CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ดูแล้วมาคุยกัน ... The Guardian , "สถิติ" ไม่สำคัญเท่า "ทัศนคติและเจตคติ"

      ชอบมาก ห้ามพลาด (9 คน)
      ชอบ (6 คน)
      เฉยๆ (1 คน)
      ไม่ชอบ (0 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (0 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 16 คน

     56.25%
     37.50%
     6.25%
     0.00%
     0.00%


    … เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป + อ่านความเห็นเพื่อนคนอื่นๆ + เชิญชวนไปแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=10-2006&date=29&group=1&blog=1


    เจค ฟิสเชอร์  (แอชตัน คุทเชอร์) เป็นนักกีฬาว่ายน้ำชั้นยอดชนิดจะสมัครเรียนที่ไหน แทบทุกมหาวิทยาลัยก็พร้อมจะอ้าแขนรับ แต่เขากลับเลือกมาสมัครเป็น coast guard งานที่ต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงลงไปกลางทะเลที่บ้าระห่ำเพื่อช่วยชีวิตคนที่กำลังจะจมน้ำ

    เขาก้าวมาด้วยความมั่นใจและแสดงความกร่างอย่างเต็มที่ เมื่อเขาประกาศตั้งแต่วันแรกกลางที่ประชุมว่า เขาตั้งใจจะลบทุกสถิติของการฝึกที่ป้ายเคยมีการบันทึกไว้

    บังเอิญเหลือเกินที่เจ้าของสถิตินั้นยืนอยู่ในห้องด้วย เขาคือ เบน แรนดัลล์  (เควิน คอสท์เนอร์) ครูฝึกสุดเก๋าที่เพิ่งมารับงานครูฝึกชั่วคราว ผู้ที่จะใช้ความเก๋ามาละลายความกร่าง และ สอนให้เขาหรือใครก็ตามได้รู้ว่า

    ในทุกๆอาชีพ สถิติ นั้นสำคัญก็จริง แต่ เจตคติและทัศนคติ  ต่อวิชาชีพคือสิ่งสำคัญยิ่งกว่า

    ...จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหมอส่วนใหญ่หวังสร้างสถิติที่จะเป็นหมอที่ผ่าตัดได้เร็วที่สุดโดยไม่ได้มีจิตใจห่วงใยหรือเมตตาต่อคนไข้ , หากตำรวจส่วนใหญ่หวังสร้างสถิติว่าใครจะจับผู้ร้ายได้มากกว่ากัน โดยมิได้มีจิตใจคิดปกป้องดูแลประชาชน เช่นเดียวกับ นักกู้ภัยที่มัวแต่หมกมุ่นหวังยอดว่าจะช่วยคนได้มากที่สุด

    ผลลัพธ์ก็คงเหมือนฉากหนึ่งในหนังตอนทดสอบลอยตัวกลางน้ำ ที่ เจค เพิกเฉยต่อการช่วยเพื่อน เพราะการช่วยเพื่อนไม่ได้ทำให้สถิติของเขาดีขึ้นมา ไม่ได้ช่วยให้เขาสอบผ่าน

    ...เราหลายคนก็อาจเคยมุ่งมั่นกับการทำสถิติเช่นเดียวกับ เจค จนลืมอุดมการณ์ และ ทอดทิ้งทัศนคติหรือเจตคติที่ดีต่อวิชาชีพ

    ฉากนี้จะช่วยสะท้อนให้เราได้เห็นว่า หากคนทำงานในอาชีพนั้นหวังแต่สถิติ ผลออกมาเราก็คงเจอหมอที่สนใจรักษาเฉพาะเคสยากๆหรือเฉพาะที่ได้ลงข่าว เราก็คงเจอแต่ตำรวจที่จะช่วยประชาชนก็แค่เมื่อมีคนเห็นและบันทึกไว้ในสมุดให้จดจำ

    และ นั่นคือ บทเรียน ที่ เบน พยายามสอนให้ เจค ได้เรียนรู้ เขาให้เจคได้ทำลายสถิติจนหนำใจก่อนที่เจคจะได้รู้ว่า สถิติ หรือ ตัวเลขทั้งหลายที่เขาหมกมุ่นมันไม่ได้เกี่ยวกับอะไรกับงานของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาชีพ ที่เกี่ยวข้องกับ ชีวิต คนอื่น อาชีพที่มีชีวิตเพื่อนมนุษย์แขวนไว้บนเส้นด้ายรอคอยการช่วยเหลือ

