้นได้เช่นกันครับ....
แล้วคุณล่ะ....
ฉากนี้เป็นฉากที่ทำให้สงสารทั้งคู่มากๆ
Jack : I wish I knew how to quit you.
Ennis : Then why dont you?! Why dont you let me be?
Its because of you, Jack, that Im like this. Im nothin.Im nowhere.
.
.
.
Jack : Come here
Its alright
Its alright
Ennis
และฉากที่เอนนิสกอดเสื้อนี่ พูดไม่ออกค่ะ... ...น้ำตาไหลไปแล้ว...
เนื้อเพลงเต็มๆของ
He was a friend of mine
He was a friend of mine He was a friend of mine Every time I think about him now Lord I just can't keep from cryin' 'Cause he was a friend of mine
He died on the road He died on the road He never had enough money To pay his room or board And he was a friend of mine
I stole away and cried I stole away and cried 'Cause I never had too much money And I never been quite satisfied And he was a friend of mine
He never done no wrong He never done no wrong A thousand miles from home And he never harmed no one And he was a friend of mine
He was a friend of mine He was a friend of mine Every time I hear his name Lord I just can't keep from cryin' 'Cause he was a friend of mine.
เครดิต :
http://sirain.exteen.com/category-Movie
จากคุณ :
life-alone (life-alone)
- [
25 ต.ค. 49 22:13:30
]
|
|
|