หากจะมองย้อนไปในอดีต นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็น พระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ มาจนปัจจุบันอันเป็นปีที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี จะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลาอันยาวนานนี้ ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปเยือนต่างประเทศในช่วงต้นๆ รัชกาลเท่านั้น เช่น เสด็จเยือนประเทศสาธารณรัฐเวียดนาม อินโดนีเซีย และสหภาพพม่า อย่างเป็นทางการครั้งแรกในรัชกาล เมื่อปี ๒๕๐๒
จากนั้นในปี๒๕๐๓- ๒๕๐๔ ก็ได้เสด็จฯเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศในทวีปยุโรป รวม ๑๔ ประเทศ ครั้นในปี ๒๕๐๕ ก็ได้เสด็จฯไปเยือนปากีสถาน สหพันธรัฐมลายา(ขณะนั้นยังไม่ได้เป็นประเทศมาเลเซีย) นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย ครั้น ปี ๒๕๐๖ ได้เสด็จฯเยือนญี่ปุ่น จีน และฟิลิปปินส์ ต่อมาในปี ๒๕๑๐ จึงได้เสด็จไปเยือนประเทศอิหร่านและสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง รวมถึงประเทศแคนาดาด้วย ครั้งล่าสุดคือการเสด็จเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เมื่อปี ๒๕๓๗ อาจกล่าวได้ว่า เวลาส่วนใหญ่
ในหลวงของเราได้ทรงอุทิศพระองค์อยู่กับผืนแผ่นดินไทยและประชาชนชาวไทยมาโดยตลอด
อย่างไรก็ดี แต่ละครั้งที่ทรงเสด็จฯเยือนต่างประเทศพร้อมสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถนั้น นอกจากจะช่วยกระชับความสัมพันธ์กับมิตรประเทศแล้ว ทั้งสองพระองค์ยังได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจจนบังเกิดผลสำเร็จ นำผลประโยชน์มาสู่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทยมากมาย ทรงเป็นที่กล่าวขานถึงพระบารมีเลื่องลือขจรไกล ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถได้ทรงบันทึกเป็นพระราชนิพนธ์ ความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ ไว้ และอ่านแล้วเหมือน แม่หลวงเล่าถึงพ่อหลวงของแผ่นดินให้ฟัง อีกทั้งยังมีหลายๆเรื่องที่ได้แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันน่าประทับใจยิ่ง
ดังนั้น เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม อันเป็น วันพ่อแห่งชาติ ด้วย กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำบางเรื่องมาเล่าต่อให้ทราบ ดังนี้
สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ตั้งแต่แรกว่า .....เมื่อข้าพเจ้ามีอายุเพียง ๑๙ ปีได้ตามเสด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับมาอยู่เมืองไทย พร้อมด้วยลูกสาวคนโต ซึ่งอายุไม่ถึงขวบครั้นนั้นแล้ว จนมีอายุ ๒๗ ปี ข้าพเจ้าก็ยังมิได้เคยย่างกรายออกไปจากบ้านเกิดเมืองนอนอีกเลย ทั้งนี้ ก็เพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งพระทัยไว้อย่างแน่วแน่ว่าจะไม่เสด็จออกนอกประเทศ ถ้าไม่ทรงมีเหตุที่สำคัญพอ ในฐานะที่ทรงเป็นประมุขของชาวไทย สมควรที่จะประทับอยู่ในบ้านเมืองเพื่ออยู่ใกล้ชิดกับราษฎรของท่านให้มากที่สุด ถึงแม้เมื่อเสด็จแปรพระราชฐาน ก็จะทรงแปรอยู่ในประเทศเรานี่เอง ทางเหนือบ้าง ทางใต้บ้าง แล้วแต่โอกาสจะอำนวย ไม่เคยทรงคิดที่จะเสด็จไปทรงสกีนอกประเทศตอนหน้าหนาว หรือเสด็จเมืองใกล้เคียงเพื่อทรงเที่ยวเตร่ ซื้อของ หรือเปลี่ยนบรรยากาศอย่างคนอื่นในฐานะเดียวกันนี้เลย ส่วนข้าพเจ้าก็ไม่คิดที่จะไปไหน ถ้าท่านไม่เสด็จ.......
เมื่อคราวต้องเสด็จฯประเทศสหรัฐอเมริกาปีพ.ศ. ๒๕๐๓ ทรงเล่าว่า ...ครั้งแรกที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกให้นักหนังสือพิมพ์เฝ้า ข้าพเจ้ายังจำได้ไม่มีวันลืมว่าข้าพเจ้านั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิกอยู่ข้างที่ประทับ มือเย็นเฉียบด้วยความกลัว เครื่องขยายเสียง เครื่องอัดเสียงเต็มไปหมด ไฟฉายตั้งส่องมาสว่างจ้าจนตาพร่า ทั้งมีแสงว้อบๆแว้บๆอยู่ไม่ขาดระยะ...เขามาทั้งถ่ายรูป ถ่ายหนัง ถ่ายโทรทัศน์ ทั้งถวายการสัมภาษณ์พร้อมกันไปหมด.. ต่างก็เข้าไปรุมซักไซ้พระเจ้าอยู่หัวเป็นการใหญ่พอทรงตอบคนนั้นเสร็จ คนนี้ก็ถาม...เป็นเวลา ๔๐ นาทีเต็มๆ ที่ท่านถูกนักหนังสือพิมพ์อเมริกันรุม ดูๆ ก็คล้ายการซักซ้อมจำเลยมากกว่าการถวายสัมภาษณ์ ...
มีต่อครับ ...
จากคุณ :
kuan
- [
4 พ.ย. 49 10:56:07
A:58.9.30.38 X: TicketID:088813
]