    ...สำหรับอาชีพส่วนใหญ่ ผลลัพธ์ของการทำงานเป็นช่วงกว้างตั้งแต่น้อยไปมาก เช่น ขาดทุนมาก ขาดทุนน้อย เท่าทุน กำไรน้อย กำไรมากๆ ฯลฯ ความสำคัญของสถิติจึงอาจมีสัดส่วนสำคัญในวิชาชีพ แต่อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการช่วยชีวิตคนอื่นๆ เช่น หมอ , coast guard , ทีมกู้ชีพ ฯลฯ

    เป็นอาชีพที่มีผลลัพธ์แค่สองอย่างคือ ช่วยได้ กับ ช่วยไม่ได้

    เป็นอาชีพที่ต้องผ่านความลำบากใจเมื่อจำเป็นต้องเลือกว่า จะ ช่วยใครก่อน ช่วยใครหลัง หรือ จะช่วยใคร และ ไม่ช่วยใคร

    เป็นอาชีพที่หลายคนไม่อยากให้ลูกเรียนต่อ เพราะ การช่วยได้หลายคนก็มองว่าเท่าทุน เพราะเป็นความคาดหวังพื้นฐานจากคนทั่วไป แต่เมื่อใดก็ตามที่ช่วยไม่ได้ก็อาจต้องแบกรับ น้ำตา คำด่า จากญาติๆ

    กับอาชีพเหล่านี้ หากหวังเพียงแต่ให้ผู้คนจดจำในเรื่องของสถิติ ตัวคนทำงานคงไม่มีความสุขกับการทำงาน และ ผู้ประสบเคราะห์ภัยก็คงไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างเต็มที่

    พระเอกที่แท้จริง หรือ ฮีโร่ตัวจริง ไม่ได้อยู่ที่ช่วยใครได้มากกว่า แต่อยู่ที่ว่า ในใจของเจ้าของวิชาชีพนั้น มีใจช่วยใครจริงหรือไม่ เพราะอาชีพเหล่านี้ ผลตอบแทนไม่ได้เป็นตัวเลขหรือผลกำไร แต่คือ รอยยิ้มและความดีใจในการได้มีชีวิตรอดกลับมา

    ...ถึง เบน จะสอนเจคและลูกศิษย์ได้หลายคน เขาช่วยชีวิตคนในท้องทะเลได้นับร้อย ปัญหาเดียวที่เขาแก้ไม่ได้ คือ ชีวิตคู่ที่กำลังจมลงต่อหน้าต่อตา อันเนื่องมาจาก การทุ่มเทที่เขามีให้กับงาน

    กว่าที่เขาจะรู้ตัวว่า เขาเองก็ไม่ต่างจาก คู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่กำลังจมน้ำ คนเป็นสามีใช้สัญชาติญาณเอาตัวรดด้วยการกดหัวภรรยาหวังจะขึ้นกระเช้าหนีไปก่อน มันก็ไม่ต่างอะไรจากตัวเขาที่ช่วยคนมากมายโดยที่กำลังกดภรรยาให้จมในทะเลของชีวิตคู่โดยไม่รู้ตัว


    The Guardian  ... เป็นหนังแนวแมนๆ สไตล์นักเรียนสุดกร่าง พบ ครูฝึกสุดเก๋า ที่คนดูจะรู้สึกฮึกเหิมหัวใจพองโต และ ประทับใจไปกับวีรกรรมของตัวละคร และแน่นอนว่าจะต้องตามมาด้วยสูตรสำเร็จที่คนดูจะได้พบ เช่น การฝึกหฤโหด , เพื่อนพระเอกไม่เอาไหน ฯลฯ แล้วตัวละครได้เรียนรู้ก่อนนำไปสู่ไคลแมกซ์ในตอนจบ

    แม้จะเป็นสูตรที่คนดูสามารถเดาได้แทบจะทุกบททุกตอนว่า ตัวละครไหนจะสอบผ่าน ตัวละครนี้จะเจออะไรต่อ แต่ผู้กำกับ แอนดรู เดวิส ก็ยังสามารถทำให้คนดูรู้สึกสนุกและตื่นตัวตลอดเวลา เป็นผลงานการกำกับหนังแอคชั่นที่กลับมาได้อย่างน่ามีความหวังของเขา หลังจากขึ้นไปสู่จุดสูงสุดกับ The Fugitive แล้วก็ไม่สามารถไปได้ดีกับหนังแอคชั่นอีกเลยไม่ว่าจะเป็น Collateral Damage หรือ Chain Reaction หนังที่เต็มไปด้วยงบประมาณที่ถูกเผาผลาญกับฉากประเภทระเบิดภูเขาเผากระท่อม แต่ให้อารมณ์ตื่นเต้นกดดันได้น้อยมาก

    ปัจจัยช่วยหนุนให้ The Guardian ตื่นเต้นมากขึ้นมาจาก ฉากกลางน้ำและกลางท้องทะเลทั้งหลาย ที่หนังสร้างออกมาได้อย่างสมจริงทั้งเทคนิกการถ่ายทำไปจนถึงงานสร้าง ภาพเหตุการณ์บนผืนน้ำฉีกความคุ้นเคยจากหนังแนวนี้ที่เรามักจะได้ดูการกู้ชีพช่วยเหลือซ้ำๆจาก เหตุการณ์บนบก เช่น ไฟไหม้ , ตึกถล่ม ฯลฯ  

    บทของหนังพยายามใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆและให้ความสำคัญกับพล็อตรองหลายๆส่วน รวมทั้งพยายามใส่ปูมหลังที่มาของสองตัวละครสำคัญในเรื่อง ให้เราได้รู้ว่า แต่ละคนมีอะไรเป็นแรงผลักดันในจิตใต้สำนึกที่เลือกมาทำอาชีพนี้ เสียดายที่หนังรีบคลี่คลายแผลในใจของตัวละครคนหนึ่งง่ายและเร็วเกินไป จนยากจะเชื่อได้ว่า ฝันร้ายนับปีๆจะสามารถหายได้ภายในห้านาทีในฉากนั้น

    นอกจากบทหนังที่เป็นสูตรสำเร็จ หนังยังได้นักแสดงสำเร็จรูปอย่าง เควิน คอสต์เนอร์ ที่มาในบทโปรโตไทป์รูปแบบ ซึมเศร้า กินเหล้า อมทุกข์ บทประเภทที่หยิบหนังของเขามาสิบเรื่องจะพบว่าเกินครึ่งตัวละครของเขามาในบทแบบนี้ และดูเขาเองก็จะไปได้ดีกับบทประเภทนี้ จนทำให้บอกไม่ได้ว่าเขาเล่นหนังดีหรือไม่ เพราะตัวเขาก็คล้ายไปหมดทุกเรื่อง แถมชะตากรรมในตอนจบก็ซ้ำๆกันเสียอีก

    เช่นเดียวกับคู่หูในหนัง แอชตัน คุชเชอร์ ที่การแสดงก็เล่นได้ไม่ดีไม่แย่อะไรเป็นพิเศษ อย่างน้อยก็พอแสดงให้เห็นว่า เขายังพอมีดีกว่าหน้าหล่อๆกับข่าวดังๆของเขาและเดมี่มัวร์ ซึ่งเขากับพระเอกหน้าหล่ออีกคนที่ผมจำสับสนอยู่เสมอนั่นก็คือ จอจ์ช ฮาชเน็ตต์ ก็ยังต้องรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ต่อไป

    คนที่มีบทเล็กๆและจับคู่กับเควิน คอสต์เนอร์ได้ดีมากกว่าคือ เซลา วอร์ด ในบทภรรยา เธอทำให้เชื่อถือได้ว่า สองคนนี้คือ คู่สามีภรรยาที่ยังรักกันแต่ไม่มีความสุขกับการมีชีวิตอยู่ร่วมกัน ทั้งสองคนเล่นได้ดีและพล็อตชีวิตคู่อับปางในส่วนนี้ทำออกมาได้น่าประทับใจทีเดียว

    จุดเดียวที่ถือว่าน่าผิดหวัง และ ทำให้เสียงในใจผมดังตลอดเวลาก็คือสิบนาทีสุดท้าย ที่ผมคิดว่า ไม่นะๆ อย่าพาหนังไปจบแบบนั้น เมื่อหนังพยายามฝืนเดินหน้าเข้าหาหลักสูตรภาคบังคับของหนังแนววีรบุรุษ ทั้งที่หนังจะไม่เลือกจบแบบนี้ก็ได้ แต่ หนังยังอุตส่าห์จงใจใส่ฉากสุดท้ายมาที่ดูแล้วขัดธรรมชาติและแสนจะบังเอิญเพียงแค่หวังผลทางอารมณ์กับคนดู จนทำให้แทนที่หนังเรื่องนี้จะมีดีฉีกตัวออกมา สุดท้ายก็ได้ชื่อว่า เป็นหนังสูตรที่ดีแต่ก็ไม่พ้นกับหนังแนวนี้เรื่องเดิมๆ


    (มีต่อ)

    แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 49 11:48:25

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 30 ต.ค. 49 11:42:32 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com